แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มีความสุขกันทุกคน พระเราชีเราก็ดูดีๆ นะพิจารณาปฏิสังขาโย อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง เราพยายามจำแนกแจกแจง ความอยาก ความหิว กายเกิดความหิว ใจเกิดความอยาก เราก็รู้จักดับ รู้จักควบคุม รู้จักพิจารณา ไม่ใช่ปล่อยวันเวลาทิ้ง
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราได้สำรวจกายสำรวจใจของเราให้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลยอยู่ด้วยความหลง เราจงอยู่ด้วยสติ อยู่ด้วยปัญญา พินิจพิจารณา จำแนกแจกแจงให้ได้ว่าอะไรเป็นอะไร
ใจที่ปกติเป็นอย่างไร ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างไร อะไรคือส่วนรูป อะไรคือส่วนนาม อะไรคือกองสังขาร อะไรคือวิญญาณในกายของเรา ลักษณะใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างไร เราต้องดู รู้ ตั้งแต่ตื่นขึ้น รู้กาย การรู้กายรู้ลมหายใจเข้าออกเป็นอย่างไร ไม่ใช่ไปผัดวันประกันพรุ่ง สำรวจดูตั้งแต่ตื่นขึ้น ใจของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน ใจของเรามีความกตัญญูกตเวที ใจของเรามีความเสียสละ มีความรับผิดชอบต่อส่วนตัว ต่อส่วนรวมหรือไม่ เราก็ต้องดู
รู้สึกว่าทุกวันนี้ก็ โรคภัยไข้เจ็บก็ระบาดกันเยอะ ไปทั่วโลก ประเทศของเราก็เห็นว่าระบาดกันเยอะ แทบทุกจังหวัดแล้ว ขอนแก่นของเราก็เยอะเห็นว่าเยอะขึ้น ทางวัดก็จะได้ปิดวัด ปิดการเที่ยวการอะไรต่างๆเอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น
เห็นว่าวันนี้ก็มีผู้ใจบุญ จะได้นำโคมาไถ่ชีวิต นำโคแม่ลูกอ่อน นำโคท้อง ประมาณสัก 10 โมงเช้าก็ขอนิมนต์พระเราชีเรามารวมกันที่ศาลา คุณหมอด้วยเด้อ มาทำพิธี มาทำพิธีเห็นว่าไถ่ชีวิตโคท้อง จะมาทำพิธีทางศาสนาให้กับชีวิตสัตว์ที่อยู่ในภพสัตว์เดรัจฉาน หรือว่าวัว หรือว่าโค
คนเราเกิดมาอยู่ในภพของมนุษย์ ภพมนุษย์ ภพสัตว์เดรัจฉาน แล้วก็สัตว์นรก แล้วก็สวรรค์ พรหม นิพพาน มีหมด ถ้าเราประพฤติปฏิบัติให้รู้แจ้งเห็นจริง เราก็จะมองเห็นหนทาง หนทางว่าจะไปยังไงมายังไง
ใจของเราเป็นอย่างไรบ้าง ความเกิด ความเกิดของใจ ความเกิดของใจนี่เขามาสร้างภพมนุษย์ เขาเรียกว่าภพมนุษย์ ขณะยังอาศัยกายนี้อยู่ เขาก็ยังเกิดต่อ ยังไปต่อคือความคิดของเรานั่นแหละ เกิดๆ ดับๆ อยู่ตลอดเวลา ทั้งเกิดจากตัวใจ ทั้งเกิดจากอาการของขันธ์ 5 อาการของใจที่มาปรุงแต่งหลงไปด้วยกัน เราก็ยังอยู่ด้วยความหลง ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด แต่ก็ยังมีอานิสงส์แห่งบุญ มีศรัทธา มีบุญ ยังสร้างบุญสร้างกุศลกันอยู่ แต่ต้องให้เกิดปัญญาด้วย
ปัญญาที่เกิดจากการภาวนา ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล จำแนกแจกแจงว่ามีอะไรบ้าง อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ดำเนินให้ถูกที่ถูกทาง ให้ถูกตามทำนองคลองธรรม เราก็จะใช้ชีวิตอย่างมีความสงบ ความสุข
ประโยชน์สมบูรณ์ ประโยชน์ภายนอก ประโยชน์ภายใน ประโยชน์สมมติ ประโยชน์วิมุตติ เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจให้กระจ่าง อย่าพากันประมาท อย่าไปทิ้งบุญ อย่าทิ้งบุญ บุญนี้เป็นพื้นฐานอันยิ่งใหญ่ เป็นเข้าพกเข้าห่อติดตามตัวเราทุกคน ตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่
ก็เพราะว่าคนเราเกิดมาแล้วก็ตายหมดนั่นแหละ ไม่ตายช้าก็ตายเร็ว ไม่ว่าเด็กไม่ว่าผู้ใหญ่ เมื่อวานก็มารับเอาโลง 6 โลงวันเดียว วันละ 2 โลง 3 โลง เมื่อวานนี้ปาเข้าไปตั้ง 6 โลง ความตายนี่มานั่นทุกวันๆ
