แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
หลวงพ่อฝากไว้ ลำดับที่ 9
วันที่ 25 พฤศจิกายน 2557
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของเราให้ชัดเจน ทุกคนเลยนะ ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชี บ้างก็มีตั้งแต่คิดว่า เอ๊ะทำไมหลวงพ่อถึงให้แต่โยมทำ พระ ชี ไม่ให้ทำ แต่ถ้าคนมีปัญญาเขาจะสำเหนียกทันทีเลย
การสร้างความรู้ตัวนี้เป็นเรื่องของเราทุกคน ในภาษาธรรมท่านเรียกว่า ‘เจริญสติ’ เราต้องรู้จักคำว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ ความรู้สึกรับรู้อยู่ปัจจุบันธรรม ลมหายใจเข้า หายใจออก ก็เรียกว่า ‘อานาปานสติ’ ขอให้เรามีศรัทธา น้อมกาย น้อมใจของเราเข้ามา แล้วก็วิธีการ เอาการเจริญสติเข้าไปให้ต่อเนื่อง เรารู้ไม่ทัน ส่วนการเกิด-การดับของตัวใจ หรือว่าวิญญาณในขันธ์ห้าในกายของเราเขาเกิด ๆ ดับ ๆ เขาปรุงแต่งส่งออกไปภายนอก บางทีเขาก็หลง หลงความคิด
ถ้าเราเจริญสติแยกได้ ใจของเราคลายได้เมื่อไหร่ เราถึงจะเห็นอาการของความคิด อาการของขันธ์ห้า ซึ่งเป็นส่วนนามธรรม แต่กำลังสติของเรามีไม่เพียงพอ มีอยู่ ควบคุมใจได้เป็นบางครั้ง บางเรื่องบางคราว แต่ใจก็เป็นบุญ อยากจะได้บุญ ใจก็อยู่ในพรหมวิหาร ความเสียสละ ความเมตตา แต่การเกิดของเขามีอยู่ตลอด ทำอย่างไรเราถึงจะเห็นตั้งแต่การเกิด คลายได้ แยกได้ ทำความเข้าใจได้ แล้วก็หมดความสงสัย
อะไรควรละ อะไรควรเจริญ ทำไมใจถึงเกิด ทำไมใจถึงหลง หลงความคิด หลงอารมณ์ หลงขันธ์ห้า อยู่ในภพของมนุษย์ คำว่า ‘ภพ’ เป็นลักษณะอย่างไร ก็กายก้อนนี้แหละ เขาเรียกว่า ‘ภพมนุษย์’ ส่วนที่ตาเนื้อมองเห็นพวกสัตว์เดรัจฉานนั้นเขาเรียก ‘ภพของเดรัจฉาน’ ที่มองด้วยตาเนื้อที่เห็น ภพภูมิของวิญญาณต่าง ๆ อันนี้นอกจากบุคคลที่มีตาทิพย์ มีตาใน ที่สัมผัสกันได้ ถึงจะรู้ว่ามีกี่ภพกี่ภูมิ
เราขอให้เรารู้เราก็พอแล้ว ไม่ต้องให้คนอื่นเขามารู้เรา เรารู้เรา รู้ใจเรา แก้ไขเรา ปรับปรุงตัวเรา ถ้าเราจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลกธรรม ก็ไปยุ่งเกี่ยวด้วยสติ ด้วยปัญญา ด้วยเหตุด้วยผล อยู่ที่ไหนก็จะมีความสุข ถ้ารู้จักสอนตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา
ธรรมะไม่มีไว้ให้ถกเถียงกัน ธรรมะแนวทาง ตำราครูบาอาจารย์ เป็นแค่เพียงแผนที่ ถ้าเราเข้าใจ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนเป็นธรรม ธรรมดำ ธรรมขาว เป็นธรรม ธรรมฝ่ายดี ธรรมฝ่ายไม่ดี ธรรมฝ่ายไม่ดีเราก็พยายามไม่ไปทำ ธรรมฝ่ายดีเราก็พยายามเจริญ แต่ไม่หลงไม่ยึด ให้อยู่ในความสงบ ความสุขของสมมติเท่านั้นเอง ก็ต้องพยายามกันนะ ต้องพยายามกันทุกคน เป็นเรื่องของเราทุกคน
ยิ่งมาอยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่าน ความสมัครสมานสามัคคี รู้จักสำรวมตั้งแต่ความคิด ดับ ดับไม่ได้ก็สำรวมความคิด ความคิดเอาไม่อยู่ ก็ไม่ให้ออกทางวาจา รู้จักควบคุมวาจา ควบคุมกาย ควบคุมวาจา เอาไม่อยู่เราก็ใช้ปัญญาหลบหลีกเสียก่อน
ถ้าเราชนะตัวเราแล้ว เราก็จะชนะไปหมดทุกอย่าง ไม่จำเป็นต้องไปเที่ยวชนะคนโน้น ไปเที่ยวชนะคนนี้ เราไปห้ามคนอื่นไม่ได้ ห้ามคนอื่นอย่าไปคิดนะ อย่าไปพูดนะ อย่าไปทำนะ อันนั้นเป็นเรื่องของเขา เราเพียงแค่บอก แค่ชี้ แค่แนะ ถ้าไม่ไปทำแล้วก็ เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล ถ้าสร้างความเดือดร้อนก็อยู่กับหมู่กับคณะไม่ได้ อยู่สร้างความเดือดร้อนให้ตัวเรา ตัวเองแล้วก็ให้เดือดร้อนให้กับหมู่กับคณะ ก็ต้องพิจารณาตัวเอง
