แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
หลวงพ่อฝากไว้ ลำดับที่ 41
วันที่ 17 พฤษภาคม 2557
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมา เราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ การเจริญสติ ทำความเข้าใจให้ต่อเนื่อง ในชีวิตของเรา การทำบุญ การให้ทาน เราทำได้ตลอดเวลา การเจริญสติเราก็ทำได้ตลอดเวลา
ถ้ากำลังสติเรารู้ใจ รู้ความคิด รู้อารมณ์ เข้าใจในคำว่า ‘อัตตา อนัตตา’ แยกรูป แยกนามได้ ตามทำความเข้าใจได้ เราก็รู้ใจของเราได้ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราจะละกิเลสได้หมดจดหรือไม่หมดจด ก็ขึ้นอยู่กับกำลังสติปัญญาของเรา อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง เวลาโน้นถึงจะทำ เวลานี้ถึงจะทำ ทำได้ตลอดเวลาเลยทีเดียว จนกระทั่งหมดลมหาย จนเป็นเอง จนเป็นอัตโนมัติ จนเป็นมหาสติ จนเป็นมหาปัญญา
ความเห็น ทำความเห็นให้ถูก ทำไมถึงว่าความเห็นให้ถูก เรายังไงถึงจะรู้ถูก เราก็ต้องเจริญสติให้ต่อเนื่องให้ได้เสียก่อน การเจริญสติให้ต่อเนื่อง รู้จักควบคุมใจ การควบคุมใจนี้เขาเรียกว่า ‘สมถะ’ ควบคุมใจ อบรมใจ ตัวสติที่เราสร้างขึ้นมานี้ ก็เป็นตัวปัญญาที่จะเข้าไปอบรมใจ ก็เห็นเป็นสองส่วน ส่วนความคิดหรือว่าอาการของขันธ์ห้านั้นก็มีอีกส่วนหนึ่ง ที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ หรือบางครั้งบางคราวความคิดอยู่เฉย ๆ ก็คิดไปเรื่อยเฉื่อย แต่ใจของเราเคลื่อนเข้าไปรวมโดยที่เราไม่รู้ตัว ไปรวมจนเป็นตัวเดียวกันนั่นแหละ เข้าไปหลง ทำให้เกิดอัตตาตัวตน กายก็เลยหนัก ใจก็เลยหนัก
บุคคลที่มีกำลังสติ รู้จักเจริญสติให้ต่อเนื่อง ให้เชื่อมโยง ก็จะเห็นความเคลื่อนไหวของใจเข้าไปรวมกับอารมณ์ ถ้าเราเห็นขณะที่เขาเคลื่อนเข้าไปรวม ใจก็จะดีดออก ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ แล้วก็หงาย เขาเรียกว่าพลิกจากสมมติไปหาวิมุตติ หงายของที่คว่ำ ใจก็จะว่าง กายก็จะเบา
ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมา ก็ตามเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้าเป็นเรื่องอะไร นี่แหละถ้าเราไม่เจริญสติเราก็จะไม่เห็นตรงนี้ ถ้าเราไม่มีความเพียรพอ แต่การทำบุญให้ทาน ศรัทธาที่เกิดจากตัวใจ แสวงหาบุญ แสวงหาธรรมกัน ตรงนี้มีกันเต็มเปี่ยม มีกันตั้งแต่พ่อแม่ปู่ย่าตายายมา แต่การสังเกต การวิเคราะห์ การละกิเลสหยาบ กิเลสละเอียด การเจริญสติที่ต่อเนื่องเป็นอย่างไร กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร ตรงนี้เราทำไม่ค่อยจะต่อเนื่อง ไม่ค่อยจะเชื่อมโยง ก็เลยไม่เข้าใจ ก็เลยว่าตัวเราไม่ได้ปฏิบัติ
ทุกคนปฏิบัติกันมาตั้งนาน มาหลายภพหลายชาติแล้วแหละ ตั้งแต่เริ่มเกิดมาก็พัฒนาการมาเรื่อย ๆ ทางด้านกาย ร่างกายก็พัฒนาจนเป็นผู้ใหญ่ ได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียน ผิดถูกชั่วดี รู้จักแก้ไข รู้จักปรับปรุงมาเรื่อย ๆ ถ้าเราไม่เข้าใจแนวทาง แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแล้วก็เอามาเปิดเผย การละกิเลสเป็นลักษณะอย่างนี้ กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด ละความโลภ ละความโกรธ การจะคลายความหลง เราต้องเจริญสติเข้าไปสังเกต เข้าไปวิเคราะห์ ไม่ใช่ว่าไปนึกเอาไปคิดเอา ถึงนึกคิดในธรรมก็เป็นแค่เพียงกิเลสธรรม ใจที่ยังเกิดยังหลงอยู่ เราก็ต้องพยายาม จะทำได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามทำ อย่าไปทิ้ง ผิดพลาดแก้ไขใหม่ ล้มแล้วลุกขึ้นมาแก้ไขใหม่ทั้งภายนอกทั้งภายใน
ภายนอกโลกธรรมที่เราเข้ายุ่งเกี่ยว เราก็ต้องพยายามทำหน้าที่ของเราให้ดี ให้เกิดประโยชน์ ประโยชน์ใกล้ ประโยชน์ไกล ประโยชน์มาก ประโยชน์น้อย ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์อยู่ปัจจุบัน ก็ต้องพยายาม ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชี อีกสักหน่อยทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนลงไตรลักษณ์ ลงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องได้พลัดพรากจากกันหมด ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนตาย ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง
เราจงพยายามทำความจริงให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา เพื่อเห็นความเกิดความดับของจิต ของวิญญาณ ของขันธ์ห้า แยกแยะได้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในขันธ์ห้าส่วนเป็นนามธรรม ส่วนเป็นรูปธรรมเราก็ทำความเข้าใจ แล้วก็รอบรู้ในกองสังขารของตัวเราเอง รอบรู้ในโลกธรรม ในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว
ถ้าเราไม่ดำเนินชีวิตของเรา แก้ไขเรา ไม่มีใครจะแก้ไขให้เราได้เลย นอกจากตัวเราจะบอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น อย่าไปโทษคนโน้น อย่าไปโทษคนนี้ อย่าไปอคติคนโน้น อย่าไปอคติคนนี้ จงแก้ไขตัวเรา ขนาบเรา ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ตัวเราหมด พยายามเดินให้ถึงจุดหมายถึงปลายทาง ก่อนที่ธาตุขันธ์ของเราจะแตกจะดับ
วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อม ๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