อีกอย่างหนึ่งโรคภัยไข้เจ็บก็ระบาดกันหนักเอาการอยู่ เราก็อย่าพากันประมาท ถ้าไม่ถึงเวลาก็ไม่เป็นไร ถ้าถึงเวลาแล้วเอาอะไรมาฉุดมารั้งเอาไว้ก็ไม่อยู่ ขณะที่ยังมีกำลัง ยังมีลมหายใจ ก็พยายามสร้างบุญสร้างประโยชน์ให้เต็มเปี่ยม ตักตวงเอากำไรในกายก้อนนี้
อย่าพากันเกียจคร้าน ความเกียจคร้านเข้าครอบงำก็หมักหมมไปเรื่อยๆ เราจงพยายามสร้างความขยันหมั่นเพียร พยายามหัดสังเกต หัดวิเคราะห์ เอาใจใส่ ฝักใฝ่สนใจ ในสิ่งที่เราเป็นเราอยู่ ทำความเข้าใจ อย่าไปงอมืองอเท้า ขยันหมั่นเพียร ยังสมมติของเราให้อยู่ดีมีความสุข ขยันหมั่นเพียร ขัดเกลากิเลสออกจากใจของเรา
จะเอา จะมี จะเป็น ก็เป็นเรื่องของสติ เรื่องของปัญญา ดำเนินบริหารด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยพรหมวิหาร ด้วยความเมตตา เราก็จะอยู่กับสมมติอย่างมีความสุข เคารพสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ มีให้ได้ มีให้เป็น ทำให้เป็น
การพูดง่ายอยู่ แต่การกระทำ การลงมือจริงๆ เราต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ ขยันหมั่นเพียรในการวิเคราะห์ ในการสังเกต ในความเสียสละทุกอย่าง ทั้งรูป ทั้งนาม ทั้งโลก ทั้งธรรม
เราต้องเป็นบุคคลที่เสียสละ ขัดเกลาเอาออก บำเพ็ญตนให้เกิดประโยชน์ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์ใกล้ ประโยชน์ไกล ถ้าความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ประโยชน์ตนก็หาย ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่านก็ไม่มี มีแต่กิเลสเข้าไปเล่นงาน เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เสียทีที่มีโอกาสได้เข้ามาศึกษา กลับให้กิเลสมาเล่นงานอยู่ตลอดเวลา
เราก็ต้องพิจารณาตัวเรา แก้ไขตัวเรา ไม่มีใครจะแก้ไขกิเลสให้เราได้หรอก นอกจากตัวเรา แม้แต่พระพุทธองค์ท่านก็เป็นองค์ค้นพบ แล้วมาเปิดเผย จำแนกแจกแจง ชี้เหตุชี้ผล ให้ปฏิบัติตาม ถ้าพวกเราไม่ปฏิบัติตามเราก็เข้าไม่ถึงอานิสงส์แห่งคุณงามความดีนั้น
เราก็ต้องพยายามมาแก้ไขเรา แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบตั้งนาน คืออริยมรรคในองค์ 8 สัมมาทิฏฐิ-ความเห็นถูก เห็นการเกิดการดับ รู้เรื่องหลักของอริยสัจ รู้เรื่องความไม่เที่ยง รู้เรื่องสมมติ วิมุตติ รู้เรื่องอัตตา อนัตตา รู้เรื่องการขัดเกลากิเลส รู้เรื่องการบำเพ็ญตบะในการขัดเกลากิเลส ด้วยการให้ ด้วยการเอาออก ด้วยการเจริญพรหมวิหาร ให้มีให้เกิดขึ้น ไม่ใช่ว่าจะไปปล่อยปละละเลย ประโยชน์ตนก็ไม่เอา ประโยชน์ท่านก็ไม่เอา มีตั้งแต่ความมัวเมา ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ไปอยู่ที่ไหนมันก็ปิดกั้นตัวเอง ปิดกั้นตัวเอง หนักตัวเอง หนักคนอื่น หนักสถานที่
เราจงเป็นบุคคลที่ ผู้รู้ รู้ ตื่น เบิกบานอยู่ทุกขณะทุกเวลา มันถึงจะเป็นบุคคลที่ได้เกิดมาไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ก็ต้องพยายามกัน ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ก็มีจิตมีวิญญาณ มีกายเนื้อ มีขันธ์ 5 เหมือนกันหมด ปฏิบัติเหมือนกันหมด จะถึงช้าหรือถึงเร็ว เข้าถึงช้าหรือเข้าถึงเร็ว ถ้าปฏิบัติให้ถูกที่ถูกทาง ถ้าขัดเกลากิเลสออกได้เร็วได้ไว หมั่นขัดเกลาเอาออก ใจก็จะเข้าถึงความบริสุทธิ์ได้เร็วได้ไว มองเห็นหนทางเดิน ไม่ต้องกลับมาเกิดกัน