เราก็ต้องพยายามกัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ การได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่านนี้มีกันมาตั้งนานแล้วแหละ มีกันมาตั้งนาน ตำราครูบาอาจารย์ก็เยอะ บางคนก็วิ่งไล่สอน วิ่งไล่สารพัดอย่าง กิเลสธรรม
เราก็ต้องพยายามเจริญสติเข้าไปอบรมใจ สอนใจ แต่ละวันตื่นขึ้นมา ไม่จำเป็นต้องไปพูดอะไรมากมายเลย กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ใจของเราทำหน้าที่อย่างไร เราละกิเลสได้ กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด กายวิเวกเป็นอย่างนี้นะ ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างนี้นะ ใจที่ปราศจากกิเลส ปราศจากขันธ์ห้า ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น
เราต้องแยกให้ได้ ตามดูให้รู้เรื่องเสียก่อน ความรู้ตัว สติของเรามันอ่อนอย่างไร พลั้งเผลออย่างไร ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ใหม่ ๆ ก็อาจจะงุ่มง่าม เพราะว่าสติมันช้า มันก็เหมือนกับเราฝึกหัดเดินใหม่ ๆ ก็ต้วมเตี้ยม ๆ ถ้าเราเดินชำนาญแล้ว อะไรมันก็คล่องตัวหมด ยืน เดิน นั่ง นอน ก็จะเป็นแค่เพียงอิริยาบถ\
มันมีกันทุกคนนั่นแหละ กิเลส จะมีมากมีน้อย แต่ก่อนนี้เขาไม่มี เพราะเขาหลงเกิดมานาน แล้วก็หลงเป็นทาสของกิเลสสารพัดอย่าง เราต้องเจริญสติเข้าไปอบรม หรือการเจริญพรหมวิหาร ขัดเกลากิเลสออกจากจิตจากใจของเราจนไม่เหลือนั่นแหละ จนไม่เหลือ จะเหลือในสิ่งที่มีอยู่ คือ ความว่าง ความบริสุทธิ์ ความรู้สึกรับรู้ภายใน ปัญญาส่วนบนส่วนสมอง ส่วนใจเป็นธาตุรู้ สติเป็นผู้รู้ ค่อยแก้ไข ค่อยปรับปรุง หมั่นอบรมใจ ชี้เหตุชี้ผล ให้ใจมองเห็นความเป็นจริง เขาถึงจะยอมปล่อย ยอมวางได้ ไม่ใช่ว่าเขาจะวางได้ง่าย ๆ เหมือนกัน
งานระดับสมมติเราก็ขยันหมั่นเพียร ช่วยกัน อะไรก็สู้ความสมัครสมานสามัคคีไม่ได้ ความสามัคคีกัน จากหนักก็เป็นเบา จากเบาก็แทบจะไม่มี วันข้างหน้าก็คงจะได้ ไม่ได้ลำบาก ญาติโยมมา นับวันจะมากขึ้น เพิ่มขึ้น พระเราก็เพิ่มขึ้น ชีเราก็เพิ่มขึ้น ญาติโยมก็เพิ่มขึ้น อานิสงส์แหล่งบุญอยู่ที่ไหน เหล่ามนุษย์ เหล่าเทวดาก็ย่อมจะหลั่งไหลมา ก็เป็นธรรมดา เพราะว่าอานิสงส์ที่พวกเราได้ร่วมสร้างกันจากจุดน้อย ๆ เหมือนกับเราจุดเทียนเล่มเดียวเอาไว้ หมู่คณะมาจุดต่อก็ขยายมากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นบุญ เป็นบุญระดับของสมมติไม่จบไม่สิ้น พวกเราจากไป รุ่นใหม่ก็จะมาสานต่อ พวกเราจากไป รุ่นใหม่ก็จะมาสานต่อ อันนี้เป็นบุญของสมมติ เป็นสิริมงคลของเหล่ามนุษย์ ของเหล่าเทวดาทั้งหลาย ที่พวกเราได้ร่วมกัน ได้ช่วยกัน
ส่วนการละกิเลส ขัดเกลากิเลส เราต้องเจริญสติเข้าไปเห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล ตามแนวทางที่พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การแยกรูปแยกนามเป็นอย่างนี้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในขันธ์ห้าเป็นอย่างนี้ อัตตากับอนัตตา สมมติ วิมุตติเป็นอย่างนี้ อะไรควรละ อะไรควรเจริญ กิเลสหยาบ กิเลสละเอียดต่าง ๆ เป็นอย่างไร เราต้องเจริญสติเข้าไปศึกษาเอาไม่ใช่ว่าจะไปเอาที่โน่น เอาที่นี่ ถ้าเราไม่เห็นต้นเหตุภายในของเราก็ยากที่จะเข้าใจ ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะวันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อม ๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา