แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ต่อเนื่อง ให้เชื่อมโยง
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ เราได้เจริญ เราได้ทำให้มีให้เกิดขึ้นแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย
เราวางภาระหน้าที่การงานทางบ้าน เราก็วางมาแล้ว ทีนี้เรามาหยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ด้วยการเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเรา ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกไปยาวๆ อย่าไปบังคับลมหายใจ ให้หายใจเป็นปกติ ให้หายใจแบบธรรมชาติ
การที่สูดลมหายใจยาวๆ ปล่อยลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกรับรู้ก็จะชัดเจน ความรู้สึกพลั้งเผลอ เราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ เพียงแค่ฝึกสร้างความรู้สึกรับรู้ให้เกิดความเคยชิน
ตั้งแต่ตื่นขึ้น หายใจเข้าหายใจออกเป็นลักษณะอย่างนี้ หายใจยาวหายใจสั้นเป็นลักษณะอย่างนี้
เรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน ส่วนใจของเราก็ให้รู้ว่าความปกติ บางทีขณะที่เราสร้างความรู้ตัวอยู่ ใจยังคิดไปนู่นคิดไปนี่ มันจะเห็นกันเป็นคนละส่วน รู้กันเป็นคนละส่วน
ใจเกิดส่งออกไปภายนอก เราก็รู้จักหยุด รู้จักดับ รู้จักควบคุม โดยสมถะภาวนา กำหนดลมหายใจหรือว่าเราจะเอาคำบริกรรมเข้าไปกำกับ เพื่อให้จิตของเราใจของเราแนบแน่นกลับมาอยู่กับลมหายใจบ้าง ฝึกให้เกิดความเคยชิน อย่าไปเกียจคร้าน
เพียงแค่เรื่องอานาปานสติ การหายใจเข้าหายใจออก พวกเราก็ไม่ค่อยจะสนใจกัน บางทีก็อาจจะสนใจบ้าง ชั่วครั้งชั่วคราว นิดๆ หน่อยๆ ก็เลยรู้ไม่เท่าทันใจของเรา เพราะว่าตามธรรมดาใจของทุกคนนั้นชอบคิด ชอบเที่ยว เป็นทาสของกิเลส เพราะว่าความไม่รู้ ความหลงทำให้เขาเกิด เกิดแล้วยังไม่พอ ยังมีอาการของขันธ์ 5 มาปรุงแต่งใจรวมกันจนเป็นสิ่งเดียวกัน แล้วไปด้วยกัน
นอกจากบุคคลที่เจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปแยกสังเกตจนใจแยกออกจากขันธ์ 5 ได้ ถึงรู้ว่าเห็นเป็นคนละส่วน แล้วก็เห็นการเกิดการดับ รู้เรื่องกองรูปกองนาม รู้เรื่องอัตตา อนัตตา เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ทันที เราก็จะระลึกนึกถึงคุณของท่าน แล้วก็ปฏิบัติตามให้ถึงจุดหมายปลายทาง
แต่ละวันใจของเรามีความแข็งกร้าวแข็งกระด้าง เราก็รู้จักแก้ไข ใจของเรามีความตระหนี่เหนียวแน่น เราก็พยายามละขัดเกลากิเลส ใจของเรามีพรหมวิหารหรือไม่ มีความอ่อนโยนหรือเปล่า ใจของเรามีสัจจะกับตัวเองหรือไม่ มีหิริโอตัปปะหรือไม่ การควบคุมดูแล การสำรวจ การสำรวม กำลังสติของเรามีเพียงพอหรือเปล่า ตรงนี้แหละสำคัญ
ถ้าเราไม่ได้เจริญสติให้มีให้เกิดขึ้น เอาสติปัญญาไปใช้ มันก็ยากที่จะเข้าใจ ใจของเราก็จะไปตามอำเภอใจ ไปตามอำนาจของกิเลส อำนาจของความอยาก ความโลภ ความโกรธ ความยินดียินร้าย ทั้งอยากทั้งไม่อยากนั่นแหละ ถ้าการเกิดของใจมี
เรามาทำความเข้าใจ ใจที่ว่างจากการเกิดเป็นอย่างนี้ ใจที่ว่างจากกิเลสเป็นอย่างนี้ ใจที่คลายจากขันธ์ 5 เป็นอย่างนี้ เราละกิเลสได้ตั้งแต่ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ เรารู้จักทรงความว่างเอาไว้ ความว่างเป็นเครื่องอยู่ของใจเป็นความสุขที่ถาวร
เอาแค่ความปกติเล็กๆ น้อยๆ เราก็พยายามดำเนิน พยายามทำให้ได้ บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น มีตั้งแต่เรื่องในกายของเรา เอาเรื่องภายในกายของเราให้จบ เอาเรื่องใจของเราให้จบ
สมมติต่างๆ เราก็ทำความเข้าใจในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว เพราะว่าตราบใดที่ยังมีลมหายใจ เราก็ยังอยู่กับสมมติ เพราะว่ากายของเราเป็นก้อนสมมติ เราจะไปทิ้งสมมติไม่ได้ตอนนี้ แต่เราต้องปล่อยวาง ด้วยปัญญาที่เกิดจากการเจริญภาวนา เราจะวางสมมติได้จริงๆ ทิ้งสมมติได้จริงๆ ก็โน่นแหละ ช่วงหมดลมหายใจ ถึงจะได้วางกายก้อนนี้ได้
ขณะที่ยังมีลมหายใจ เราก็ให้รู้ด้วยปัญญาที่เกิดจากการเจริญภาวนา ถึงจะเข้าไปดับทุกที่ใจของเราได้ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง พยายามดำเนินตั้งแต่ตื่นขึ้นมา อดทนอดกลั้น
ความอดทนอดกลั้นนั่นแหละเรียกว่า 'ตบะ' ทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ จะเข้าห้องส้วมห้องน้ำ รู้ว่าใจปกติ ทำนู่นทำนี่ รู้ว่าใจปกติ จะลุกจะก้าวจะเดิน ความรู้สึกรับรู้อยู่ตลอดเวลา จนหนุนกำลังสติปัญญาของเราไปใช้ทำหน้าที่แทนได้
คิด สติปัญญาเป็นตัวคิด ตัวใจนิ่งรับรู้อยู่ แต่เวลานี้ใจของเรานี่พุ่งออกไปภายนอกอย่างเดียว คิดก็รู้อยู่ ทำก็รู้อยู่ ความรู้ ความคิด ความเกิดของใจนั่นแหละปิดกั้นตัวเองเอาไว้หมด นอกจากบุคคลที่คลายใจออกจากขันธ์ 5 แล้วก็ดับความเกิดได้ เขาก่อตัวตรงไหนเราก็ดับที่นั่นแหละ เขาก็จะอยู่ที่นั่นแหละ ช่วงใหม่ๆ ก็ยากลำบาก ฝืนจนถึงที่สิ้นสุด จนเขาคลายออกมาจากขันธ์ 5 เผยตัวออกมาให้เราเห็น แล้วก็ดับความเกิดได้ ละขันธ์ 5 ได้ ละกิเลสได้ ดับความเกิดได้
ถ้าเขารู้ความเป็นจริง เขาก็ไม่เกิด จะเอาอะไรมาฉุดมารั้ง เขาก็ไม่เกิดไม่คิด หนุนกำลังสติไปคิด ไปพิจารณาทำหน้าที่แทน ก็ต้องพยายามกัน
อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง เวลาโน้นเวลานี้ ถ้าเราไม่สอนตัวเราแล้วก็ไม่มีใครจะสอนตัวเราได้หรอก ท่านถึงให้เจริญสติเข้าไปอบรมใจของเราซึ่งเรียกว่า ตนเป็นที่พึ่งของตน มี 2 ตัวนะ ตน 2 ตัว 'ตน' ตัวหนึ่งคือตัวสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา 'ตน' ตัวที่ 2 ก็คือตัวใจ เอาไปอบรมใจ แก้ไขใจของเราอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งบรรลุถึงเป้าหมายคือความสะอาดความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น ก็ต้องพยายาม
แต่เวลานี้ความรู้ตัวของเรานี้แทบไม่มี ขอให้ทุกคนจงสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน ทำใจให้โล่งสมองให้โปร่ง อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวก็ให้รู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่องกันสักนิดนึงก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปศึกษาทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