แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
หลวงพ่อฝากไว้ ลำดับที่ 34
วันที่ 25 เมษายน 2557
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมา เราได้สำรวจใจของเราแล้วหรือยัง เราได้สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ
นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย วางภาระหน้าที่การงานทางสมมติ เราก็วางมาแล้ว ถึงได้มาเข้าวัด ทีนี้เราก็มาหยุดความนึกคิดปรุงแต่งด้วยการเจริญอาณาปานาสติ ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียก
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาว ๆ ลึก ๆ สัก 2-3 เที่ยว อย่าไปบังคับลมหายใจ อย่าไปเพ่ง ห้ามเพ่ง ห้ามบังคับ ห้ามจดจ่อ การสูดลมหายใจเข้าไปยาว ๆ ลึก ๆ สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเรามีความรู้สึกรับรู้อยู่ นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง เวลาลมหายใจเข้า หายใจออก หายใจเข้า หายใจออก มีความรู้ตัวที่ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม อันนี้เพียงแค่รู้กาย สติรู้กายให้ต่อเนื่อง พวกเราก็ขาดความเพียรกันตรงนี้
ทั้งที่ใจก็ปรารถนาอยากจะได้บุญ ปรารถนาอยากจะรู้ธรรม แสวงหาดิ้นรน ตัวใจแสวงหานั้นมันเกิดแล้ว ใจเกิดปิดบังอำพรางตัวของเขาแล้ว บางทีก็มีความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิด ภาษาธรรมท่านเรียกว่า ‘อาการของขันธ์ห้า’ ตัววิญญาณกับอาการของขันธ์ห้านี่แหละเขารวมกัน ทำให้เกิดความหลง เขาเรียกว่า ‘อวิชชา’ ความไม่รู้ ความหลง
แต่เรารู้ตัวอยู่ในภาพรวม ในระดับของสมมติ คิดก็รู้ ทำก็รู้ แต่ก็รู้อยู่ในความหลงอยู่ เพราะว่าสติความรู้ตัวเราไม่ได้เจริญให้ต่อเนื่อง เอาไปสังเกต ไปวิเคราะห์จนใจคลายออกจากความคิด ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ หรือว่า พลิกจาก ‘สมมติ’ ไปหา ‘วิมุตติ’ ใจก็จะคลายออกจากความยึดมั่นถือมั่น เราก็จะเข้าใจคำว่า ‘อัตตา’ กับ ‘อนัตตา’ เข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านสอนเรื่อง อัตตา อนัตตา สอนเรื่องหลักของอริยสัจความจริงของชีวิต ว่ากายก้อนนี้มีอะไรบ้าง มีวิญญาณเข้ามาครอบครอง เข้ามายึด ท่านต้องแจงให้ออก ให้รู้ ให้เห็น เป็นชิ้นเป็นอัน
ปฏิบัติธรรม เราจะเอาอะไรไปปฏิบัติ เราก็เอากายของเรานี้แหละ เจริญสติเน้นลงอยู่ที่กายของเราทุก อิริยาบถ สร้างความขยันหมั่นเพียร สร้างความรับผิดชอบ สร้างความเสียสละ ให้มีให้เกิดขึ้น อย่าไปงอมืองอเท้า อย่าไปเกียจคร้าน ทุกเรื่องในชีวิต มีโอกาสเปลี่ยนแปลงตัวเราได้ตลอดเวลา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ อะไรไม่ดี เราก็รีบแก้ไขเสียให้มันดี ตั้งแต่จัดระบบระเบียบของกาย ของวาจา ของใจ ของภาระหน้าที่การงานในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว อะไรที่จะเป็นประโยชน์ ประโยชน์ระดับสมมติ ประโยชน์วิมุตติ ทุกสิ่งทุกอย่างก็อิงอาศัยกันอยู่
การที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี้ก็เป็นสัตว์ที่ประเสริฐแล้ว พยายามเอา พยายามทำหน้าที่ให้ดี ต่างฝ่ายต่างก็ขยันหมั่นเพียร อยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่าน อยู่คนละทิศ ละที่ ละทาง เคยสร้างบุญร่วมกันนั่นแหละ ถึงได้มาอยู่ร่วมกัน ขณะที่อยู่ร่วมกัน ก็ให้มีความสมัครสมาน สามัคคี กลมเกลียว อย่าไปอคติกัน อย่าไปเพ่งโทษกัน อะไรผิดพลาดก็ช่วยเหลือกัน แล้วก็แก้ไข จะเดินได้ถึงจุดหมายปลายทางได้เร็ว ได้ไว
ไม่มีใครที่อยากจะไปตกสู่ความไม่สบาย ทุกคนก็ปรารถนาหาความสุขกัน ภาระหน้าที่การงาน ภายในวัด ภายนอกวัด พยายามขยันหมั่นเพียร ภายในใจของเราก็หมั่นขัดเกลากิเลสออกจากใจของเราอยู่ตลอดเวลา จะไปบังคับกันไม่ได้หรอก เพราะว่าทุกคนเขาเกิดมาด้วยแรงเหวี่ยงของกรรม
กายนี้ก้อนกรรม ตัวใจถ้ายังแยกแยะไม่ได้ ก็วิ่งไปตามวิบากของกรรม คือการเกิด บางทีก็เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง นอกจากบุคคลที่เจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ชี้เหตุชี้ผล หาเหตุหาผล สร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา แล้วก็หมั่นขัดเกลากิเลสตัวเราอยู่ตลอดเวลา หมั่นพร่ำสอนตัวเราอยู่ตลอดเวลา บุคคลเช่นนี้แหละจะไปถึงฝั่งได้เร็วได้ไว ก็พยายาม
ค่อยอนุเคราะห์ช่วยเหลือเกื้อกูลตัวเราเอง เราก็อาศัยกาล อาศัยเวลา อาศัยความเพียร สักวันหนึ่ง เราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน ถ้าเดินไม่ถึงจุดหมายปลายทาง ก็สิ่งที่พวกเราทำมานี่แหละ ก็จะเป็นข้าวพกข้าวห่อสืบต่อไปในภพข้างหน้า วันนี้มี พรุ่งนี้มี เดือนหน้ามี ปีหน้ามี ภพหน้ามี เราทำปัจจุบันให้ดีก็จะออกมาดี
เอาละวันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อม ๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันนะ