แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ตามความเป็นจริง ลำดับที่ 21
วันที่ 27 มีนาคม 2557
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเรา อย่าเพิ่งคิดพิจารณาอะไรทั้งสิ้น หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่าง ๆ เอาไว้ชั่วคราว ถึงเราละไม่ได้ หยุดไม่ได้ ก็ขอให้พยายามหยุด แล้วก็กระตุ้นความรู้สึก รู้สัมผัสของลมหายใจ ที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน
นั่งตามสบายไม่ต้องพนมมือ วางกายให้สบาย ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียก
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาว ๆ ลึก ๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาว ๆ สักสองสามเที่ยว เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการสร้างความรู้ตัวตรงนี้ จะไปเอาตั้งแต่ความคิดเก่า ๆ ปัญญาเก่า ๆ ซึ่งอาจจะถูกอยู่ในระดับของสมมติ แต่ยังไม่รู้ความจริง
เราต้องมาสร้างผู้รู้ ใจนั้นเป็นธาตุรู้ แต่เวลานี้เขายังเกิดอยู่ เขายังหลงอยู่ เราถึงได้มาสร้างผู้รู้ ผู้รู้ของเรายังมีไม่เข้มแข็ง คือตัวสติของเรายังไม่ต่อเนื่อง เราถึงได้มาสร้างรู้การหายใจเข้าออกของเรา เน้นสติความรู้ตัวอยู่ที่กาย ซึ่งเรียกว่า 'อานาปานสติ'
เราก็หายใจตั้งแต่เกิด แต่เราขาดการสร้างความรู้ตัวที่ต่อเนื่องที่เชื่อมโยง ก็เลยรู้ไม่ทันการเกิดของจิตวิญญาณของเรา รู้ไม่เท่าทันความคิด เรียกว่า 'อาการขันธ์ห้า' ของเรา
เราก็ไปทำตามความคิด ทำตามอารมณ์ อาจจะถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรม เราต้องแยก ต้องคลาย ต้องตามทำความเข้าใจ สติปัญญาหมั่นอบรมใจของเรา ตามดู ตามรู้ ตามเห็น ตามชี้เหตุชี้ผลจนใจของเรายอมรับความเป็นจริง รู้จุดปล่อย รู้จุดวางได้นั่นแหละ เขาถึงจะปล่อยจะวางได้
ถ้าเราไม่อบรมตัวเรา ไม่มีใครจะอบรมตัวเราได้เลย นอกนั้นก็เพียงแค่อนุเคราะห์ช่วยเหลือกันในระดับของสมมติ แต่การขัดเกลากิเลสอบรมใจขึ้นอยู่กับตัวของเรา ค่อยพัฒนาจากน้อย ๆ ไปหามาก ๆ
ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ อะไรที่จะเป็นประโยชน์ อะไรที่จะเป็นบุญ เป็นคุณงามความดี ประโยชน์ใกล้ ประโยชน์ไกล ประโยชน์ในโลกปัจจุบัน ประโยชน์ในโลกหน้า เอาปัจจุบันให้ได้เสียก่อน โลกหน้าอย่าเพิ่งไปกล่าวถึงมัน เอาแค่โลกปัจจุบันนี้ทำให้ดี อนาคตก็จะออกมาดี
ไม่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา มีเหตุมีผล ล้วนแต่มีเหตุมีผล ทางด้านนามธรรมก็มีเหตุมีผล ทางด้านรูปธรรมก็มีเหตุมีผล แนวทางมี ปัญญาของพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบ แล้วเอามาเปิดเผย
การเจริญสติเป็นอย่างนี้นะ การละกิเลสเป็นอย่างนี้นะ การอบรมใจ เราจะเอาอะไรไปอบรมใจ เราก็ต้องสร้างสติสร้างปัญญาขึ้นมาใหม่ ไม่ใช่ว่าใจวิ่งวุ่นอยู่ตลอดเวลา ทุกข์อยู่ตลอดเวลา ทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุมีผลอยู่ อย่าไปท้อถอย ผิดพลาดแก้ไขใหม่ พลั้งเผลอเริ่มต้นใหม่ เพิ่มความขยันหมั่นเพียรเป็นทวีคูณ
บุคคลที่จะเข้าถึงธรรมได้ ต้องเป็นบุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ มีพรหมวิหารเป็นเลิศ ขัดเกลากิเลส แม้แต่ความอยากแม้แต่นิดเดียวก็ไม่ให้เกิดขึ้นที่ใจ เพียงแค่การปรุงแต่งของใจ ใจเราคลายออกจากขันธ์ห้า ดับความเกิด หนุนกำลังสติปัญญาไปเกิดแทน พูดง่าย แต่ต้องมีความเพียรให้มันได้นะ ได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามทำเอา
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่องกันสักนิ้วสองนิ้ว สักห้านาทีสิบนาที ก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ ก็ให้รู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออก กระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกัน
พากันไหว้พระพร้อม ๆ กัน ค่อยไปศึกษาทำความเข้าใจต่อกันนะ หลวงพ่อเพียงแค่เล่าแค่เตือนพวกท่านเอง