แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
หลวงพ่อฝากไว้ ลำดับที่ 2
วันที่ 14 พฤศจิกายน 2557
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน แล้วก็ให้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง เพียงแค่การสร้างนะ การสร้างให้ต่อเนื่อง ส่วนฐานบุญอันอื่นทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม ศรัทธา ความเชื่อมั่น ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ศรัทธาในพระรัตนตรัย ตรงนั้นมีอยู่
แต่การทำความเข้าใจในการเกิดการดับของวิญญาณในกายของเราไม่ชัดแจ้ง ว่าลักษณะของวิญญาณที่เรียกว่า ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ความคิดกับใจเขาเคลื่อนมารวมกันได้อย่างไร เราจะเงี่ย เงี่ยหูฟังได้อย่างไร สำเหนียกอย่างไร ถึงจะน้อมเข้าไปถึงใจของเรา ขอให้เราสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนี่องให้ได้เสียก่อน
ขณะที่เราสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง บางทีใจก็จะผุดขึ้นมาปรุงแต่งส่งออกไป มันก็จะเห็นเป็นสองอย่าง บางทีความคิดที่เราไม่ตั้งใจที่ผุดขึ้นมา ใจของเราจะเคลื่อนเข้าไปรวม ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราก็จะเห็น ถึงไม่เห็นเราก็จะรู้ เราต้องพยายามให้เห็นตั้งแต่ต้นเหตุ อาการเริ่มเกิด เริ่มก่อตัว ขณะที่ใจเคลื่อนเข้าไปรวม ขณะเราเห็นนั้น ใจก็จะดีดออก ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ หรือว่าหงายของที่คว่ำ ใจก็จะว่าง กายก็จะเบา
บางทีเราไม่เห็นตรงนั้น เราอาจจะควบคุมใจของเราได้ แต่ใจก็ยังไม่ได้พลิก ใจยังไม่ได้หงายก็เปรียบเสมือน เขายังคว่ำอยู่ เขาก็หาเหตุหาผลมาโต้แย้งของเขาเหมือนกัน เพราะว่าเขาเกิดมานาน เขาหลงมานาน เพียงแค่การปรุงแต่ง ทีนี้เขาก็มาสร้างอันโน้นสร้างอันนี้ มาหลงมายึด เราต้องคลายจากข้างใน มันก็วางภายนอกได้หมด เราจะละกิเลสได้หมดจดหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับกำลังสติ กำลังปัญญาของเรา ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้ในกองสังขาร ให้รอบรู้ในอารมณ์ แล้วก็รอบรู้ในโลกธรรม
ถ้าเราหมั่นวิเคราะห์ หมั่นสังเกตอยู่บ่อย ๆ ทำความเข้าใจอยู่บ่อย ๆ ผิดพลาดเริ่มใหม่ ผิดพลาดเริ่มใหม่ แล้วก็ปรับปรุงใจของเราให้อยู่ในความอ่อนน้อม ให้อยู่ในความอ่อนโยน มองโลกในทางที่ดี คิดดี ทิฏฐิ ความเห็น ความเห็นเราอาจจะเห็นถูกอยู่ระดับของสมมติ แต่ในระดับหลักธรรมแล้วก็ต้องคลายให้ได้ ถึงจะเรียกว่า ‘เห็นถูก’ เขาเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้ง เห็นจริง กำลังสติของเราถ้าไม่พุ่งแรงทำความเข้าใจ เขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม
