แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ตามความเป็นจริง ลำดับที่ 24
วันที่ 1 เมษายน 2557
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราได้รู้จักการเจริญสติแล้วหรือยัง บางคนบางท่านก็อาจจะทำอยู่ แต่ทำไม่ต่อเนื่อง หลวงพ่อก็ได้เพียงแค่พูด แค่ย้ำ แค่เตือน แค่ชี้แนะแนวทางให้ ถ้าพวกท่านเข้าใจวิธีการแนวทางแล้ว ก็ไปทำความเพียร ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน
การเจริญสติ การสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงเป็นลักษณะอย่างนี้ คำว่า 'ปัจจุบันธรรม' มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ปัจจุบันธรรม เราต้องสร้างขึ้นมาเสียก่อน ไม่ใช่ว่าเอาไปนึกเอาไปคิดเอา
ส่วนการเกิดการดับของจิตวิญญาณนั้นมีอยู่ตลอด เขาเกิดมานาน เขาหลงมานาน เขาถึงเกิด หลงเกิด จนได้มาสร้างภพของมนุษย์ แล้วก็มีความทะเยอทะยานอยากสารพัดอย่าง ในหลักธรรมทั้งความอยาก ทั้งความไม่อยาก ท่านก็ให้ละหมด แม้แต่การเกิดของจิตวิญญาณ
แต่เวลานี้เขาเกิด เขาสร้างขันธ์ห้า สร้างร่างกายมาปิดกั้นเอาไว้ แล้วก็มามีส่วนรูปธรรม ส่วนนามธรรมมาปิดกั้นเอาไว้ เราต้องมาเจริญสติเข้าไปดู รู้ให้เท่าทันตั้งแต่การเกิดการดับ จนจิตของเราคลายออกจากความคิด ซึ่งเรียกว่า 'แยกรูปแยกนาม' หรือว่า 'สัมมาทิฏฐิ-ความรู้แจ้งเห็นจริง’
สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมา ตามทำความเข้าใจ ตั้งแต่ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ ใจว่างรับรู้อยู่ มองเห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผลจนใจยอมรับความเป็นจริงได้ นั่นแหละเขาถึงจะปล่อย ถึงจะวางได้
ที่หลวงพ่อพูดให้ฟังนี่ สำหรับบุคคลที่แยกแยะได้แล้ว ตามทำความเข้าใจได้แล้ว แต่เวลานี้กำลังสติของพวกท่านมีไม่ถึงนาทีเลย มันก็เลยรู้ไม่เท่าทันการเกิดการดับของใจ การเกิดการดับของขันธ์ห้า สังเกตไม่ทัน ก็เลยปิดกั้นเอาไว้ ทั้งที่ใจเป็นบุญ อยากจะได้บุญ อยากจะรู้ธรรม อยากจะเห็นธรรม แต่บุญนั้นได้อยู่แล้วแหละ
การทำบุญการให้ทานนั้น มีกันมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย แต่การเดินปัญญา แยกแยะ ทำความเข้าใจ ตรงนี้เราต้องทำความเพียรให้มี ให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา รู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย หมดความสงสัยได้ด้วย แล้วก็ละให้ได้อีกด้วย จนไม่มีอะไรที่จะเหลือ ที่จะละจากใจนั่นแหละ หรือว่า 'ความบริสุทธิ์' นั่นแหละ
มองเห็นความเป็นจริงในชีวิต ยังประโยชน์ ประโยชน์ใกล้ ประโยชน์ไกล ประโยชน์โลกนี้ ประโยชน์ปัจจุบันให้ได้เสียก่อน ก็จะส่งผลถึงอนาคตได้เองพยายามนะ อย่าพากันทิ้ง อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา อย่าไปปิดกั้นตัวเรา ว่าไม่มีโอกาส ว่าไม่มีเวลา มีเวลาทุกลมหายใจเข้าออก ทุกขณะใจ ทุกขณะจิต ถ้าเราเข้าใจ รู้จักอันนี้ ลักษณะของสติปัญญาเป็นอย่างนี้ ลักษณะของใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างนี้ ใจที่คลายออกจากขันธ์ห้าเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างนี้ ใจที่ปกติ คำว่า 'ปกติ' คือศีล คำว่า 'ใจสงบ' ก็คือสมาธิ
สติของเราเห็นการเกิดการดับ เห็นการคลาย แยกรูปแยกนามได้ก็เรียกว่า 'วิปัสสนา' ตามทำความเข้าใจให้ได้ ละให้ได้ ก็เรียกว่า 'ปัญญา' จนไม่มีอะไรที่จะเหลือนั่นแหละ ถึงอยู่อย่างมีความสุข ดูแลบริหารกายบริหารใจของเรา จนกว่าจะหมดลมหายใจ มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิด หรือไม่กลับมาเกิดกัน ได้เท่าไหร่ก็ดี อย่าว่าไม่ทำ
พระเราชีเราก็เหมือนกัน สามเณรก็เหมือนกัน ค่อยฝึกฝนตัวเรา แก้ไขตัวเรา ได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็พยายาม ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่ไปด้วยแรงของกรรม เราต้องทำความเข้าใจกับกรรม ถ้าแยกรูปแยกนามได้ เราก็จะเข้าใจในเรื่องของกรรม ในเรื่องของชีวิต วงเวียนของชีวิต
ถ้าแยกรูปแยกนามไม่ได้ ยังไม่ถึงเวลาก็ต้องสร้างบารมี เหมือนกับเราปลูกต้นไม้สักต้น จะเร่งให้ออกดอกออกผลวันเดียวก็ไม่ได้ ต้องคอยกาลคอยเวลา หมั่นดูแลรักษา การประพฤติปฏิบัติใจก็เหมือนกันค่อยแก้ไขปรับปรุงไปเรื่อย ๆ ด้วยการเจริญพรหมวิหาร การขัดเกลา การละ
เหมือนกับเราขึ้นบันได ค่อยขึ้นไปเรื่อย ๆ ก็จะถึงตัวเรือน แต่เขาก็อาศัยราวบันได ต่อเนื่องกันเชื่อมโยงกันอยู่ แต่เรายังเดินไม่ถึง ถึงเวลาก็คงจะเดินปัญญา เข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ได้ เข้าใจในชีวิตของตัวเองได้ ก็ต้องพยายามกันนะ
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปศึกษาทำความเข้าใจต่อนะ หลวงพ่อเพียงแค่ย้ำ แค่เตือน แค่เล่าให้ฟัง