แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มีความสุขกันทุกคน วันนี้อากาศเย็น ปีนี้รู้สึกว่าหนาวนานเนาะ หนาวนานกว่าทุกปีในรอบ 30 ปีอากาศหนาวจนจะถึงมีนา เมษา ฝนฟ้าก็ตกพอดี ต้นไม้ก็จะได้ชุ่มฉ่ำ ทุกคนก็จะได้มีความสุข จิตใจก็จะได้เยือกเย็นไปกับสายฝน จิตใจไม่รุ่มร้อนไปตามอำนาจของกิเลส มีน้ำฝนมาชโลมใจให้มีความสุข สนุกในการทำบุญ สนุกในการทำความเข้าใจกับชีวิตของเรา
เดือนนี้ก็เดือนมีนา ต้นเดือนมีนา เผลอแพล็บเดียว ปีนึงผ่านไปเร็วไวจัง อายุเสื่อมลงไปอีก 1 ปี ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้อีกสักกี่วันกี่เดือน แต่ละคนๆ นี่แบกความตายมาตั้งแต่เกิด ความตายนี่มีกันประจำทุกคน หลีกเลี่ยงไม่ได้ บางคนก็ตายช้า บางคนก็ตายเร็ว บางคนก็ตายตั้งแต่ตัวเล็กๆ บางคนก็อายุร้อย อย่างมากก็ร้อยกว่าปีนิดๆ น้อยที่สุด คนเราไม่ถึง 120-30 ปี มีน้อย มีน้อยที่สุดที่จะถึง 120 -30 ปี อย่างมากก็ 60-70-80 ยืนอยู่ในระยะนี้ พวกเราก็อย่าพากันประมาท
อย่าพากันประมาทในชีวิตของเรา จงพยายามพิจารณาชีวิตของเรา แก้ไขชีวิตของเรา ทั้งทางโลกทั้งทางธรรม ทางโลกทางสมมติเราก็ยังสมมติของเราให้เกิดประโยชน์ ให้อัตภาพฐานะทางสมมติของเราไม่ให้ลำบาก ให้อยู่ดีมีความสุข ถึงจะไม่ร่ำรวยมากมาย ก็ให้อยู่ดีมีความสุข
ทางด้านจิตใจก็ไม่ให้มีความทุกข์ ความเครียด ความกังวลอะไร เราก็พยายามแก้ไข ไม่ให้ใจของเราตกไปในด้านของกิเลส ให้บริหารด้วยปัญญา อยู่ด้วยปัญญา มีให้เป็น ทำให้เป็น บริหารให้เป็น อะไรเป็นประโยชน์ ประโยชน์มาก ประโยชน์น้อย ประโยชน์ใกล้ ประโยชน์ไกล ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์ในโลกนี้ ประโยชน์ในโลกหน้า เอาโลกปัจจุบันให้ดี ทำหน้าที่ของเราให้ดีก็จะส่งผลถึงอนาคต
ถ้าเรามาศึกษาเรื่องของศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่มีเหตุมีผลที่สุดในโลก เป็นศาสนาที่มีเหตุมีผล แล้วก็ชี้ให้เห็นเหตุเห็นผล แล้วก็ปฏิบัติให้เข้าถึงเหตุถึงผลนั้น จนได้รับผลประโยชน์คือความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น
ทุกศาสนานั้นสอนให้ทุกคนเป็นคนดี อยู่ในพรหมวิหาร อยู่ในความเมตตา มีศาสนาพุทธที่ท่านสอนชี้ลงไปให้ สอนถึงหลักอนัตตา การปล่อยวาง การปล่อยวาง ทำจิตให้ว่าง ให้บริสุทธิ์ มองเห็นโลกนี้เป็นของว่าง เป็นของว่างไม่มีตัวมีตน แต่พวกเราไปมองเห็นเป็นตัวเป็นตนหมด ไปยึดเป็นกลุ่มเป็นก้อนหมด เพราะว่าเราไม่ได้เจริญสติลึกลงไปให้เห็นตามคำสอนของพระพุทธองค์ ว่าการแยกรูปแยกนามเป็นอย่างไร วิญญาณในกลายเป็นอย่างไร วิญญาณในขันธ์ 5 เป็นอย่างไร การดับทุกข์ การละทุกข์เป็นยังไง อัตตาเป็นยังไง สมมติ วิมุตติเป็นอย่างไร เรารู้ตั้งแต่ชื่อ แต่เราไม่เห็นลักษณะอาการจริงๆ เราก็เลยดับทุกข์ไม่ได้