ถ้าเราทำความเข้าใจทุกเรื่อง อันนี้ลักษณะของใจ ใจที่เกิดเราดับได้ เราหยุดได้อยู่ในระดับไหน ต้นเหตุ กลางเหตุ ออกมาทางกาย ทางวาจา จนกระทั่งให้ใจเรายอมรับความเป็นจริงว่า อะไรก็ไม่เที่ยง มันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาทางด้านอารมณ์ ทางความคิด แล้วก็อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในทางสมมติ ในทางรูปธรรม ถ้าไม่ถึงเวลาเราก็ไม่ได้ไป ถ้าถึงเวลาเราก็ไป
จงพยายามทำความกระจ่างให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา แล้วก็ละกิเลสออก ได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามทำ ถ้าเห็นถูกแล้ว ก็มองเห็นความเป็นจริง ตามทำความเข้าใจ ตั้งแต่ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ ทุกเรื่อง กิเลสหยาบ กิเลสละเอียดต้องหมั่นค้นคว้า หมั่นสนใจ อันนี้เรื่องของกายนะ อันนี้เรื่องของใจนะ ภาษาธรรม ภาษาโลกเป็นอย่างนี้นะ ความเกิดความดับภาษาธรรมท่านเรียกว่า ‘ปฏิจจสมุปบาท’ การเกิดการดับของจิต การเกิดการดับของอาการของขันธ์ห้า
อะไรคือปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา อะไรคือเป็นกุศลหรือว่าอกุศล อะไรคือความเป็นกลางๆ ความว่าง ในความว่างนั้นมีดวงวิญญาณอยู่ เขารับรู้อยู่ ซึ่งเรียกว่า ‘ธาตุรู้’ ถ้าเราดับบ่อย ๆ กิเลสก็จะเหือดแห้งไป เหือดแห้งไป เราก็จะเข้าใจในชีวิตของเรา
อะไรคือเราจะเอาไปบริหารดำเนินทำหน้าที่แทนใจของเราได้ คือ ‘สติ’ ที่เราสร้างขึ้นมา แต่ก่อนที่เราจะเอาไปใช้ได้ เราต้องทำความเข้าใจภายในให้เต็มรอบเสียก่อน แล้วก็ละกิเลส ดับความเกิดให้ได้ ถ้าเราดับได้บ่อย ๆ มันก็เหือดแห้งไป เหือดแห้งไป แม้แต่การเกิดของใจ ปรับสภาพใจของเราให้อยู่ในความอ่อนน้อมอ่อนโยน แล้วก็สร้างความหนักแน่น สร้างกำลังใจของเราไม่ให้หวั่นไหวต่อสิ่งต่าง ๆ ท่านถึงบอกว่า สมถะสร้างกำลังจิต หนุนกำลังสติปัญญาไปแก้ไขปัญหาต่าง ๆ
การพูดง่าย แต่การลงมือการกระทำต้องทุกลมหายใจเข้าออก ทุกขณะจิตจนเป็นอัตโนมัติ จนไม่มีอะไรเหลือที่จะไปละ ไปดับ จนเหลือแต่สมมติ ทำความเข้าใจกับสมมติ เคารพสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ อยู่ด้วยปัญญาล้วน ๆ บริหารด้วยปัญญาล้วน ๆ ไปอยู่ที่ไหนก็เตรียมพร้อม เป็นบุคคลที่เตรียมพร้อมทั้งข้างนอก ทั้งข้างใน มองโลกในทางที่ดี คิดดี
หลวงพ่อก็ได้พูดให้ฟังเท่านั้นเอง พูดตั้งแต่ของเก่า เรื่องเก่านี่แหละ ให้พวกท่านพากันไปดำเนินให้เห็นต้นเหตุเถอะ ถ้าเห็นแล้ว รู้แล้ว ทำความเข้าใจได้แล้ว สติปัญญา สมาธิ เขาจะรักษาเราเอง ใหม่ ๆ สติไม่มี เราต้องสร้างขึ้นมา สมาธิไม่มีเราก็พยายามทำให้เป็นสมาธิ
ใจที่ยังหลงอยู่ เราก็คลายความหลง ทำความเข้าใจแล้วก็ละกิเลส สติ สมาธิ ก็จะเสมอภาคกัน เขาก็จะรักษาเราเอง ยืน เดิน นั่ง นอน ก็จะเป็นแค่เพียงอิริยาบถ แม้ตั้งแต่สติปัญญาของเราถ้าเป็นอกุศล เราก็พยายามดับ พยายามหยุด เอาเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งไหนไม่เป็นประโยชน์ก็ไม่เอา สิ่งไหนที่ควรคิดก็ค่อยคิด สิ่งไหนไม่คิดก็ไม่คิด คิดก็ได้ ไม่คิดก็ได้ ได้หมด
แต่สำหรับใจนี่ ดับความคิด ดับความเกิด คลายความหลงให้ได้เสียก่อน ก็ต้องพยายามกัน มันมีไม่มากหรอก แต่เรามาสร้างให้มันมากเท่านั้นเอง เราละออกให้มันหมดที่ใจของเรา แล้วก็บริหาร จะเอามากเอาน้อยก็เป็นเรื่องของปัญญา ไม่ให้ใจของเราเกิดความอยาก หลวงพ่อถึงว่าความอยาก แม้แต่นิดเดียวก็ไม่ให้เกิดขึ้นที่ใจ เราดับให้ได้เสียก่อน ใหม่ ๆ ก็อาจจะเป็นการฝืน ท่านบอกว่าเป็นการทวน เป็นการสวนกระแส เพราะว่าจิตของคนเราชอบคิดชอบเที่ยว แล้วก็มาสร้างขันธ์ห้ามาปกปิดตัวเอง ว่าขันธ์ห้ามีอะไรบ้าง ที่เป็นกอง เป็นขันธ์ ที่ท่านเรียกว่าเป็นกอง เป็นขันธ์ ใจนี้ก็ยังมีความทะเยอทะยานอยากอีก ความโลภ ความโกรธ ความยินดียินร้าย ผลักไส ไม่ผลักไส หรือว่ามลทินต่าง ๆ นิวรณธรรมต่าง ๆ มีเยอะแยะมากมายอยู่ในกายของเรา
ยิ่งเจริญสติค้นดูเท่าไหร่ ยิ่งสติมากเท่าไหร่ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่ก็ยิ่งทำความเข้าใจ แล้วก็ค่อยละ หมดความสงสัย หมดความลังเล เอาความเป็นกลาง ความว่างนั่นแหละเป็นเครื่องตัดสินไม่เข้าข้างตัวเอง ไม่เข้าข้างคนอื่น พยายามหยุด ดับ ละ วาง อยู่ปัจจุบัน รู้ไม่ทันต้นเหตุก็ดับ วางใหม่ เอาใหม่ ทั้งกลางวันและทั้งกลางคืน จนหมด มองเห็นหนทางเดินว่าจะได้กลับมาเกิด หรือไม่กลับมาเกิดกัน
ไม่ต้องไปวิ่งหาที่ไหนหรอก ตื่นขึ้นมาก็รีบเจริญสติดูกาย ดูใจ มีโอกาสก็ไปที่โน่นที่นี่ ก็เป็นการสร้างบารมี เป็นการสร้างข้าวพกข้าวห่อ เปลี่ยนสถานที่ ถ้าเรารู้ใจของเราแล้วก็ ดูที่ใจของเราเลย ไม่ต้องไปดูที่ไหน จะไปไหนมาไหน สติปัญญาพากายไปให้ใจรับรู้ ดับความเกิดให้ได้เสียก่อน ดับความคิดให้ได้เสียก่อน คลาย แยกแยะให้ได้ ทำความเข้าใจให้ได้เสียก่อน รู้ไม่ทัน อย่าไปกังวล อย่าไปลังเล ดับ เอาใหม่ ตัวใหม่เข้ามาสังเกต วิเคราะห์ อันนี้คือส่วนรูป ส่วนนาม อันนี้ส่วนรูป ส่วนนาม อันนี้โลกคือธรรม ธรรมกับโลกก็อาศัยกันอยู่ สมมติกับวิมุตติก็อาศัยกันอยู่ ฝ่ามือกับหลังมือก็อาศัยกันอยู่ ถ้าเราพลิกขึ้นมา ฝ่ามือก็อยู่ข้างบน หลังมือก็อยู่ข้างล่าง ก็อยู่ด้วยกัน
จงพยายามดู แม้แต่ลมหายใจเข้าออก เราก็หายใจอยู่ทุกวันตั้งแต่เกิด ถ้าเราหยุดแค่ 2-3 นาทีเขาก็ไปแล้ว แต่เราไม่ค่อยจะสนใจกันเท่านั้นเอง มองเห็นตั้งแต่คุณงามความดี ตั้งแต่สมมติภายนอกเท่านั้น เราไม่เอาความดีภายในให้มันเต็มรอบสักก่อน ทั้งที่บารมีส่วนอื่นก็สร้างกันมาดี ก็พยายามกันนะ
เอาล่ะวันนี้เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อม ๆ กัน พากันไปสร้างต่อสานต่อทำความเข้าใจให้ได้ทุกอิริยาบถกัน