อย่าลืมนะประมาณ 10 โมง ให้มารวมกันที่นี่ มาทำพิธีไถ่ชีวิตโค ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติให้ต่อเนื่องกันสักนิดนึงก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่อง วางภาระหน้าที่การงานทางบ้าน เราก็ได้วางมาแล้ว ทีนี้เราก็มาหยุดความนึกคิดปรุงแต่งที่เกิดจากใจของเรา ด้วยการสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจ ที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ อย่าไปบังคับลมหายใจนะ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว การสูดลมหายใจยาวๆ ผ่อนลมหายใจยาวๆ กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเรานั่นแหละที่ท่านเรียกว่า "สติรู้กาย" หายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ถ้าความรู้สึกไม่ชัดเจนเราก็พยายามสูดลมหายใจยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ
ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องภาษาธรรมะท่านเรียกว่า 'สัมปชัญญะ' มีความรู้ตัวทั่วพร้อม ขณะที่เรามีความรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ ใจจะเกิดขึ้นมา เราก็จะรู้เท่ารู้ทันการเกิดของใจ เห็นอาการการเกิดของใจ ถ้ามีความคิดผุดขึ้นมา หรือว่าความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดผุดขึ้นมา เราก็จะเห็น เห็นอาการของความคิดนั้น เห็นลักษณะอาการของใจที่จะเคลื่อนเข้าไปรวมกับความคิดนั้น
แต่ส่วนมากเราจะรู้ไม่ทัน เพราะว่าเขาเร็วไวมากทีเดียว ถ้ากำลังสติของเราไม่ต่อเนื่อง เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้ได้ ตรงนี้ก็ยังยากอยู่ ก็เลยรู้ไม่เท่าทันกลไกของกิเลสตรงนั้น ซึ่งก็มีกันทุกคน
เราก็พยายามมาสร้างความรู้ตัวให้ได้ทุกอิริยาบถ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราก็รู้จักเอาสติปัญญาของเราไปสังเกต เอาไปใช้ เอาไปอบรมใจของเรา ท่านถึงเรียกว่า 'ตนเป็นที่พึ่งของตน' 'ตน' คือสติที่เราสร้างขึ้นมา 'ตน' ตัวที่ 2 ก็คือตัวใจ เอาสติตัวที่เราสร้างขึ้นมาไปอบรมใจ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล เห็นการแยกการคลาย เขาถึงจะเรียกว่า 'สัมมาทิฏฐิ-ความเห็นถูก'
เห็นการเกิดการดับของจิตวิญญาณในกายของเรา เราก็จะรู้เรื่องหลักของอริยสัจ ว่าใจส่งออกไปภายนอกเป็นลักษณะอย่างไร เราจะหยุดเราจะดับด้วยวิธีไหน ด้วยการควบคุมเอาไว้ เขาเรียกว่า 'สมถะภาวนา' ด้วยการสังเกตจนใจคลายออก แยกแยะได้ เขาถึงจะเรียกว่า 'วิปัสสนา' ความรู้แจ้งเห็นจริง
ทีนี้เราจะละกิเลสได้อีกหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บมันจะได้ปั๊บ ค่อยทำค่อยเป็นค่อยไป ค่อยวิเคราะห์ ค่อยสังเกต เพียงแค่การสร้างความรู้ ตัวรู้ลมหายใจเข้าออก ตรงนี้ก็ขาดความเพียรกันมากทีเดียว รู้กายแล้วก็รู้ใจ รู้การขัดเกลากิเลส รู้จักอบรมใจของตัวเราอยู่ตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นเขาบอกเลย
เราแก้ไขเรา ปรับปรุงเรา เรามีความขยันหมั่นเพียรหรือไม่ เรามีความรับผิดชอบหรือไม่ หรือว่าเรามีความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ความเกียจคร้าน เห็นแก่กิน เห็นแก่นอน เราก็ต้องพยายามมาแก้ไขตัวเรา ถ้าเราแก้ไขให้เราไม่ได้แล้ว ไม่มีใครจะแก้ไขให้เราได้หรอกนอกจากตัวของเรา สมมติเราก็พออาศัยกันได้อยู่ในระดับหนึ่ง แต่วิมุตติความหลุดพ้น ก็ต้องดำเนินทำหน้าที่ของตัวเราให้ดี
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่อง ให้ชัดเจนกันสักนิดนึงก็ยังดี ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปศึกษาทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