PAGODA

  • Create an account
  • Forgot your username?
  • Forgot your password?
or

Connection

Your e-mail is required to ensure the proper functioning of the Website and its services and we make a commitment not to reveal it to third parties

  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

เข้าสู่ระบบ / สมัครสมาชิก

เข้าสู่ระบบ

  • สมัครสมาชิก
  • ลืมชื่อผู้ใช้?
  • ลืมรหัสผ่าน?

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
  • ตามความเป็นจริง07
ตามความเป็นจริง07 รูปภาพ 1
  • Title
    ตามความเป็นจริง07
  • เสียง
  • 11749 ตามความเป็นจริง07 /aj-sumran/07.html
    Click to subscribe
    • Share
    • Tweet
    • Email
    • Share
    • Share

ผู้ให้ธรรม
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
วันที่นำเข้าข้อมูล
วันจันทร์, 26 มิถุนายน 2566
ชุด
ตามความเป็นจริง
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • ตามความเป็นจริง ลำดับที่ 7

    วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2557

    ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจนแล้วก็ให้ต่อเนื่อง ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก เพียงแค่การเจริญสติพวกเราก็ไม่ค่อยจะสนใจกัน มีแต่ไปนึกเอา ไปคิดเอา

    การสร้างความรู้ตัว ความรู้ตัวพลั้งเผลอเริ่มขึ้นมาใหม่ นี่แหละตรงนี้แหละ ความขยันหมั่นเพียรต้องต่อเนื่อง เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก ซึ่งอยู่กับกายของเราแท้ ๆ พวกเราก็ขาดการสนใจว่า หายใจเข้าเป็นอย่างไร หายใจออกเป็นอย่างไร

    ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง ก็เรียกว่า ‘มีความรู้ตัว รู้กาย รู้ส่วนรูป’ ลึกลงไปตัวใจที่มาอาศัยอยู่ในกายนี้แหละ เขาก่อตัวอย่างไร เขาเกิดอย่างไร ที่พูดกันว่า ‘วิญญาณ วิญญาณ วิญญาณในกายของเรา วิญญาณในขันธ์ห้าของเรา’ ไอ้ตัวสุดท้ายตัววิญญาณที่มาสร้างภพสร้างชาติของมนุษย์ ไอ้ตัวสุดท้ายซึ่งเป็นส่วนนามธรรม มีอยู่สี่ส่วน อีกส่วนหนึ่งเป็นส่วนรูป ที่พระพุทธองค์ท่านให้ชี้แนะ

    หมั่นพร่ำสอนใจของตัวเรา แจงให้ออกว่า ใจของเราอยู่ในกายนี้ เป็นลักษณะอย่างไร ทำไมใจถึงเกิด ทำไมใจถึงหลงหลงมายึดในกาย แล้วก็ไปยึดทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วเป็นทาสของความทะเยอทะยานอยาก

    ท่านให้เจริญสติเข้าไปรู้ให้เท่าทัน จนกว่าใจจะคลายออกจากขันธ์ห้า แล้วก็ตามดู เห็นความเกิดความดับ ว่าเป็นเรื่องอะไร เขาเรียกว่า ‘กองสังขาร’ เขาเรียกว่า ‘ความคิด’ ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม ตามดูชี้เหตุชี้ผล จนใจของเรายอมรับความเป็นจริงได้นั่นแหละ ใจถึงจะยอมปล่อยยอมวางได้

    เพียงแค่การเกิดของใจ เราก็มาดับความเกิดของใจอีก ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้คิด ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีปัญญา ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่รู้ธรรม ดับความเกิด ละกิเลสออกให้มันหมดอีก ถ้าเราไม่ละไม่ดับไม่คลาย ใจของเราจะสะอาดบริสุทธิ์ได้อย่างไร เพราะว่ามันเป็นทาสของกิเลสมานาน สะสมกิเลสมาห่อหุ้มตัวเองมานาน ปกปิดตัวเองมานาน

    กำลังสติปัญญาของเราต้องคอยชี้เหตุชี้ผล ตามดูเหตุดูผล ท่านถึงว่ามีเหตุมีผล เหตุผลภายในก็มี เหตุผลของสมมติก็มี นี่แหละท่านให้รู้เหตุภายใน กระจ่างภายในให้ได้เสียก่อน ทำความเข้าใจแล้วค่อยละกิเลสหยาบกิเลสละเอียดออกให้มันหมด เพราะว่าเป็นเรื่องของเราทุกคน ไม่ใช่เรื่องของคนใดคนหนึ่ง เป็นเรื่องของตัวเราเองเลยแหละ

    ในชีวิตของเรา ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งหมดลมหายใจ ถ้าหมดลมหายใจ ใจยังเกิดอยู่ ใจยังมีกิเลสอยู่ มันต้องไปเสวยวิบากกรรมต่อ เราต้องทำความเข้าใจกับกรรม กายของเรานี่แหละก้อนกรรม ขันธ์ห้านี่แหละตัวกรรม แล้วตัวใจก็ปรุงแต่งกรรมอีก ไปหลงไปยึดอีก เราต้องให้รู้ให้ชัดเจน ได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามทำ อย่าไปทิ้งบุญทิ้งบารมีในการสร้างสะสมไป ถึงวาระถึงเวลามันก็ต้องเต็มเปี่ยม ไม่มีเรื่องอื่นเลย มีตั้งแต่เรื่องชีวิตของเรา ที่จะต้องแก้ไข ก่อนที่จะหมดลมหายใจ ก็ต้องพยายาม

    สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน เพียงแค่เรื่องหายใจเข้าออกก็พยายามรู้ให้เป็นธรรมชาติที่สุด ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ

    พากันไหว้พระพร้อม ๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อนะ นี่เพียงแค่ย้ำแค่เตือน แค่เล่าให้ฟัง

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service