แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
หลวงพ่อฝากไว้ ลำดับที่ 12
วันที่ 6 พฤศจิกายน 2557
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน แล้วก็ให้ต่อเนื่องกัน
ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมา เราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง เราได้สำรวจใจของเราแล้วหรือยัง ส่วนมากก็มีตั้งแต่ปล่อยเลยตามเลย ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ ใจก็ปรารถนาอยากจะหาทางดับทุกข์ อยากจะหาทางหลุดพ้น เขาปิดกั้นตัวเขาเอาไว้หมด เพราะว่าเขาเกิดมานาน เขาหลงมานาน เพียงแค่การเกิด การปรุง การแต่งนั้นเขาก็ปิดกั้นตัวเขาเอาไว้ สำหรับตัวใจหรือว่าตัววิญญาณในกายของตัวเรา
ในหลักธรรม พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแล้วก็มาเปิดเผย ว่าทำไมใจถึงเกิด ทำไมใจถึงหลง หลงมาสร้างภพของมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้า ที่เรามองด้วยตาเนื้อเห็นเป็นรูปเป็นร่าง ในส่วนนามธรรม ความเกิด ๆ ดับ ๆ ซึ่งเป็นตัววิญญาณในกายของตัวเรา เขาส่งออกไปภายนอก ส่งออกไปภายนอกก็ยังไม่พอ เขายังไปหลงไปยึดอีก ไปยึดในขันธ์ห้าอีก ยังไม่พอ ยังมีความทะเยอทะยานอยากอีก เข้าไปเสวยอารมณ์ต่าง ๆ เข้าไปเสวยรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสต่าง ๆ มีความสุข มีความทุกข์ มีความพอใจ มีความยินดีในโลกธรรม
การเกิด เพียงแค่ตั้งแต่เช้าขึ้นมา วิญญาณเกิดสักกี่เรื่อง พวกเราก็ไม่เคยสังเกต ความคิดอาการของขันธ์ห้าผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเราสักกี่ครั้ง กำลังสติของเราต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง กิเลสหยาบ กิเลสละเอียดต่าง ๆ มันเกิดอยู่ตลอดเวลา
การศึกษาการค้นคว้าตามแนวทางของพระพุทธองค์ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การแยกรูปแยกนาม สัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริง แยกรูปแยกนามหมายถึง แยกวิญญาณออกจากความคิดซึ่งเป็นส่วนนามธรรมด้วยกัน ท่านถึงเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริง คลายความหลงอยู่ตรงนี้ เราแยกได้ เราตามทำความเข้าใจให้ได้ทุกเรื่องอีกหรือไม่อีก เราดับความเกิดของวิญญาณได้อีกหรือไม่
ต้องมีความขยันหมั่นเพียรทุกสิ่งทุกอย่าง ท่านสอนเรื่องชีวิตของเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งหมดลมหายใจ ช่วงที่ยังไม่ถึงวาระถึงเวลา เราก็ให้ใจของเรามีความสุข ไม่หลง ไม่ยึด ไม่ติด
การได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม การแสวงหา ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การเข้าไปคลาย เข้าไปละกิเลสต่าง ๆ ให้รู้แจ้งเห็นจริง ต้องรู้ตั้งแต่ต้นเหตุ ไม่ใช่ว่ารู้ตั้งแต่ปลายเหตุ คิดก็รู้ ทำก็รู้ แต่การเกิดของวิญญาณ เขาเกิดอยู่ตลอดเวลา เราละไม่ได้ เราดับไม่ได้ ก็เลยอยู่ในเพียงแค่การสร้างคุณงามความดี อยู่ในสัมมาทิฏฐิ แต่ยังเป็นสัมมาทิฏฐิ ยังแยกรูปแยกนามไม่ได้ ดับความเกิดไม่ได้ ยังอยู่ในบุญในกุศลอยู่
ที่ท่านบอกว่า วิ่งเลาะอยู่ตามฝั่งใน ฝั่งของโลกียะ ไม่พยายามข้ามพ้นเข้าไปถึงฝั่งของพระนิพพาน คือการทำความเข้าใจให้กระจ่าง เราละออกให้หมด ดับความเกิดให้หมด
ในการคลาย การแยก การทำความเข้าใจในความว่างนั้น วิญญาณมีความรับรู้อยู่ วิญญาณนั้นมีกันทุกคน ในกายก้อนนี้ ขันธ์ห้าก็มีกันทุกคน แต่ก่อนนั้นเขาไม่หลง เขาหลงมาทีหลัง หลงมาเกิด ไม่รู้กี่ภพ กี่ชาติ เขาปิดกั้นตัวเองเอาไว้หมด ต้องพยายามสร้างตบะบารมี ความขยันหมั่นเพียร ความเสียสละ เสียสละทั้งภายนอก เสียสละทั้งภายใน รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในวิญญาณ แล้วก็รอบรู้ในโลกธรรม อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน
ถ้าเราไม่เข้าใจ กายก็หนัก ใจก็หนัก ถ้าเราแยกรูปแยกนามได้ ทำความเข้าใจได้ ละได้ กายก็เบา ใจก็เบา กายสมมติมีอยู่ ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้ในกองสังขาร ให้รอบรู้ในโลกธรรม เราก็ดำเนินชีวิตของเราให้ถูกที่ถูกทาง มองเห็นหนทางเดิน ว่าจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน เกิดทางกายเนื้อ เราก็เกิดมาแล้ว เกิดทางด้านวิญญาณนี่มันเกิด ๆ ดับ ๆ อยู่ เราพยายามที่จะรู้ ที่จะเห็น ที่จะทำความเข้าใจ
แนวทางนั้นมีมาตั้งนาน พวกเรานี่โชคดีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แถมเกิดมาได้พบพระพุทธศาสนาอีกด้วย ทีนี้เราจะมาปรับสภาพใจของเรา มองให้เห็นความถูกต้องแล้วแก้ไขตัวเราหรือไม่ ก็เป็นเรื่องของเราทุกคน ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น
จะไปแสวงหาธรรมที่โน่นที่นี่ อันนั้นก็เป็นสิ่งที่ดี ตามหลักธรรมแล้ว เราก็ลงให้เห็นที่ฐานของใจของเรา
ดับความเกิดเสีย ให้เกิดด้วยสติ เกิดด้วยปัญญา แต่เวลานี้กำลังสติของเราอาจจะมีบ้าง อาจจะรู้เรื่องใจได้บ้างเป็นบางครั้งบางคราว แต่ไม่รู้ทุกเรื่อง เราต้องพยายามรู้ให้ทุกเรื่อง จนถึงจุดหมายปลายทาง หมดความสงสัย ละกิเลสได้หมดจด จนอยู่อย่างมีความสุข รอวันธาตุขันธ์แตกดับ
การพูดง่าย การลงมือทำจริง ๆ ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียร ทั้งสมมติ ทั้งวิมุตติ มีความเพียรทุกสิ่งทุกอย่าง แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา แม้กระทั่งเด็กตัวเล็ก ๆ พูดขึ้นมาเราก็เงี่ยหูฟังว่าอะไรถูก อะไรผิด ก็รีบแก้ไข ส่วนมากก็มีตั้งแต่ปล่อยปละละเลย
กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างไร กำลังสติปัญญาของเราตามค้นคว้าได้ระดับไหน เราควบคุมกายของเรา วาจาของเรา ใจของเรา จนกว่าใจของเราจะคลายออก แยกรูปแยกนามได้ เป็นอย่างไร นิวรณธรรม กิเลสหยาบ กิเลสละเอียดเป็นอย่างไร เราก็ต้องพยายาม แต่อย่าไปทิ้งบุญ เราพยายามสร้างบุญ สร้างอานิสงส์ บุญทั้งสมมติ บุญทางวิมุตติ เพราะว่าโลกธรรมก็อาศัยกันอยู่ สมมติกับวิมุตติก็อิงอาศัยกันอยู่
กายของเรานี้แหละก้อนสมมติ ใจของเราถ้ายังคลายไม่ได้ เขาก็ยังอยู่กับสมมติอยู่ ก็ต้องพยายาม สักวันนึงเราคงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน ตื่นขึ้นมาแล้วก็รีบดูใจ ใจเป็นบุญเป็นกุศล เราก็รีบแก้ไข อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง หลวงพ่อก็ได้เพียงแค่เล่าให้ฟังเท่านั้นแหละ ถ้าพวกท่านไม่ไปทำ ก็ช่วยเหลือไม่ได้
ยิ่งอยู่หลายคนหลายท่าน ก็ยิ่งมีความสมัครสมานสามัคคี รู้จักแก้ไข แก้ไขตัวเรา แล้วก็แก้ไขหมู่ แก้ไขคณะ
ถ้าแก้ไขไม่เป็น หนักตัวเรา หนักคนอื่น หนักสถานที่ ไปที่ไหนก็หนัก มีแต่ความหนัก เพราะว่าเราไม่รู้จักจุดปล่อย จุดวาง ก็ต้องรีบแก้ไขเสีย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งนอนหลับ
ในสิ่งที่หลวงพ่อพูดนี้ พวกท่านจงไปทำให้ไปปรากฏขึ้นที่ใจ ให้หมดความสงสัย เราก็จะคลายความสงสัยในคำสอนของพระพุทธองค์ทันที ว่าท่านสอนเรื่องอัตตาเป็นอย่างไร อนัตตาเป็นอย่างไร การดับความเกิดเป็นยังไง สติปัญญาไปเกิดแทนได้อย่างไร การแยกรูปแยกนามเป็นอย่างไร การละกิเลสหยาบ กิเลสละเอียดเป็นอย่างไร จนไม่เหลือ จนเหลือตั้งแต่ความบริสุทธิ์ คือความรับรู้ อะไรคือปัญญา อะไรคือใจ มีหมดนั่นแหละ ขอให้พวกท่านจงไปดำเนินเถอะ
เอาหละวันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อม ๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