เราก็เลยไปมั่นหมายเอาดับทุกข์ ว่าต้องร่ำรวยเงินทองเยอะๆ ถึงจะดับทุกข์ได้ คือความไม่เที่ยง ความเกิดความดับของจิตวิญญาณ ความเกิดความดับของด้านรูป อันนี้ส่วนกองรูปกองนาม มันมีอยู่ในกายของเราหมด
จงเป็นบุคคลที่มีเหตุผล ชี้เหตุชี้ผล แล้วก็หมั่นชำระสะสางกิเลสออกจากใจของเรา ท่านถึงว่าให้เจริญตบะบารมี ให้มีให้เกิด หรือว่าบุญกิริยาวัตถุต่างๆ ตั้งแต่การทำบุญให้ทานเพื่อละกิเลส ขัดเกลากิเลสออกจากใจของเรา กิเลสหยาบเป็นอย่างไร กิเลสละเอียดเป็นอย่างไร การรักษากายรักษาวาจาเป็นอย่างไร รักษาใจเป็นอย่างไร ไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ
ความคิดเขาเกิดขึ้นมาได้อย่างไร มีอยู่ในกายเราหมดทุกคน แต่ละวันตื่นขึ้นมาเราคิดสักกี่เที่ยว คิดสักกี่ครั้ง เหตุจากภายนอกทำให้เกิดหรือเกิดจากภายใน ลองสังเกตดู
สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้ได้ ถ้าเราสร้างความรู้ตัวที่ต่อเนื่องได้แล้ว เราจะมองเห็น ตั้งแต่ผ่านมาสติของเรานั้นไม่มีเลย มีแต่สติปัญญาของโลกของโลกีย์ ที่วิ่งวุ่นอยู่ตลอดเวลา สติที่จะเข้าไปรู้จิต อบรมจิตนี่ไม่มีเลย เข้าไปชี้ให้ชี้ผล เราต้องสร้างขึ้นมา ทำความเข้าใจขณะที่เรายังมีกำลังกายอยู่นี่แหละ ขณะที่กายของเรายังมีกำลังอยู่นี่แหละ ถ้าเขาหมดกำลังก็หมดสภาพ เพราะว่ากายของเรานี้เป็นก้อนทุกข์ ยืนเดินนั่งนอนก็ทุกข์ นั่งมากก็ทุกข์ นอนมากก็ทุกข์ กินมากก็ทุกข์ ท่านถึงได้ว่าเป็นก้อนทุกข์ แต่เราก็อาศัยก้อนนี้อยู่คือวิญญาณมาสร้างภพของมนุษย์ มาสร้างอัตภาพร่างกายของมนุษย์ขึ้นมา แล้วก็มายึดมาติดจนเป็นสิ่งเดียวกัน
ตัวใจหรือว่าตัววิญญาณกับอาการของขันธ์ 5 หรือว่าความคิดรวมกันแนบแน่นจนเป็นสิ่งเดียวกัน นอกจากบุคคลที่มาเจริญสติที่ต่อเนื่องเข้มข้น แล้วก็หมั่นขัดเกลากิเลสให้เบาบาง จนตัววิญญาณหรือตัวใจเผยตัวขึ้นมาให้ได้ เผยตัวขึ้นมาจนเขาคลายออกจากขันธ์ 5 ได้ เพียงแค่คลายความยึดมั่นถือมั่น เราก็จะเข้าใจคำว่า 'อัตตา อนัตตา' คำสอนของพระพุทธเจ้าทันทีเลยทีเดียว เห็นการเกิดของวิญญาณส่งออกไปภายนอก บางทีก็รวมกับขันธ์ 5 เราก็จะเข้าใจเรื่องหลักของอริยสัจ 4 ความทุกข์ การดับทุกข์ วิธีการแก้ทุกข์ของพระพุทธองค์ เราก็จะระลึกนึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า อยากจะตอบแทนบุญคุณของท่าน เพราะว่าถ้าเรามารู้เห็นสิ่งนี้เราก็จะมองเห็นว่าพระพุทธเจ้ามีจริง ถ้าไม่มีจริงท่านไม่ได้มาตรัสรู้ ไม่ได้มารู้เรื่องของพวกอริยสัจ รู้เรื่องชีวิต ตรงนี้ถ้าเราดำเนินตามให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา อย่าพากันผัดวันประกันพรุ่ง มีโอกาสก็ให้รีบทำ
ความตายไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลานะ ไม่ว่าเด็ก ไม่ว่าผู้ใหญ่ แม้แต่ตัวหลวงพ่อเองนี่ก็ ความตายก็จ่ออยู่ตลอดเวลา ก็เพิ่งจะออกจากโรงพยาบาลได้วันสองวันนี้เอง เมื่อวานนี้ก็ทรุดหนักอีก อยู่ๆ ก็ดับวูบลงไปเฉยๆ อยู่ๆ ก็ดับวูบ สมองก็ดับวูบลงไป นี่ได้เข้าโรงพยาบาล ออกมาเมื่อวานนี้ก็จะดับอีก มันจ่ออยู่ตลอดเวลา สภาพร่างกายของคนเรา แต่จิตวิญญาณถ้ายังเกิดเขาก็ต้องไปต่อ ให้เราพยายามดับ แต่สำหรับหลวงพ่อไม่มีปัญหาแล้ว อยู่ก็ให้มีความสุข ไปก็มีความสุข ไม่ได้มาทุกข์มากังวลกับสิ่งพวกนี้
ขณะยังมีลมหายใจก็จะยังประโยชน์ให้เต็มเปี่ยม ให้เต็มที่ เท่าที่กำลังกายจะเอื้ออำนวยยังประโยชน์ให้ ให้กับโลก ให้กับสมมติ ส่วนการจะอยู่การจะไปนั้นไม่มีความหมาย อยู่ก็เตรียมพร้อม ไปก็เตรียมพร้อม พร้อมที่จะอยู่ พร้อมที่จะไป เพราะว่าความตายนี้มันไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา มันจะคอยเล่นงานอยู่ตลอดเวลาหลายเที่ยว
2 วันก่อน 3 วันก่อนโน้นน่ะ หนักจนหมดสติ ส่วนสติส่วนปัญญานั้นดับวูบไปหมดเลย ดับวูบไปหมด เมื่อวานนี้ก็จะดับอีก ก็ส่วนกายไปก่อน กายจะแตกจะดับเมื่อไหร่มันก็เตรียมพร้อม พวกเราก็จะพากันประมาท ให้พยายามหัดสังเกต หัดวิเคราะห์ หัดอบรมใจของเราอยู่ตลอดเวลา
ใจของคนเรานั้นสะอาดอยู่เดิม ใจของคนเรานั้นบริสุทธิ์อยู่เดิม เพราะว่าความไม่รู้ ท่านถึงเรียกว่า 'อวิชชา' ความหลง อวิชชาเข้าครอบงำ ความหลง หลงเกิด เขาหลงเกิดตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด ส่วนตัววิญญาณน่ะหลงเกิดตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด ทีนี้มาหลงมาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ คืออัตภาพร่างกายของเรานี่แหละ แล้วก็มายึดติดตรงนี้อีก แล้วก็เป็นทาสของกิเลสอีก
กิเลสก็มีหลายอย่าง กิเลสหยาบ กิเลสละเอียดอีก มันไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ ท่านถึงว่ามาเจริญสติ แยกรูปแยกนาม เดินเข้าสู่วิปัสสนาญาณ วิปัสสนาภูมิ ชี้เหตุชี้ผล ละกิเลสหยาบ กิเลสละเอียด จนใจไม่มีอะไร แม้แต่ตัวใจก็ต้องวางให้เป็นธรรมชาติ เรื่องของกายเรื่องของใจแต่เขาก็อาศัยกันอยู่ แต่พวกเรานี่มันรวมกันไปทั้งก้อนหมด ก็เลยจำแนกแจกแจงไม่ได้ กิเลสก็เข้ามาปกคลุมปิดกั้นเอาไว้หมด บางทีก็กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด แม้แต่ความคิด ความคิดของเราก็ปิดกั้นตัวใจเอาไว้ หรือว่าความเกิด ตัวใจมันเกิด ปิดกั้นตัวมันเอาไว้อีกทีนึง
นอกจากบุคคลที่มีความเพียรจริงๆ มีความเพียรเป็นเลิศ แล้วก็มีการขัดเกลากิเลสเป็นเลิศ แยกแยะให้ได้ว่าอันนี้โลก อันนี้ธรรม อันนี้ธรรม อันนี้โลก อันนี้ ทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก อย่างน้อยๆ ก็อย่าไปทิ้งบุญ อย่าไปทิ้งบุญ หมั่นทำบุญหมั่นให้ทาน แต่ละวันตื่นขึ้นมาเราสนุกเอาบุญ ถ้าเรารู้จักบุญ
