แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
หลวงพ่อฝากไว้ ลำดับที่ 102
วันที่ 25 ธันวาคม 2557
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ที่เกิดจากตัวใจเอาไว้เสียก่อน ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียก
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาว ๆ ลึก ๆ เสียงก็สักแต่ว่าเสียง ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียก สูดลมหายใจยาว ๆ อย่าไปบังคับลมหายใจ การสูดลมหายใจยาว ๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาว ๆ นี่กายของเราก็สบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น เรามีความรู้สึกรับรู้ เวลาลมวิ่งเข้ากระทบปลายจมูกครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สอง ครั้งที่สาม ก็มีความต่อเนื่อง ความเชื่อมโยง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ทำอย่างไรเราถึงจะให้ต่อเนื่องที่กายของเรา จนกระทั่งรู้เรื่องใจของเรา
ส่วนการเกิดการดับของวิญญาณในกายของเรานี้มีอยู่ตลอด ทั้งที่ความคิด ทั้งที่อาการของขันธ์ห้า ทั้งตัวใจเขารวมกันได้อย่างไร ที่ท่านว่าขันธ์ห้าเป็นกองเป็นขันธ์ อะไรเป็นกองของรูป อะไรคือกองของนาม กองของวิญญาณหรือว่าตัวใจของเรานั่นแหละ เขายังเกิดอยู่ ถ้าไม่หลงไม่เกิด เขายังหลงอยู่ อาจจะหลงอยู่ในคุณงามความดี หลงสร้างบุญสร้างบารมี อันนั้นก็ยังเป็นฝ่ายดี ทั้งดีทั้งไม่ดี ทั้งกุศลทั้งอกุศล
แต่การเกิด ความเกิดนั่นแหละคือความหลง เกิดแล้วก็มาสร้างกายเนื้อมาปิดกั้นตัวเขาเอาไว้ แล้วเขาก็ยังเกิดต่อ ยังปรุงแต่งต่ออีก เรามาเจริญสติเข้าไป ให้ไปอบรมใจ แต่เวลานี้กำลังสติกำลังปัญญาของเรามีน้อย ก็เลยอบรมใจของเราไม่ค่อยจะได้เท่าไหร่ บางทีตัวใจพุ่งออกไปเลยเป็นเรื่องเป็นราว เราต้องมาสร้างความรู้ตัวใหม่ เข้าไปอดทนอดกลั้น ใช้สมถะเข้าไปหยุด เข้าไปควบคุม จนกว่าเขาจะคลายความหลง หรือว่าแยกรูปแยกนามได้
กำลังสติปัญญาของเรา ตามดู ตามรู้ ตามเห็นความเกิดความดับ เข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ เข้าใจคำว่า ‘อัตตา’ ‘อนัตตา’ เข้าใจของคำว่า ‘หลักของอริยสัจ’ ใจส่งออกไปภายนอกได้อย่างไร ใจเกิดกิเลสเราละได้หรือไม่ เราดับได้หรือไม่ เราจะเอาวิธีไหนไปแก้ กำลังสติปัญญาของเราแหลมคมเร็วไว อบรมใจของเราได้ตลอดทุกเรื่องหรือไม่ เราก็ต้องพยายามมาสร้างความรู้ตัว แล้วก็รู้จักเอาไปใช้ เน้นสติลงที่กายของเรา กายของเรานี่แหละคือสนามรบอย่างดีเลย
การไปแสวงหานอกกาย จากตำราจากครูบาอาจารย์ก็เป็นแค่เพียงแผนที่ เรามาสำรวจดูใจของเรา มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความแข็งกระด้างหรือไม่ มีความกตัญญูกตเวที รู้จักฝักใฝ่รู้จักสนใจ รู้ให้ชัดเจนว่าลักษณะของสติที่สร้างขึ้นมาเป็นลักษณะอย่างไร ส่วนการเกิดของใจ ของความคิดนั้นเขามีอยู่เดิม นอกจากเราจะมาสร้างกำลังสติเข้าไปควบคุม จนกว่าใจของเราจะคลายออก ตามดูรู้เหตุรู้ผล จนใจยอมรับความเป็นจริงได้ ละกิเลสออกจากใจได้นั่นแหละ เราจะเข้าถึงคำสอนของพระพุทธองค์ ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ท่านถึงบอกให้เชื่อ ใหม่ ๆ นี้อย่าเพิ่งเชื่อนะ ท่านบอกว่า ให้ดำเนินยังงี้ ทำยังงี้ วิเคราะห์ยังงี้ จนรู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย หมดความสงสัยได้ด้วย แล้วก็ละกิเลสให้มันได้ด้วย เราก็จะมองเห็นหนทาง
กำลังสติที่เราสร้างขึ้นมานี้จะกลายเป็นมหาสติ จากมหาสติก็จะกลายเป็นมหาปัญญา จากมหาปัญญาก็จะกลายเป็นปัญญารอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในขันธ์ห้าของตัวเราเอง รอบรู้ในการชำระสะสางกิเลส อยู่ด้วยปัญญา บริหารกายบริหารใจด้วยปัญญา รอบรู้ในดวงวิญญาณในใจในกายของเรา รอบรู้ในโลกธรรมที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว รอบรู้ในสมมติ เคารพสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ อยู่กับสมมติ เคารพสมมติ ทำหน้าที่ของเราให้ดี เอาการเอางานเป็นการปฏิบัติ ทำงานไปด้วย ใจรับรู้ไปด้วย มีความสุขขยันหมั่นเพียร อยู่ที่ไหนก็เกิดประโยชน์ บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็นอยู่ตลอดเวลา เป็นบุคคลที่อาจหาญ กล้าหาญ ไปที่ไหนก็มีแต่ความสุข รู้จักแก้ไขตัวเรา บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น
แม้แต่กายของเราก็ต้องวาง ใจของเราก็ต้องวาง ถ้าไม่ถึงเวลา ส่วนกายเนื้อเราก็ดูแลรักษาเขาไป ถ้าถึงเวลาแล้วเขาก็ต้องแตก ต้องดับ เพราะว่ากฎของไตรลักษณ์ ของความเป็นจริง มีอยู่ตลอดกับทุกคน เพราะว่าทุกคนเกิดมาเท่าไหร่ตายหมด ไม่ตายช้าก็ตายเร็ว ถ้าไม่ถึงเวลาก็ไม่ได้ไป ถ้าถึงเวลาแล้วจะเอาอะไรมาฉุดมารั้งไว้ก็ไม่อยู่ พวกเรามีโอกาสได้มาสร้างบุญ สร้างอานิสงส์กันมากมาย หลวงพ่อก็พาทำพาสร้างอยู่ตลอดเวลา
เอาล่ะวันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อม ๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา