แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อย่าพูดว่าเป็นแนวคิดของตนเองเลยนะครับ เพราะว่าผมพอมาถึงจุด ๆ หนึ่ง ผมมีความรู้สึกว่าไม่มีอะไรเป็นของตัวของผมเลยนะครับ ผมมาสู่จุด ๆ หนึ่ง ซึ่งมันเหมือนกับผมไม่ได้มี งานชิ้นสุดท้ายที่ผมกำลังทำอยู่ก็คือ การอธิบายปรัชญาปารมิตา เพราะในปรัชญาปารมิตาเป็นสูตรที่ว่าด้วย การสลายความยึดมั่นถือมั่น ทีนี้การสลายความยึดมั่นถือมั่นนี้รวมถึงการสลายสิ่งที่มันเป็น เป็นความรู้สึกว่าสิ่งนี้เป็นตัวตนอย่างนี้ครับ
ทีนี้ความหมายอันหนึ่งที่ผมพบว่ามันมีความความมหัศจรรย์ของการมาถึงจุด ๆ หนึ่ง มันเหมือนกับเป็นการเปิดโอกาสที่ผมรู้สึกดีมากที่วันหนึ่งผมได้แก่มาจนถึงอายุปูนนี้ ได้มีสังขารร่างกายเสื่อมชำรุดลงมาถึงจุด ๆ นี้ และเราก็สามารถใช้ข้อเท็จจริงที่เรากำลังเผชิญ ผมจึงบอกเสมอว่าผมมีความสุขมากที่ได้ป่วย มีสุขมากที่ได้แก่นะครับ คำว่า "ได้แก่" คือไม่ได้มีอายุจนมาถึงสามารถพูดได้ว่าเราแก่แล้ว เมื่อตอนที่ผมออกจากราชการผมบอกว่าผมจะออกจากวัยคฤหัสถ์ไปสู่วัยวานปรัสถ์ และจะออกไปสู่พื้นที่สุดท้ายชีวิตก็คือ สัญญา 4 ผมเข้าใจว่าในปัจจุบันนี้ผมมาสู่ช่วงสุดท้ายของชีวิตที่เป็นสัญญา 4 แล้ว ทีนี้ช่วงสุดท้ายที่เป็นสัญญา 4 แล้วเนี่ย ความหมายที่มันเกิดขึ้นในใจผมเนี่ยนะครับ ผมบางทีผมก็ไม่สามารถบอกเล่าให้มันเป็นก้อนเป็นชิ้นเป็นอันได้ ผมมีแต่ความรู้สึกต่อเพื่อนร่วมสังคม ผมมีความรู้สึกที่ดีมากที่จะได้คุยกับคนหนุ่มสาวและบอกให้เขามีความสุขกับการได้ใช้ชีวิตแบบหนุ่มสาวเถิด เพราะความหมายแบบนั้นน่ะ มันจะผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เพราะช่วงนี้พวกคุณให้โปรดภูมิใจที่จะได้เป็นคนหนุ่มสาว อย่ามาคิดที่จะทำแบบผม อย่ามาคิดจะเป็นเหมือนผม แต่ให้จำไว้อย่างหนึ่งว่าช่วงวัยแบบนั้นเดี๋ยวมันก็จะผ่านไป ให้นึกถึงผมเมื่อคุณอายุเท่าผม แล้วผมจะมีคำพูดบอกว่า ดีมากเลยที่เราได้เป็นเช่นนี้อย่างนี้
ทีนี้ความรู้สึกแบบนี้มันไม่เป็นก้อน แต่ผมมีความรู้สึกอย่างเดียวที่ผมสามารถจะบอกได้ว่า พอมาถึงวันหนึ่งผมรู้สึกดีกับชีวิตที่ไม่ได้มีอะไรเป็นชิ้นเป็นก้อน เป็นเนื้อเป็นตัวเนี่ยนะครับ แม้กระทั่งผมมีความรู้สึกเหมือนกับประหนึ่งว่า พอไปถึงจุด ๆ หนึ่งแล้วเนี่ย มันก็เป็นธรรมชาติเป็นธรรมดา ความหมายที่ดีมันไม่ควรจะเป็นเนื้อเป็นตัวผม ความหมายที่ดีถ้าจะมี มันก็น่าจะมีอยู่ในใจของคนที่ผมได้พบ วันหนึ่งท่านไม่จำเป็นต้องรู้จักผม ไม่จำเป็นต้องมีชื่อผม แต่ท่านรู้สึกดีที่ว่าครั้งหนึ่งได้เจอผมที่นี่อะไรอย่างนี้นะ แล้วท่านกลับไปสร้างสรรค์สิ่งที่มันเป็นคุณค่าในประเทศ ในสังคมของท่าน ทีนี้ความรู้สึกแบบนี้อธิบายยากมากครับ อธิบายยาก คำว่าอธิบายยากคือมีความหมายว่า มันเป็นสิ่งที่เราอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถสร้างรูปร่างของความหมายนี้ให้มันเป็นชิ้นเป็นอันได้ มันมีแต่กระจัดกระจาย มันอยู่ในความหมาย ที่มัน มันบอกไม่ถูกนะครับ