ใจของเราเป็นอย่างไรบ้าง มีความแข็งกร้าวไหม มีความแข็งกระด้างไหม ใจของเรามีความอ่อนโยน อ่อนน้อมถ่อมตนไหม มีหิริโอตัปปะหรือเปล่า เรามีความเห็นแก่ตัวหรือไม่ หรือว่าเรามีความขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ หรือว่ามีตั้งแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ เราต้องสำรวจตัวเราอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา
เจริญสติเป็นครูบาอาจารย์คอยตรวจสอบใจของเรา แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบมาหลายร้อยหลายพันปีแล้ว การเจริญสติเป็นอย่างนี้ คำว่า 'ปัจจุบันธรรม' เป็นลักษณะอย่างนี้ เราก็ต้องทำ ส่วนงานสมมติอะไรที่จะเป็นประโยชน์ ประโยชน์มาก ประโยชน์ใกล้ ประโยชน์ไกล อะไรเปลือก อะไรกระพี้ อะไรแก่น เราก็ต้องพยายามเข้าให้ถึง
ถ้าเข้าถึงรู้ความจริงแล้ว หมดความสงสัย หมดความลังเล ให้ประกาศด้วยตัวเองว่าใจของเราเป็นยังไงบ้าง ใจของเรามีกิเลส หรือไม่มีกิเลส เราละกิเลสได้ระดับไหน ไม่ใช่ว่าจะไปคนโน้นดี คนนี้ไม่ดี ที่นั่นไม่ดี ที่นี่ไม่ดี ก็ใจของเรามันไม่ดี มันถึงไปว่าภายนอกไม่ดี อันโน้นไม่ดี ถ้าใจของเราดีแล้วก็มองเห็นโลกเป็นของดีหมด
ในหลักธรรมจริงๆ แล้วก็ ท่านให้สร้างดีแต่ไม่ยึดติดในดี สูงขึ้นไปก็ละทั้งดี ละทั้งไม่ดี ละทั้งบุญ ละทั้งบาป แต่ไม่ยึดติด แต่เราก็จะอยู่กับบุญ อีกสักหน่อยก็ต้องได้พลัดพรากจากกันหมด ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง
ต่อไปก็คุณหมอพาหมู่คณะไหว้พระกันเสียก่อน
พิจารณาดูดีๆ นะ พระเรา ชีเรา ก่อนที่จะขบจะฉันพิจารณาทุกเรื่อง จนกระทั่งถึงเวลานี้เราอย่าไปพลาดโอกาส เราแยกความอยาก ความหิว ออกจากกัน กายเราหิว ใจเกิดความอยาก เพียงแค่ความอยากเล็กๆ น้อยๆ อยากให้กายเรื่องของกาย อันนี้มันมีกันทุกคน
เรามาดับความอยาก ก็ดับความเกิดของใจของเรานั่นแหละ ดับความคิดของเรานั่นแหละ ดับความคิดที่เกิดจากใจ หรือว่าเกิดจากวิญญาณ ให้เป็นความคิดที่เกิดจากปัญญา เกิดจากส่วนสมอง จำแนกแจกแจงให้ได้ กายเราหิว หรือว่าใจเกิดความอยาก รู้จักพิจารณา ภาษาธรรมะท่านเรียกว่า 'ปฏิสังขาโย' ทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้น
ใจเกิด ใจส่งออกไปภายนอกเราก็รู้จักดับ จะลุก จะก้าว จะเดินก็เป็นเรื่องสติพากายไปใจรับรู้ ดำเนินสติให้เร็วให้ไวขึ้น แต่เวลานี้ใจของเรามันเร็วมันไว มันเกิดเร็ว ขันธ์ 5 ก็เกิดเร็ว ความหลงความเคยชินแบบโลกๆ ก็เลยปิดกั้นเอาไว้หมด ก็เลยไม่รู้ความจริง เรามาฝืน มาสร้างความรู้ตัว มาสร้างผู้รู้ ใจของเราเป็นธาตุรู้ แต่เวลานี้ใจของเราทั้งรู้ ทั้งหลง ทั้งเกิด ทั้งยึด เราต้องมาสร้างผู้รู้ มาสร้างสติเข้าไปชี้เหตุชี้ผล เข้าไปควบคุม เข้าไปแยกแยะ จำแนกแจกแจง จนเขาคลายออกจากกันได้ หงายขึ้นมาได้ เผยตัวตนของวิญญาณขึ้นมาให้เราเห็นจริงๆ ได้ ท่านถึงบอกให้เชื่อ ไม่ใช่ให้เชื่อแบบหลงงมงาย ให้เชื่อมีเหตุมีผล
