แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
[00:11] มีความสุขกันทุกคน วันนี้ก็เป็นวันพระ ญาติโยมก็ได้เข้ามาสร้างบุญสร้างกุศลกัน แต่ก็คอยระวังหน่อยนะ พยายามป้องกันตัวเรา ป้องกันคนอื่น เพราะโรคภัยไข้เจ็บก็ระบาด ดังที่พวกเราได้ทราบกัน รักษาเราแล้วเราก็รักษาคนอื่น แต่ถ้าพูดลักษณะของความเป็นจริงแล้ว ก็เป็นโรคกรรมนั่นแหละ มาชำระ นั่งหันหลังให้กันอยู่ก็ไม่เป็นไร ถ้าไม่มีวิบากกรรมต่อกัน ถ้ามีวิบากกรรมต่อกัน ไปหลบอยู่ที่ไหนก็เจอเหมือนเดิม แต่เราก็ไม่ประมาท พากันประคับประคองกายของเรา ประคับประคองใจของเรา ไม่ให้อยู่ในความประมาท ให้อยู่ในกองบุญ ให้อยู่ในกองกุศลเอาไว้ เพราะว่าคนเราเกิดมา ถ้าถึงวาระเวลาก็... ถ้าพูดตามหลักของความเป็นจริงก็คือ ‘ตาย’ มีความเกิดก็มีความตาย ถ้าถึงเวลา ถ้าไม่ถึงเวลาก็ไม่เป็นไร
ขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่นี่แหละ เราพยายามมาแก้ไข มาแก้ไขมาปรับปรุงใจของเรา มาอบรมใจของเรา ตามแนวทางของพระพุทธเจ้า หรือว่าตามแนวทางของพระพุทธองค์ ที่ท่านได้ค้นพบคือเรื่องหลักของอริยสัจ อริยสัจสี่ ความจริงอันประเสริฐ ซึ่งมีอยู่ในกายของเรา ตามแนวทางอริยมรรคในองค์ 8 คำว่า ‘อริยมรรค’ คือหนทางเดิน คือ ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความเห็นถูก พวกเราอาจจะเห็นถูกอยู่ในระดับของสมมติ แต่เห็นถูกในหลักธรรม เราต้องมาเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์จนใจคลายออกจากขันธ์ห้า หรือซึ่งเรียกว่าแยกรูปแยกนามนั่นแหละ ที่ท่านเรียกว่า ‘เห็นถูก’ เพียงแค่เริ่มต้น เริ่มต้นเห็นถูก ตามเห็นการเกิดการดับ ตามดูการแยกการคลาย รู้ลักษณะของใจ ใจที่ส่งออกไปภายนอกเป็นอย่างไร ใจที่เกิดกิเลส เราละกิเลสได้หรือไม่ ใจอยู่ในกองบุญกองกุศลหรือเปล่า แต่ละวัน ๆ เราต้องรู้ให้ชัดเจน ถึงจะเรียกว่า ‘ความเห็นถูก’ ตามดู ตามรู้ ตามเห็น ตามชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล ท่านถึงบอกให้เชื่อ
ศรัทธามีกันเต็มเปี่ยม ความเชื่อก็มีกันเต็มเปี่ยม แต่ให้เชื่อด้วยเหตุด้วยผล เชื่อด้วยสติ
ด้วยปัญญาที่เกิดจากการเจริญภาวนา แยกรูปแยกนามให้ได้ รู้เรื่องอัตตา อนัตตาให้ได้ รู้เรื่องสมมติ วิมุตติให้ได้ ส่วนมากเราก็มองในภาพรวมเป็นกลุ่มเป็นก้อน ร่างกายก็ของเรา อันนู้นก็ของเรา อันนี้ก็ของเรา แต่ในหลักธรรมของพระพุทธองค์ ท่านมองเห็นเป็นของว่าง ไม่มีอะไร ไม่มีตัวไม่มีตน มีตัวมีตนอยู่ระดับของสมมติ ในระดับวิมุตติ การแยกการคลายถึงจะรู้ความเป็นจริง ถึงเราเดินปัญญาแยกรูปแยกนามไม่ได้ ก็ให้มีศรัทธาอยู่ในบุญ บุญนี่ถึงเป็นพื้นฐานอันยิ่งใหญ่ ในการปล่อยในการวาง เพียงแค่คิดดีก็เป็นบุญ ทำดีก็เป็นบุญ อย่าไปปล่อยปละละเลยตั้งแต่ตื่นขึ้น ถ้าเราสำรวจใจของเราได้ ชี้เหตุชี้ผล อบรมใจของเราได้ ทุกเวลา ทุกขณะ ทุกลมหายใจเข้าออก ท่านถึงเรียกว่า ทุกขณะจิต