แต่ผมเข้าใจว่าสิ่งหนึ่งที่กำลังพูดถึง ผมกำลังพูดถึงสิ่งหนึ่งนะครับ ผมเข้ามาบวชเป็นพระภิกษุก็อยู่ในช่วงวัยหนุ่ม และเราก็มีอารมณ์ความรู้สึก เรามีความคิดอะไรบางอย่าง ตอนนั้นผมจึง ผมจึงพยายามที่จะเสาะแสวงหาครูบาอาจารย์ แล้วก็แสวงหา ผมก็เลยไม่ ไม่งอกงามในพื้นที่ทางศาสนา เพราะเป็นคนที่มีความคิดชอบตัดสิน แล้วก็ชอบที่จะวิพากษ์วิจารณ์ เพราะในช่วงที่เป็นพระภิกษุอยู่มันก็เลยทำให้ ให้เหมือนกับว่าไม่พอใจอะไรสักอย่าง ไม่พอใจอะไรสักอย่าง ไม่พอใจแม้กระทั่งระบบการศึกษา ผมเป็นคนไม่ประสบความสำเร็จในระบบการศึกษาเลยนะครับ ก็คือระบบการศึกษาบาลีผมก็ไม่ประสบความสำเร็จ มีความรู้สึกว่าพอแล้ว ไม่เอากับมันแล้ว ประมาณนี้ ทั้งที่ความจริงผมน่าจะสอบให้ได้เปรียญ 9 ประโยค ผมไม่เอาแล้วอย่างนี้นะครับ ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยสงฆ์ผมก็ไม่ประสบความสำเร็จ ผมไปผูกติดอยู่กับการอยากจะเรียนแบบนั้น จะเรียนแบบนี้อะไรอย่างนี้ครับ ผมไม่ประสบความสำเร็จ
โชคดีที่ผมถูกส่งไปดัดสันดานที่ประเทศอินเดีย ที่ส่งไปดัดสันดานที่ประเทศอินเดียก็คือหมายความว่าเมื่อไปอินเดียแล้วเรากลับไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงหลวงพ่อ หลวงพ่อที่ใช้คำพูดบอกว่าลูกยังสึกไม่ได้ ลูกต้องเรียนรู้ให้มาก มีสิ่งรอคอยให้ลูกเรียนรู้ และท่านให้เงินผมไปเรียนแล้วผมต้องเรียนอย่างนี้ครับ แต่หลวงพ่อองค์นี้เมื่อวันหนึ่ง ท่านกลับบอกผมบอกว่า ลูกเป็นพระแล้ว ลูกสึกได้แล้ว ผมรู้สึกแปลกมาก แปลกใจมาก เมื่อหลวงพ่อบอกว่าลูกเป็นพระแล้วสึกได้ แสดงว่าตอนที่ผมจะสึกยังไม่เป็นพระ ท่านเลยไม่ให้สึก ความรู้สึกแบบนี้เป็นความรู้สึกที่มันสุดท้ายเมื่อผมแก่ตัวแล้วผมถึงค่อยมาทบทวน โอ้ หลวงพ่อท่านเมตตาเราเป็นที่สุด ท่านมีวิธีการจัดการกับเรา อะไรที่มันสำคัญมาก แต่ทีนี้ที่เอาตรงนี้มาเล่าก็เพียงเพื่อจะบอกว่า สิ่งที่เป็นความรู้ของผม ผมไม่สามารถสรุป สรุปอะไรได้ แต่ผมรู้สึกดีเหลือเกินที่ได้เป็นเช่นนั้น จนกระทั่งมาเป็นอย่างวันนี้
ในอดีตผมเคยรู้สึกว่าตัวเองโชคร้าย ไม่ประสบความสำเร็จ โชคร้ายที่ไปเกิดในภูมิประเทศที่ห่างไกล ขาดการศึกษา โชคร้ายที่ต้องไปเผชิญชีวิตยามเยาว์วัยในวัยหนุ่มอย่างลำบากลำบน โชคร้ายที่บวชเข้ามาเป็นพระภิกษุแล้วก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จงอกงามอะไรมากมาย ทั้งที่ได้พบพระเถระผู้ใหญ่ ได้อยู่ในวัดที่ดี ๆ แต่ผมก็อยู่ไม่ได้ ผมพยศ พยศ พยศ แล้วสุดท้ายเรียนหนังสือเจอครูบาอาจารย์ดี ๆ ในมหาวิทยาลัยสงฆ์ ผมยังพยศอีก ผมเถียงอาจารย์ประมาณนี้นะครับ ผมเลิกเรียนดีกว่าถ้าเป็นอย่างนี้ ประมาณนี้ นี่เป็นนิสัยที่ไม่ดีของผมเลย แต่นิสัยที่ไม่ดีเหล่านั้นนะครับ ผมรู้สึกว่าผมโชคดีเหลือเกินที่เคยไม่ดีแบบนั้น และได้เรียนรู้ ได้เรียนรู้ ได้เรียนรู้ มาเรื่อย ๆ มาจนถึงวันนี้ แม้กระทั่งผมไปเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรนะครับ ผมไปอยู่ในมหาวิทยาลัยก็เป็นพวกนอกคอก
เวลาเขาจะนิยามความหมายของคนใต้เหมือนที่อาจารย์พูดถึง เขาบอกถ้าจะรู้จักคนใต้ไม่ต้องไปรู้จักทั้ง 14 จังหวัดหรอก เนี่ยไปหาอาจารย์ประมวลแล้วจะรู้ว่าคนใต้เป็นยังไง คือผมเป็นคนไม่ยอมคนไง พอเป็นคนไม่ยอมคน เขานิยามว่าผมเป็นแบบคนใต้ ซึ่งผมบอกว่าไม่ใช่แบบคนใต้ เป็นผมเนี่ย คนใต้ทั่วไปไม่เหมือนผม ผมบอก แต่ที่พูดเช่นนี้ก็เพื่อจะตอบคำถามของท่านเท่านั้นเองว่าสุดท้ายสิ่งที่ผมสรุปได้ก็คือ
พอมาถึงจุด ๆ หนึ่ง ขอให้เรามีความรู้สึกดีเหลือเกินที่ได้เป็นเช่นนั้น
ครับนี่คือความหมายที่ผมอยากจะบอก