เหตุผลทางสมมติ เหตุผลทางวิมุตติ มีหมด มี ทุกอย่างก็ล้วนเกิดแต่เหตุ เกิดจากเหตุ เหตุทางด้านความคิด ทางด้านอารมณ์ ทางความเกิด ความดับ เหตุทางสมมติ เหตุทางโลกธรรม เขาก็เป็นอยู่อย่างนั้น จริงทางสมมติ จริงทางวิมุตติ ที่ท่านว่าเป็นภาพลวงตา เป็นลวงตาได้ยังไง เป็นมายาได้ยังไง เป็นกองเป็นขันธ์ได้ยังไง มีกันอยู่ในกายของเราทุกคน แต่พวกเรายังเข้าไม่ถึง ก็เลยไม่เห็น ไม่เห็นว่าอาการของความคิดเขาก่อตัวยังไง เขาเกิดยังไง เขาตั้งอยู่ยังไง เขาดับไปอย่างไร ส่วนมากก็ไหลไปด้วยกันหมด ไหลไปด้วยกันหมด
แม้แต่รูป รส กลิ่น เสียง เราก็ยังจำแนกแจกแจง แยกรูป รส กลิ่น เสียง ออกจากใจไม่ได้ ตากระทบรูปใจก็เกิดความยินดี หูกระทบเสียงใจก็เกิดความยินดี ยินดีบ้าง ยินร้ายบ้าง ผลักไสบ้าง ดึงเข้ามาบ้าง สารพัดอย่าง ยินดีในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง ถ้าเราไม่เจริญสติให้ชัดเจน แยกแยะให้ชัดเจน ก็ยากที่จะเข้าใจ
ทั้งที่หลวงพ่อก็พูดของเก่านี่แหละ 20-30 ปี แต่พวกท่านไม่เห็น วันไหนๆ ก็พูดแต่เรื่องเก่า ของเก่า เพียงแค่เอาของเก่านี่แหละก็ยังดำเนินไม่ได้ ยังไม่รู้เรื่อง จะไปเอาของใหม่เสริมเข้าไปได้ยังไง ของเก่าก็ยังไม่เห็น เห็นของเก่าแล้วถ้าแยกแยะได้ แล้วตามดูได้แล้ว ไปอ่านหนังสือเล่มไหนก็จะเข้าใจหมด ว่าเรื่องอะไร ว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องอะไร
การประพฤติวัตร ปฏิบัติคร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหนก็เพื่อที่จะคลายความหลง ก็เพื่อที่จะละกิเลส มีอยู่ 3 ข้อเท่านั้นแหละ ละอกุศล ละบาปสร้างบุญ แล้วก็ทำใจให้บริสุทธิ์ อยู่ในโอวาทปาติโมกข์ ในคำสอนของพระพุทธองค์
ข้อวัตรปฏิบัติคร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหน ก็เพื่อที่จะละกิเลส ข้อวัตรปฏิบัติมากมายที่มีกันมากมายนั่นสำหรับบุคคลที่มีกิเลสหนาเท่านั้นแหละ ถ้าคนมีกิเลสเบาบางนี่ฟังนิดเดียว ไปถึง ไปถึงฝั่ง ฝั่งในความหมายของพระพุทธองค์ก็คือนิพพาน คือความบริสุทธิ์ 'ฝั่ง' คือพระนิพพานแต่เราไม่รู้เรื่องพระนิพพาน ความดับสนิท ดับสนิทจากกิเลส ดับ การเกิดไม่มี แต่วิญญาณยังอยู่
สมมติว่าในห้องของเรานี้เป็นห้องว่าง แต่อากาศก็มีอยู่ ในกายของเรามีวิญญาณอยู่ แต่ไม่มีตัวมีตน แต่รับรู้ด้วยสติ ด้วยปัญญา มีความรู้สึกรับรู้อยู่ มีอยู่ ก็ต้องพยายามกันนะ เอ้า...ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงไหว้พระพร้อมๆ กัน