สำรวจดู คำว่า ‘ศีล’ ศีลเป็นลักษณะอย่างไร ศีลก็คือความปกติ ปกติของกายของเรา กายก็ไม่ได้ไปสร้างความเดือดร้อนให้คนโน้น ให้คนนี้ วาจาของเราก็ไม่ได้ไปพูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ พูดสิ่งที่ไร้สาระ ใจของเราก็ไม่ได้คิดอคติ ไม่ได้คิดเพ่งโทษ อันนี้ก็เป็นศีล ศีลที่พวกเรามาสมาทาน เราก็สำรวจความปกติของใจ นั่นแหละคือศีล ความปกติของกาย ความปกติของวาจา กาย วาจา ใจ ปกติ เขาเรียกว่า ศีล
‘สมาธิ’ ใจที่สงบ ใจที่ไม่มีความกังวล ใจที่ไม่มีความฟุ้งซ่าน ใจที่ไม่เกิดกิเลส เขาเรียกว่า สมาธิ ด้วยการข่มเอาไว้ หรือว่าด้วยการรู้เห็นตามความเป็นจริง ด้วยการแยกแยะ ปล่อยวาง ชี้เหตุชี้ผล รู้หลักของอริยสัจสี่ ใจส่งออกไปภายนอก เขาเรียกว่า ‘สมุทัย’ เราดับ เราหยุด เราชี้เหตุชี้ผล ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค คือความสงบก็ตามมา
[06:06] คนเราก็ปรารถนาหาความสุขกันทุกคน ถ้าใครหาเจอ หาถูกที่ก็อาจจะเจอได้เร็วได้ไว การพูดนี้ง่าย การปฏิบัติยาก ต้องเป็นบุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ ทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ทุกเรื่อง ในภาระหน้าที่การงาน ทำความเข้าใจกับโลกธรรม โลกธรรมแปดที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยวทำความเข้าใจกับทวารทั้งหก ทำความเข้าใจกับรูปรสกลิ่นเสียงที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว รู้จักจำแนกแจกแจง ก็ต้องพยายามหมั่นวิเคราะห์บ่อย ๆ ทำความเข้าใจบ่อย ๆ สักวันหนึ่งเราก็จะมองเห็นหนทางเดิน ว่าเราจะไปอย่างไร มาอย่างไร เพราะว่ากายเนื้อ ถึงเวลาเขาก็ต้องแตกต้องดับเพราะว่าเป็น ‘กฎของไตรลักษณ์’ กฎของความเป็นจริง มารับเอาโลงศพทุกวัน วันละ 2 โลง 3 โลง บางทีก็ 6 โลง 7 โลงก็มี นี่แหละ ความเจ็บ ความป่วย ความตาย มีมาให้เราได้เห็นทุกวัน
หลวงพ่อก็... สภาพร่างกายก็เจ็บป่วยอยู่ เจ็บป่วยอยู่ตลอดเวลา ฉีดอินซูลิน ฉีดยามายี่สิบกว่าปี ทั้งทานยา ฉีดยา เข้าโรงพยาบาลสิบกว่าเที่ยว วันนี้ก็เพิ่งจะออกมา หมอก็เอาไปซ่อมแซมในส่วนที่มันสึกหรอ ถ้าถึงเวลามันก็ต้องแตกต้องดับ หลายสิ่งหลายอย่าง ทั้งน้ำในปอด ทั้งหัวใจ ทั้งเบาหวาน ความดัน ทั้งขึ้นทั้งลง บางวันก็ปกติ บางวันก็ไม่ปกติ บางวันก็ต่ำ แต่กะบังลมที่ช่วยหายใจนี่เป็นอัมพฤกษ์มาหลายปี กะบังลมทำงานข้างเดียว หลวงพ่อต้องได้อาศัยเครื่องช่วยหายใจช่วยมาสองสามปีแล้ว เครื่องออกซิเจนมาช่วยหายใจ เพราะออกซิเจนในร่างกายมันต่ำ เวลากลางคืนแล้วก็ต้องได้อาศัยเครื่องออกซิเจน แต่ก็พยายามประคับประคองร่างกายของตัวเอง ให้ได้สร้างบุญสร้างกุศล ให้ได้ยังประโยชน์ให้มากที่สุด เท่าที่กำลังกายจะอำนวยให้
บางครั้งบางที พระเราชีเราก็ให้พากันสมัครสมานสามัคคีกัน มาทำวัตรสวดมนต์ พยายามทำให้ได้ ที่หลวงพ่อไม่ได้พาทำ ก็เพราะว่าสภาพร่างกายของหลวงพ่อเป็นอย่างนี้ สมัยก่อนนี้ต้องทำ ทุกปี ทุกวัน หลวงพ่อก็จะพยายามประคับประคองร่างกายของหลวงพ่อให้อยู่เพื่อที่ยังประโยชน์ให้ทุกคน ให้ได้เยอะที่สุด ให้ได้มากที่สุดเท่าที่ร่างกายจะอำนวยให้ เขาก็เป็นหนัก ต้องทานยา ฉีดยาทุกวัน เหมือนกับผลไม้ฉุ เตรียมพร้อมที่จะอยู่ เตรียมพร้อมที่จะไป อยู่ก็มีความสุข ไปก็มีความสุข ไม่ได้ลำบากเพราะว่าเราเตรียมพร้อมมาดี อยู่ก็ยังประโยชน์ ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์ในโลกนี้ ประโยชน์ในโลกหน้า ไม่ใช่ว่าปล่อยเวลาทิ้ง ไม่อยากจะปล่อยเวลาทิ้ง เราอย่าพากันเกียจคร้าน จงพากันขยันหมั่นเพียร เพียรทั้งการขัดเกลากิเลส เพียรทั้งการทำความเข้าใจ เพียรทั้งสมมติ ความเป็นอยู่ ทั้งโลกธรรม ทำความเข้าใจให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น บอกตัวเองให้ได้
อะไรคือสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา อะไรคือใจ ทำไมใจถึงเกิด ทำไมถึงหลงความคิด หลงอารมณ์ ทำไมใจถึงเกิดอัตตา คำว่า ‘อัตตา-อนัตตา’ เป็นลักษณะอย่างไร คำว่า ‘วิมุตติ-สมมติ’ เป็นลักษณะอย่างไร คำว่า ‘สัมมาทิฏฐิ-การแยก-การคลาย’ เป็นลักษณะอย่างไร เราต้องเข้าถึง รู้ด้วย เห็นด้วย ทำความเข้าใจได้ด้วย แต่ส่วนมากก็ศรัทธาเต็มเปี่ยม ทำบุญกันเต็มเปี่ยม แต่เดินปัญญาแยกรูปแยกนาม ตรงนี้ไม่ค่อยจะได้เท่าไหร่ เพราะว่ากำลังสติมีไม่เพียงพอ ถึงอย่างไรก็อย่าไปทิ้งบุญ ทำบุญ บุญนี้เป็นพื้นฐานอันยิ่งใหญ่ ที่ทำให้ใจของเราสะอาดบริสุทธิ์ ปล่อยวางได้ ให้ถึงจุดหมายปลายทางได้ ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติสักพักหนึ่ง สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของเรา ให้ต่อเนื่องกันสักระยะหนึ่ง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ วางความนึกคิดปรุงแต่งต่าง ๆ หยุด หยุด หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ วางภาระหน้าที่การงานทางบ้าน ทางสมมติทางบ้านเราก็วางมาแล้ว เราก็มีศรัทธาน้อมกายของเราเข้ามาทำบุญ มาถวายทาน ทีนี้เราก็มารู้จักการเจริญสติ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาว ๆ ลึก ๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาว ๆ อย่าไปบังคับ อย่าไปบังคับลมหายใจการสูดลมหายใจยาว ผ่อนลมหายใจยาว กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเรา นั่นแหละที่ท่านเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ หายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ มีความรู้สึกรับรู้ให้ต่อเนื่อง ท่านเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม สิ่งทุกสิ่งทุกอย่างอย่าเพิ่งเอาเก็บมานึกมาคิด วางเอาไว้เสียก่อน เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกพวกเราก็พยายามหัดสังเกตให้เกิดความเคยชิน ให้เกิดความชำนาญ มีความพลั้งเผลอ เราก็เริ่มใหม่ หายใจอึดอัด เราก็พยายามแก้ไข หายใจอย่างไรถึงจะเป็นธรรมชาติ หายใจอย่างไร เราถึงจะมีความรู้สึกรับรู้ได้ทัน ได้ชัดเจน ถ้าความรู้สึกไม่ชัดเจน เราก็พยายามหายใจเข้าไปยาว ๆ ความรู้สึกก็จะชัดเจน พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน
[13:57] ช่วงใหม่ ๆ ก็อาจจะอึดอัดบ้าง ติดขัดบ้าง เพราะว่าความไม่เคยชิน ถ้าเราฝึกบ่อย ๆ ทำความเข้าใจบ่อย ๆ หายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ มีความรู้สึกตัวที่ต่อเนื่อง ส่วนการเกิดของใจเราก็จะรู้เท่ารู้ทัน รู้ลักษณะของใจ ใจเกิดหรือว่าความคิดที่เกิดจากใจส่งออกไปภายนอก เราก็จะเห็น หรือบางทีความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิด ที่ผุดขึ้นมา เราก็จะรู้เท่ารู้ทัน ใจของเราเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร เราต้องพยายามสร้างความรู้ตัวนี้แหล่ะเข้าไปควบคุมใจของเรา เข้าไปอบรมใจของเราบ่อย ๆ อบรมใจ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล จนกว่าใจจะคลายออกจากขันธ์ห้า หรือว่า ‘หงายขึ้นมา’ หรือว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ใจก็จะว่าง กายก็จะเบา เราก็จะเห็นความเกิดความดับ เราก็จะเข้าใจความหมายของชีวิต เข้าใจภาษาธรรม ภาษาโลกเข้าใจคำว่า ‘อัตตา’ เป็นลักษณะอย่างนี้ ‘อนัตตา’ เป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่ส่งออกไปภายนอกเป็นลักษณะอย่างนี้ กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด เราละกิเลสได้ระดับไหน ระดับต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ
แต่ละวันตื่นขึ้นมา เราได้บุญหรือไม่ เราแก้ไขอย่างไรเราถึงจะได้บุญ ใจของเรามีความอ่อนน้อม ใจของเรามีศรัทธา เราก็ได้บุญแล้ว เพียงแค่เดิน เดินมาวัด มีความอ่อนน้อมต่อผู้หลักผู้ใหญ่ มีสัมมาคารวะ รู้จักควบคุมกาย รู้จักควบคุมวาจา รู้จักควบคุมใจ อันนี้ก็เป็นบุญแล้ว เราพยายามเอาบุญ ตักตวงบุญ มีหิริ มีโอตตัปปะ มีความละอายเกรงกลัวต่อบาป หมั่นสร้างบุญสร้างกุศลให้มีให้เกิดขึ้น จากน้อย ๆ ไปหามากขึ้นๆ ๆ จนเต็มรอบ ไม่เต็มวันนี้ ก็เต็มวันพรุ่งนี้ ไม่วันพรุ่งนี้ ก็เดือนนี้เดือนหน้า อานิสงส์ผลบุญผลทานเราก็ทำ การเจริญสติ เจริญปัญญา เราก็หัดวิเคราะห์ควบคู่กันไป สิ่งพวกนี้แหละจะติดตามตัวเราไปในวันข้างหน้า กายเนื้อแตกดับ ถ้าใจยังเกิดอยู่ เขาก็ต้องเกิด ก็ขอให้เกิดอยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ ขณะนี้เวลานี้ เรามาสร้างความรู้ตัวให้ชัดเจนให้ได้เสียก่อน สร้างความรู้สึกรับรู้ การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน ทำใจให้ว่าง สมองให้โล่ง กายให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ
ไหว้พระพร้อม ๆ กัน พากันไปทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