แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
หลวงพ่อฝากไว้ ลำดับที่ 31
วันที่ 14 มีนาคม 2557
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน
ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง อันนี้เป็นการย้ำ เป็นการเตือน ทำให้ต่อเนื่องกันสักนิดสักน้อยก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ
นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย หยุดภาระหน้าที่ การงานทางสมมติเราก็หยุดมาแล้ว
ทีนี้เราก็วางทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้เสียก่อน ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียก ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาว ๆ ลึก ๆ
แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาว ๆ ไม่ต้องพนมมือนะ
การสูดลมหายใจเข้าไปยาว ๆ ลึก ๆ อย่าไปบังคับ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาว ๆ ให้เป็นธรรมชาติ สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ถ้าใจคิดส่งออกไปภายนอก เราก็พยายามกระตุ้นความรู้สึกการหายใจยาว ๆ ใจก็จะกลับมาอยู่กับลมหายใจ ความรู้ตัวเวลาสัมผัสของลมหายใจกระทบปลายจมูกของเรา อยู่ที่ปลายจมูกของเรา
สติเปรียบเสมือนกับนายประตูทวาร รถคันไหนวิ่งเข้าก็รู้อยู่ ไม่ต้องตามลมหายใจ รถคันไหนวิ่งออก ก็รู้อยู่ตรงปลายประตูนั่นแหละ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม ความรู้สึกพลั้งเผลอเริ่มใหม่ ความรู้สึกพลั้งเผลอเริ่มใหม่ นี่แหละคนเราจะไม่ขยันในการเจริญสติตรงนี้ เพราะว่าความเคยชินเก่า ๆ ไม่ฝึกก็หายใจอยู่แล้ว กิเลสมันบอกว่าอย่างนั้น จะไปฝึกให้ลำบากทำไม
นี่แหละพระพุทธองค์ท่านถึงบอกว่า เน้นการเจริญสติลงที่กายเสียก่อน ให้รู้กายลึกลงไปก็จะได้รู้ใจ รู้ลักษณะของใจ รู้การเกิดการดับของใจ รู้การเกิดการดับของขันธ์ห้า ใจก็จะคลายออกจากขันธ์ห้า นี่แหละคลายความหลง แยกรูปแยกนาม ก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ เข้าใจคำว่า ‘อัตตา’ กับ ‘อนัตตา’ เข้าใจคำว่า ‘สมมติ’ ‘วิมุตติ’ มองเห็นวิญญาณในกายของเราให้ชัดเจน วิญญาณนี้ก็เป็นกองของวิญญาณ ส่วนรูปก็เป็นกองของรูป ส่วนความคิดอารมณ์ต่าง ๆ ที่มาปรุงมาแต่งตัววิญญาณ ตัวใจของเราเข้าไปหลง เข้าไปรวม นี่แหละความหลงอันลุ่มลึก หลงที่คลายได้ยาก ถอนได้ยาก ถ้าเราไม่มีกำลังสติ ไม่มีกำลังศรัทธา ไม่มีกำลังความเพียร ที่จะตามเข้าไปชี้เหตุชี้ผล ตามดูเหตุดูผล อันนี้เหตุสมมติ อันนี้เหตุวิมุตติ อันนี้เหตุของการเกิดการดับเป็นอย่างนี้ เข้าใจในคำว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในกายของเรา ในขันธ์ห้าของเรา พระพุทธองค์ท่านชี้ลงไปให้เห็น ให้ปฏิบัติตามอย่างนี้ ท่านถึงบอกให้เชื่อ
ท่านอย่าเพิ่งเชื่อ ให้ทำตาม ให้รู้ให้เห็น ให้มีให้เกิด ให้ใจมองเห็นความเป็นจริงเสียก่อน ท่านถึงบอกให้เชื่อ
แต่เวลานี้เราเชื่อด้วยอำนาจของกิเลส ด้วยปัญญาของโลกียะ ปิดกั้นตัวเองเอาไว้หมด ก็เลยเข้าไม่ถึงปัญญาที่สูง ก็ต้องพยายาม มันไม่เหลือวิสัยหรอก ทำได้วันละเล็กวันละน้อยก็ยังดี เพียงแค่การหายใจเข้าออกเรายังทำไม่ต่อเนื่องกันเลย หรือไม่ค่อยจะสนใจทำกัน จะไปเอาตั้งแต่บุญอันใหญ่ เอาตั้งแต่ทรัพย์อันใหญ่ กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เราก็ไม่รู้จักละ ไม่รู้จักดับ อยากจะได้ตั้งแต่ธรรม
ถ้าการเจริญสติของเรามีต่อเนื่อง เราไม่อยากจะเห็นการเกิดของใจ เราก็เห็น เราไม่อยากจะเห็นการเกิดของขันธ์ห้า ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมเราก็เห็น ถ้ากำลังสติของเราต่อเนื่องเชื่อมโยง ให้รู้จักลักษณะของคำว่าปัจจุบันธรรม รู้ไม่ทันก็หยุดเอาไว้ สร้างขึ้นมาใหม่ ทำใหม่ ให้เกิดความเคยชิน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บ รู้ลมหายใจเข้าออกปุ๊บ รู้กาย รู้การเคลื่อนไหว จะลุก จะก้าว จะเดิน จะเข้าห้องส้วม ห้องน้ำ ทำกับข้าวกับปลา รู้ความปกติของใจ สติปัญญา พากายไปให้ใจรับรู้ ความคิดผุดขึ้นมา สติสังเกตทัน ใจเคลื่อนเข้าไปรวม ใจก็จะดีดออก คลายออก มันจะเป็นชั้น ๆ ๆ ๆ กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด เราก็จะเห็นชัดเจน
หลวงพ่อก็ได้เพียงแค่พูดให้ฟัง ตามความเป็นจริงแล้ว บุคคลที่มีบุญ ฟังนิดเดียว การเจริญสติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ อยู่คนเดียวเรารู้เรา พิจารณาเรา อยู่หลายคน เราแก้ไขเรา ปรับปรุงตัวเรา รู้ไม่ทัน หยุดเอาไว้ ดับเอาไว้ก่อน เอาใหม่ เริ่มใหม่ ทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน ตายเป็นตาย กำลังฝ่ายไหนมันจะมาก
ถ้าเรารู้เท่าทันแล้วจะสนุก มีความสุขในการวิเคราะห์พิจารณาตัวเรา แต่ส่วนมากก็รู้ได้เป็นช่วงๆ กระท่อนกระแท่น รู้บ้าง ทิ้งบ้าง รู้บ้าง ทิ้งบ้าง เพราะว่าวิบากกรรมมันยังไม่คลาย เราก็ต้องพยายามน้อมกายน้อมใจของเราให้อยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่บ้านอยู่เรือน เราก็พยายามสร้างความขยันหมั่นเพียรให้มี ให้เกิดขึ้น ไม่ใช่ว่าตัวเราก็หนัก โยน แบกกายของเราให้ไปหนักที่โน่นที่นี่ สร้างปัญหาให้ไปทั่ว อย่างนั้นใช้การไม่ได้ เราต้องพยายามบอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็นอยู่ตลอดเวลา หมดความสงสัย หมดความลังเล อยู่คนเดียวก็ต้องถึง ก็ถึงจุดหมายถ้าเรามีปัญญาที่จะดำเนิน รู้จักมองเห็นหนทางที่แท้จริง ก็ต้องพยายามกันนะ
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออก กระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ
พากันไหว้พระพร้อม ๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา หลวงพ่อเพียงแค่ย้ำ แค่เตือน แค่เล่าให้ฟัง