แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในชีวิตเราต้องพิจารณาตั้งแต่ตื่นขึ้น ความเป็นอยู่ของเรา แต่ละวันๆ ๆ คนเราเกิดมาเท่าไหร่ก็ ถ้าถึงวาระเวลาก็ตายหมด ไม่ตายช้าก็ตายเร็ว ถ้าพูดถึงเรื่องความตายแล้วก็ ไม่อยากจะได้ยินได้ฟังกันเท่าไหร่
ในหลักความเป็นจริง พระพุทธองค์ท่านชี้เหตุชี้ผล เพราะว่าทุกคนเกิดมาด้วยแรงของกรรม เราต้องทำความเข้าใจกับชีวิตของเรา ถึงวาระเวลาก็ต้องแตกดับ มีความเสื่อม เสื่อมตั้งแต่วันเกิด
ความเกิด ความเกิดทางด้านนามธรรม ความเกิดทางด้านรูปธรรม ความเกิดทางด้านจิตวิญญาณ เกิดๆ ดับๆ เกิดทางด้านรูปธรรม ทางกายเนื้อ หรือว่าร่างกายของเรา ท่านให้เจริญสติมาสร้างผู้รู้ เข้าไปชี้เหตุชี้ผลเข้าไปอบรมใจของเรา ให้มองเห็นเหตุเห็นผล รู้จักทำความเข้าใจ ปล่อยวาง เข้าสู่สภาวะเดิม คือความสะอาด ความบริสุทธิ์ของใจ
ใจของคนเรานี้บริสุทธิ์อยู่เดิม แต่ความไม่รู้ ความหลง อวิชชาเข้าครอบงำ ก็ทำให้ใจของเราเป็นทาสของกิเลส เกิดความอยาก เกิดความโลภ ความโกรธ เกิดความยินดียินร้ายสารพัดอย่าง เข้ามาปิดกั้นเอาไว้ แม้แต่การเกิด การปรุงแต่ง
ท่านถึงให้เจริญสติเข้าไปอบรมใจ ชี้เหตุชี้ผลจนใจมองเห็นความเป็นจริง จนใจปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นได้ เข้าสู่ความสะอาดความบริสุทธิ์ ดับความเกิด คือดับความคิดของเรา ดับความเกิด ให้เกิดด้วยสติ เกิดด้วยปัญญา ส่วนใจนั้นให้เป็นเอกเป็นหนึ่ง รับรู้อยู่ภายในกายของเรา
นอกจากบุคคลที่มีการเจริญสติ สร้างบารมีมาดี ขัดเกลากิเลสออกจากจิตจากใจของเราได้ ใช้ตัวเองเป็น ถึงจะมองเห็นตรงนี้ คิดก็รู้ทำก็รู้ เราก็รู้อยู่ในระดับของสมมติ แต่ในระดับของหลักธรรมจริงๆ แล้ว ต้องเป็นบุคคลที่เจริญสติเข้าไปชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล การแยกการคลาย รู้เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในกายของเรา รู้เรื่องวิญญาณในกายของเรา รู้เรื่องหลักของอริยสัจการเกิด การดับ การละ การสร้างตบะบารมี
แต่ละวันๆ ใจของเราเป็นอย่างไรบ้าง ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไรใจที่มีความบริสุทธิ์หลุดพ้นเป็นอย่างไร เราต้องหมั่นชี้เหตุชี้ผล ทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก
เพียงแค่การหายใจเข้าหายใจออก พวกเราก็ยังไม่ค่อยจะสนใจสร้างความรู้ตัวตรงนี้ได้เลย เวลาตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมา จนกระทั่งถึงเวลานี้ กายของเราเป็นอย่างไร ทำหน้าที่อย่างไร เวลารับประทานข้าวปลาอาหาร เรารู้จักจำแนกแจกแจง ความอยากกับความหิว เป็นอย่างไร เราไม่เคยสังเกต เราไม่เคยวิเคราะห์ เราไม่รู้ลักษณะของใจที่ปกติ ใจที่สะอาดเป็นอย่างไร
แต่การทำบุญให้ทาน ศรัทธานั้นมีอยู่ ฝักใฝ่สนใจนั้นมีอยู่ แต่เป็นศรัทธาที่ยังขาดปัญญารู้แจ้งเห็นจริง เป็นศรัทธาที่อยู่ในบุญในกุศลเท่านั้น แต่เป็นศรัทธาที่ขาดปัญญาที่จะเข้าไปแทงทะลุโปร่ง ว่าวิญญาณของเรานั้นไปยังไงมายังไง ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นยังไง เราก็ต้องพยายาม ฝักใฝ่สนใจ ทำความเข้าใจบ่อยๆ สักวันหนึ่งเราก็มองเห็นชีวิตของเรา
คนเราหมดลมหายใจก็มีแต่เรื่องบุญเรื่องบาป เห็นไหมรถมาขอเอาโลงศพแล้วเช้านี้ ถอยไปเอาโลงศพแล้วแต่เช้า เมื่อวานนี้ก็ศพ วันนี้ก็ศพ บางทีก็ 3 โลง 4 โลง 5 โลง
นี่แหละชีวิตของคนเรา มีการเกิด มีการแก่ มีการเจ็บ มีการตาย ได้ยินได้ฟังกันบ่อย ทุกคนก็ต้องเป็นอย่างนั้นถ้าถึงเวลา ถ้ายังไม่ถึงเวลาก็ให้ยังประโยชน์หากำไรในกายก้อนนี้ ด้วยการสร้างบุญสร้างกุศล ด้วยการเจริญสติ การเจริญสมาธิ ด้วยการเดินปัญญา ทำความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริง
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงไหว้พระพร้อมๆ กัน