แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
หลวงพ่อฝากไว้ ลำดับที่ 48
วันที่ 1 มิถุนายน 2557
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่องกันสักพักหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก ดังที่หลวงพ่อได้พูดให้ฟัง เสียงก็สักแต่ว่าเสียง
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาว ๆ ลึก ๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาว ๆ อย่าไปบังคับนะ การสูดลมหายใจยาว ผ่อนลมหายใจยาว อันนี้เป็นแค่เพียงอุบาย ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น กายของเราก็จะคลายความตึงเครียดได้ลง สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเรา เรามีความรู้สึกรับรู้อยู่ เราพยายามสร้างความรู้สึกรับรู้ตรงนี้แหละให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘มีสติรู้กาย’ เพียงแค่สร้างเฉย ๆ นะ ยังเอาไปใช้การใช้งานไม่ได้
ถ้าเราสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง ถ้าความรู้สึกตัวพลั้งเผลอหรือหลุดไป เราก็กระตุ้นความรู้สึกใหม่ ให้เกิดความเคยชิน ความรู้ตัวต่อเนื่องได้เมื่อไหร่ ส่วนใจนั้น บางทีเขาจะเกิด เขาจะปรุงจะแต่ง ก็จะอีกส่วนหนึ่ง ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันจนชำนาญ ใจของเราจะปรุงแต่งส่งออกไปภายนอกก็จะเห็น เห็นอาการของใจ ว่าการก่อตัวของใจเป็นอย่างไร อันนี้เพียงแค่รู้ รู้อาการของใจที่จะเกิด เราก็รู้จักควบคุม เอาความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมานี้แหละ เข้าไปควบคุม เราก็สูดลมหายใจยาว ๆ ใหม่ ใจของเราก็สงบขึ้นมา
ยังมีอาการของความคิดอีก ซึ่งเรียกว่า ‘อาการของขันธ์ห้า’ มีกันทุกคน ความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจคิดนั่นน่ะ เขาผุดขึ้นมาได้อย่างไร บางครั้งบางคราวเวลาโน้น เวลาทำการทำงานหรือนั่งอยู่เฉย ๆ ก็มีความคิดผุดขึ้นมา ตัวใจจะเคลื่อนเข้าไปรวมเอง เราไม่ต้องไปนั่นยากเลย เขาเคลื่อนเข้าไปรวม ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ขณะลมหายใจเข้าออกปุ๊บ เราก็จะเห็นการเคลื่อนเข้าไปรวมตัวของใจ เคลื่อนเข้าไปรวมความคิด
ถ้าเราเห็นตรงนั้น ขณะเขาเคลื่อนเข้าไปรวม เขาก็จะดีดออกจากความคิด เขาจะแยกของเขาเอง เหมือนกับขโมยจะเข้าบ้าน ถ้าเจ้าบ้านเขาเห็นมันจะรีบกระโดดออกทันที รีบเผ่นทันที อันนี้ถ้าเราเห็นตรงนั้นปุ๊บ ใจมันก็เคลื่อนเข้าไปรวมเร็วไวมากทีเดียว ถ้ากำลังสติของเราไม่ต่อเนื่อง ไม่เข้มแข็ง ไม่เร็วไว ก็ไม่เห็นตรงนี้ ถ้าเราเห็นปุ๊บ ใจมันก็จะพลิกปั๊บ หงายปุ๊บ แยกออกจากความคิดปุ๊บ หงายปุ๊บขึ้นมา ใจก็จะว่าง กายก็จะเบา
นี่แหละ เห็นใจกับอาการของใจชัดเจน คลายความหลง ซึ่งเป็นส่วนนามธรรมด้วยกันตรงนี้ แล้วก็สติที่เราสร้างขึ้นมาเลยตามดูความเกิดความดับที่จะผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ นี่แหละ เขาเรียกว่าเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ต้องเห็นนะ เห็นแล้วตามทำความเข้าใจว่า เรื่องอะไรที่เกิด เกิดขึ้นได้ยังไง ตั้งได้ยังไง แล้วจบลงไปได้ยังไง เขาจบลงไป ความว่างเปล่าเข้ามาได้ยังไง เรื่องใหม่ก็เข้ามาอีก ปรุงแต่งเข้ามาอีก ใจของเราถ้าเข้าไปร่วมอีก เราก็ดับ เราก็ละอีก ถ้าไม่เข้าไปร่วม เราก็ตามดู ตามเห็น ตามทำความเข้าใจ
นี่แหละ เขาเรียกว่า ‘อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า’ เขาเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ตามทำความเข้าใจได้เมื่อไหร่ เราก็จะเข้าใจคำว่า อัตตา อนัตตา เข้าใจคำว่า สมมติ วิมุตติ เห็น จนใจของเราเกิดความเบื่อหน่ายว่า สิ่งพวกที่มาปรุงแต่งใจนี้ไม่มีสารประโยชน์แก่นสารอะไร เกิดความเบื่อหน่าย อยากจะหลบ อยากจะหลีก ทำความเข้าใจแล้วค่อยละขันธ์ห้า ละขันธ์ห้าแล้วมาดับความเกิดที่ใจ หนุนกำลังสติปัญญาไปทำหน้าที่แทน ทุกเรื่อง จนสติปัญญาของเรา กลายเป็นมหาสติ กลายเป็นมหาปัญญา หมดความสงสัย หมดความลังเล หมดสิ่งที่จะไปค้นคว้านั่นแหละเขาถึงจะหยุดนิ่งได้
แต่ใจของเราก็ยังเกิดอยู่ เราก็มาดับความเกิดของใจ มาละกิเลสที่ใจอีก กิเลสหยาบ กิเลสละเอียดอีก มันมีเยอะมากมายจริง ๆ นะ ยิ่งฝึกไปเท่าไหร่ ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่ ยิ่งทำความเข้าใจ ยิ่งแก้ไขตัวเราเอง ไม่ใช่ว่าไปทำปุ๊บมันได้ปั๊บ ต้องทำไปเรื่อย ๆ เจริญพรหมวิหารไปเรื่อย ๆ ละกิเลสไปเรื่อย ๆ จนไม่เอา ไม่เหลือ ไม่มีอะไร จนเหลือแต่ความบริสุทธิ์คือ ความสะอาดของใจนั่นแหละ จนบริหารสติ บริหารสมมติ วิมุตติ ด้วยสติด้วยปัญญาของเราได้นั่นแหละ
การพูดง่าย แต่การกระทำ เราต้องมีความเพียรอย่างยิ่งยวด เป็นบุคคลที่มีความขยัน เป็นบุคคลที่มีความเพียรทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน กิน อยู่ ขับถ่าย จนเป็นอัตโนมัติ ในการดู ในการรู้ ในการละ จะเอา จะมี จะเป็น ก็เป็นเรื่องของปัญญา ทำได้บ้าง ไม่ได้บ้างก็พยายามอย่าไปทิ้ง พยายามทำ แต่คนทั่วไปมีตั้งแต่หอบกิเลสเข้ามาทับถมดวงใจของตัวเอง จนเป็นดินพอกหางหมู ยากที่จะขัด มันก็เลยยากที่จะเข้าถึงจุดหมายปลายทางได้ แต่ก็ต้องพยายาม มันไม่เหลือวิสัย พยายามกลับบ้านเก่า คือความสะอาดความบริสุทธิ์ของใจ พยายามทำให้ได้ มันไม่เหลือวิสัยหรอก
แนวทางนั้นมีอยู่ตั้งนานแล้ว พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบเอามาเปิดเผย เราจะไปฝึกหัดปฏิบัติธรรมที่นู่นที่นี่ ก็เพื่อไปแสวงหาแนวทาง หาวิธี หาอุบาย ถ้าเราเข้าใจแล้วตื่นขึ้นมารีบดูใจ รีบรู้ใจ ใจที่ไม่เกิดเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นลักษณะอย่างนี้ ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจเป็นลักษณะอย่างนี้ กายของเราทำหน้าที่อย่างนี้ มีหมดอยู่ที่กายของเรา เว้นเสียแต่ว่าเราจะทำหน้าของเราได้ดีหรือไม่เท่านั้นเอง ก็ต้องพยายาม
ฝากไว้กับพวกเราทุกคน เป็นงานของตัวของเราเอง ไม่ใช่งานของคนอื่น ไม่ใช่งานของหลวงพ่อ งานของหลวงพ่อก็งานยังประโยชน์ให้กับสมมติเท่านั้นแหละ งานภายในของหลวงพ่อจัดการของตัวเองมาตั้งนานแล้ว เห็นหมด ทำความเข้าใจได้หมดว่าเกิดยังไง ไปยังไง มายังไง การละกิเลสยังไง ความกลัวเป็นยังไง ความอยากเป็นยังไง อดอาหารก็อด ละความกลัวอยู่กับหลุมศพก็อยู่ อยู่ตามป่าช้าก็อยู่ ไปฝึกมาหมดนั่นแหละ ไปจัดการกับมันมาหมดนั่นแหละ
จบภายในแล้วก็สนุกยังประโยชน์ภายนอกให้กับพี่กับน้องของพวกเรา หลวงพ่อก็พาทำอยู่ตลอดเวลา
ส่วนงานภายในของเราต้องทำ ดำเนินให้ถึงจุดหมายปลายทางให้ได้กันทุกคน สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักพักนะ
พากันไหว้พระพร้อม ๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจนะ