แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
หลวงพ่อฝากไว้ ลำดับที่ 100
วันที่ 26 พฤศจิกายน 2557
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัว รู้กาย รู้การหายใจเข้าออก แล้วก็รู้ใจ รู้ลักษณะของใจ ใจที่ปกติ ใจที่ปรุงแต่งเป็นอย่างไร ขณะเขาเริ่มเกิดเป็นอย่างไร เราพยายามหัดสังเกต หัดวิเคราะห์สังเกตบ่อย ๆ
การสังเกต ต้องรู้ สร้างความรู้ตัวเสียก่อน ให้รู้จักชัดเจนเสียก่อน สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน รู้กาย รู้ลมหายใจเข้าออกอยู่ปัจจุบัน ขณะลมหายใจเข้าหายใจออกนี้เป็นพื้นฐานเลยทีเดียว จนรู้ ‘สติที่เราสร้างขึ้นมา’ นี้ส่วนหนึ่ง ส่วน ‘ใจ’ นั้นก็ส่วนหนึ่ง การเกิดของใจ ความรู้ตัวกับใจก็จะเห็นเป็นลักษณะเป็นสองอย่าง ‘สติ’ กับ ‘ใจ’
ถ้าเห็น ‘ความคิด’ ผุดขึ้นมา ใจเคลื่อนเข้าไปรวม ถ้าสังเกตทันใจก็จะแยกออก ก็จะเห็นเป็นสามส่วนอีก อยู่ในกายของเรา ส่วนที่เราสร้างขึ้นมา ส่วนใจกับอาการของใจ ซึ่งเรียกว่า ‘อาการของขันธ์ห้า’ เรื่องอดีต เรื่องอนาคต จะซอยแยกแยะลงไปเรื่อย ๆ ส่วนมากก็จะรวมกันไปเสียก่อน เราถึงรู้ เราถึงเห็น ทั้งที่ใจเป็นบุญ ใจอยากจะรู้ธรรม ใจปรารถนาที่จะเดินให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน
อันนี้การเกิดของใจนี่เขาหลงมาตั้งนาน เขาถึงเกิด ถึงไม่ยึดมั่นถือมั่นในความคิดในอารมณ์ แต่การเกิดเขาก็มีอยู่ บางทีก็มีกิเลสเข้าไปเจือปน ความอยาก ความทะเยอทะยานอยาก ความโลภ ความโกรธ ความเห็นแก่ตัว สารพัดอย่างที่ปกปิดเอาไว้ เราต้องหมั่นวิเคราะห์ หมั่นละ หมั่นเจริญพรหมวิหาร แก้ไขในสิ่งตรงกันข้ามกับกิเลส เรามีความเกียจคร้าน เราก็พยายามเพิ่มความขยันหมั่นเพียร ขยันหมั่นเพียร เพิ่มความรับผิดชอบ รู้จักขวนขวาย รู้จักสร้างขึ้นมาให้มีให้เกิด
ความรู้ตัวไม่มี เราก็พยายามสร้างขึ้นมา สร้างขึ้นมาแล้วก็รู้จักเอาไปใช้ รู้ไม่ทันความคิดเก่า ปัญญาเก่า เราก็พยายามหยุด เขาเรียกว่า ‘สมถะ’ ขณะที่ใจเกิดนี่แหละพยายามดับ แล้วแต่อุบาย แล้วแต่วิธีของแต่ละบุคคล พยายามดับ พยายามหยุด ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่รู้ไม่เห็น ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีความคิด
ความคิดเก่านั้นเขาหลงมานาน เราพยายามอดทนอดกลั้น สร้างตบะ หยุด สังเกต วิเคราะห์เริ่มใหม่ แล้วก็เป็นบุคคลที่มีความเสียสละอย่างยิ่งยวด มีความขยันหมั่นเพียรอย่างยิ่งยวด ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน กายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร วิญญาณในกายของเราเป็นลักษณะอย่างไร
คำว่า ‘รู้ตัวอยู่ปัจจุบัน’ ยืน เดิน นั่ง นอน เป็นลักษณะอย่างไร ไม่ใช่ว่าจะไปแสวงหาแต่ธรรมแต่ไม่รู้จัก มีแต่ความอยาก พาความอยากพาไปหาธรรมที่นั่นหาธรรมที่นี่ อันนั้นก็ดีอยู่ในระดับของสมมติ เพราะว่าคนเรากว่าจะเดินถึงจุดหมายปลายทาง ก็แสวงหาแนวทาง แสวงหาทุกอย่าง ถึงจุดหมายก็จะเข้าใจ เป็นการสร้างข้าวพกข้าวห่อ สร้างอานิสงส์ให้กับตัวเรา
ความเสียสละต้องยิ่งยวด ต่อไปข้างหน้าเราวางภาระหน้าที่สมมติเราก็วางมา ทีนี่ถ้าเราแยกแยะภายในได้ ตามดูภายในได้นั่นแหละ ใจจะวางภายใน วางความคิดวางอารมณ์ แล้วก็เปลี่ยนเป็นความรับผิดชอบ จากภาระเป็นหน้าที่ จากหน้าที่เป็นความรับผิดชอบ อยู่ในระดับตั้งแต่ต้นเหตุ กลางเหตุ ตั้งแต่สมมติในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว ความเป็นอยู่ต่าง ๆ ทางสมมติ เราพยายามทำให้เกิดประโยชน์ เราก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย
อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส ว่าไม่มีเวลา มีเวลากันทุกคน หายใจกันทุกคนตั้งแต่เกิด สิ่งไหนที่ไม่ดีเราพยายามละเสีย สิ่งไหนที่มันดีเราก็พยายามเจริญ กิเลสหยาบกิเลสละเอียด มีกันทุกคนนั่นแหละ จะมีมากมีน้อย บางคนก็เป็นกิเลสฝ่ายดี บางคนก็เป็นฝ่ายอกุศล ถ้าเราเข้าใจวางหมดนั่นแหละ สร้างตั้งแต่บุญสร้างแต่กุศล แต่ไม่ยึด ยังเพื่อให้เกิดประโยชน์เท่านั้นเอง อยู่เหนือบุญ เหนือบาป เหนือกรรม แต่เราก็ยังอยู่กับกรรม เพราะว่ากายของเราเป็นก้อนกรรม เราต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ไม่ใช่จะโยนให้คนโน้น โยนให้คนนี้ โยนร่างกายจิตใจของเราไปที่โน้นไปที่นี่ เราต้องแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา
แนวทางนั้นมีมาตั้งนาน คำสอนของพระพุทธองค์มีมาตั้งนาน เราพยายามทำ ได้เท่าไหร่เราก็ทำ ตามสภาวะของเรา เรามีโอกาสทำได้เท่านี้ เราก็พยายามดำเนินทำ ทำภายนอกไม่ได้เราก็ดูภายใน ข้างนอกข้างในมันเกี่ยวเนื่องกันหมด สมมติวิมุตติเกี่ยวเนื่องกันหมด กายของเราก้อนกรรม ใจของเราองค์ธรรม แต่เวลานี้ใจของเราเป็นก้อนโลกอยู่ เพราะยังเกิดยังหลงอยู่ เราก็ต้องพยายามคลาย คลายได้เท่าไหร่ก็เอา แก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา ทำหน้าที่ให้ดี
ความสมัครสมานสามัคคี ยิ่งอยู่คนหมู่มากก็ยิ่งเพิ่มความขยันหมั่นเพียรให้มากขึ้น ความรับผิดชอบให้มากขึ้น แต่ก่อนเราก็อยู่คนเดียว ทีนี่อานิสงส์บุญบารมีต่าง ๆ ทุกคนก็อยากจะเดินให้ถึงจุดหมาย ก็น้อมกายเข้ามา เข้ามามาศึกษา เข้ามาค้นคว้า ก็ต้องพยายามประคับประคองกันไป อีกสักหน่อยก็ต้องได้ผลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง แต่เราต้องแจงภายในของเราให้ได้เสียก่อน ก่อนที่ธาตุขันธ์ของเราจะแตกจะดับ ก็ต้องพยายามกัน
สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจให้ชัดเจน ให้เชื่อมโยงกันสักนิดนึงก็ยังดีนะ
ไหว้พระพร้อม ๆ กัน ค่อยไปศึกษาทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถได้ยิ่งดี