แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อีกคำถามสั้น ๆ ค่ะว่าความไว้เนื้อใจหรือความศรัทธา Faith หรือ ... (เสียงไม่ชัดเจน) มันคือความไว้เนื้อเชื่อใจในการมีชีวิตอยู่ การเผชิญ กับทุกสิ่งเพื่อเรียนรู้อย่างไรบ้าง อย่างงั้นใช่ไหม เขาเข้าใจถูกไหมคะ
ศรัทธา 4
ใช่ครับผมขยายนิดหน่อยนะครับ เมื่อกี้ไม่ได้แตะในหลักพระพุทธศาสนามากเลยนะครับ อยากจะแตะนิดเดียว หัวใจตรงนี้สำคัญมาก ในพระพุทธศาสนา เวลาเราพูดถึงศรัทธา ถ้าจะกล่าวแบบเคร่งครัดคัมภีร์เนี้ยครับ ที่มีมาในพระไตรปิฎกคือพระบาลีมีศรัทธาอยู่เพียงอย่างเดียวที่มีชื่อเต็ม ๆ ว่า ตถาคตโพธิสัทธา ผมยังไม่แปลคำนี้นะครับ แต่ต่อมาเมื่อมีการเขียนคัมภีร์อธิบายความหมายของศรัทธา จึงขยายเพื่อให้เข้าใจง่าย จึงมีการขยายมาเป็นว่า กว่าจะไปถึงตัวนั้นได้ไงมันต้องมีศรัทธาที่เป็นเบื้องต้นก่อน คือ กัมมสัทธา วิปากสัทธาและกัมมัสสกตาสัทธา
เรามักจะมาติดอยู่กับสิ่งที่มันเป็นเบื้องต้นคือ กรรมกับวิบาก ส่วนใหญ่ พูดถึงเรื่องกฎแห่งกรรม พอพูดถึงเรื่องกฎแห่งกรรมแล้วก็ยังไม่ค่อยจะชัดเจนด้วยจะเชื่อมโยงไปสู่สิ่งที่มันเป็นภาษาคะตะโพธิสัทธาอย่างไร คำนี้มีความหมายที่ลึกซึ้งมาก ภาษาคะตะที่เรามาออกเสียงเป็นไทยว่าตถาคตเนี่ยนะครับ เป็นคำที่ไม่มีแปล เมื่อมีการแปลบาลีมาเป็นไทยก็แปลทับศัพท์ว่าตถาคต คำนี้เกิดปรากฏขึ้นมาเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว พระองค์จะเรียกตัวพระองค์เองว่าตถาคต ถ้าจะแปล แปลว่าว่าผู้เข้าถึงแล้วซึ่งตะถะ ตะถะ
ตะถะเนี่ยนะคำนี้มีปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระเวท ซึ่งเป็นบทสวดมนต์ที่เก่าแก่ที่สุดของชาวอินเดียโบราณ บทสวดมนต์บทแรก ๆ นี้จะไม่ได้มีการกล่าวอะไรมาก มีแต่ถ้อยคำ มีคำว่าโอม มีคำว่าสัตว์ มีคำว่าสัตว์ คำว่าโอมเหมือนที่อาจารย์เมธี ให้เราเอ่ยคล้าย ๆ อย่างนั้นนะครับ ไม่มีความหมายที่จะต้องทำ แต่คำว่า ตะ เนี่ยนะครับเป็นสภาวะที่คนชาวอินเดียมีความเชื่อว่าเป็นสภาวะที่เขาปรารถนาจะเข้าให้ถึง พระพุทธเจ้าของเราเมื่อบรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงเรียกตัวท่านเองว่า ตถาคตแปลว่าผู้เข้าถึงตะ
ตะถะ หรือตถตา
เอ๊ะตะ แปลว่าอะไร มีอยู่ในบาลีนะ แต่ไม่ค่อยแปล คนที่มาแปลคำว่าตะแล้วเอามาเป็นคำพูด คือมันมีอยู่ในลักษณะที่แปลยาก พระภิกษุผมใช้คำว่ารูปแรกในประเทศไทยหรือเปล่าไม่แน่ใจ ว่าจะพูดด้วยความเคารพท่านและจะอคติว่าท่านเป็นองค์แรกก็เดี๋ยวคนอื่นเขาไม่ใช่เรามีคนพูดมาก่อนก็ขอโทษด้วย แต่ผมรับรู้สิ่งนี้ครั้งแรก แต่เข้าไปรับรู้จากการอ่านแล้วก็คือท่านอาจารย์พุทธทาส ท่านพยายามจะแปลคำนี้ แล้วท่านแปลดีด้วยนะ
ตะ ตะถะ หรือตถตา ถ้าเป็นคำนาม แปลว่าเป็นเช่นนั้นเอง หมายความว่าไงครับ หมายความว่าสิ่งที่มันเกิดปรากฏอยู่ในโลกใบนี้ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ต่าง ๆ รวมถึงการผันแปรเปลี่ยนแปลงในตัวเราหรือโลกใบนี้ ความจริงมันมีความเป็นไปตามธรรมชาติของมัน เราต่างหากที่มีความตื่นตระหนกตกใจเมื่อเจอปรากฏการณ์บางอย่างที่มันกระทบกับความรู้สึกปรารถนาของเรา พระพุทธเจ้าเองเมื่อตอนที่เป็นพระสิทธัตถะกุมารเมื่อเจริญวัย วันหนึ่งออกไป??? นอกพระราชวังไปเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย เกิดความตื่นตระหนกด้วยความรู้สึกว่าเราก็ต้องเป็นเช่นนี้หรือ เราที่ตอนนี้ยังอยู่ในวัยหนุ่ม ต้องแก่อย่างนี้เหรอ เราที่ตอนนี้ยังมีชีวิตสมบูรณ์สุขสบายดี ต้องเป็นคนเจ็บอย่างนี้เหรอ ที่สำคัญเราต้องเป็นคนตายอย่างนี้เหรอ ความรู้สึกนี้ทำให้พระองค์รู้สึกสั่นไหว อารมณ์ที่จะไปเสพเสวยกามาสุข ในพระราชวัง ในปราสาทที่มีอยู่ก็สูญสิ้นไป นี้จึงเป็นที่มาที่ทำให้พระศาสดาของเราเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ที่แปลเป็นไทยว่าออกแสวงหาความหลุดพ้นที่ยิ่งใหญ่
และวันหนึ่งเมื่อพระองค์บำเพ็ญปฏิบัติแสวงหามาจนกระทั่งถึงวันหนึ่งเมื่อพระองค์บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณทิพย์ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์นั้นแหละเป็นครั้งแรกที่พระองค์บอกว่าพระองค์เข้าถึงแล้วซึ่งสภาวะชีวะตะ คือสภาวะที่มีความรู้สึกได้ถึงความหมายของปรากฎการณ์ที่มันจะเป็นเช่นนี้แหละ ความรู้สึกได้ที่มันเป็นความรู้สึกแบบนี้ มันบอกว่ารู้อะไรก็ไม่รู้สิมันเป็นความรู้ชุดหนึ่งที่ทำให้สิ่งที่มันเกิดขึ้นที่เราเคยหวั่นไหวพระองค์ก็ไม่หวั่นไหว มันเป็นเช่นนี้เองที่คนต้องแก่ มันเป็นเช่นนี้เองที่คนต้องตาย
แล้วความรู้สึกนี้เป็นความรู้สึกที่ใหญ่มาก ใหญ่มากจนกระทั่งต่อมาเมื่อพระองค์พูดถึงความมั่นคงเชื่อมั่น เราจะสูญเสียความมั่นคงเชื่อมั่นอะไรก็ไม่รู้แหละ แต่ขอให้เรามีความเชื่อมั่นเถอะว่าจิตของเรา สภาวะที่เรียกว่าโพธิ เป็นตัวความรู้เข้าสู่สภาวะนี้ได้ ถ้าเรามีความเชื่อมั่นแบบนี้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นล้วนแต่มีค่าหมดเลย เพราะมันกำลังจะเปิดเผยให้เรารู้สึกได้ว่ามันเป็นเช่นนี้เอง มันเป็นเช่นนี้เอง และความรู้สึกแบบนี้เป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ มันไม่ใช่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง
ตถาคตโพธิสัทธา
เพราะฉะนั้นในพระพุทธศาสนาจึงมีสิ่งที่เรียกว่าตถาคตโพธิสัทธา ส่วนใหญ่จะไปแปลกันว่าเชื่อมั่นในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าใช่ไหมครับ แต่ความจริงคือเชื่อมั่นในโพธิคือจิตของเราที่จะเข้าถึงสภาวะที่เรียกว่าตัดไม่ได้ เราจะเข้าถึงได้ทีนี้ใครจะเข้าถึงได้เราต้องใช้สิ่งที่มันเกิดปรากฏขึ้นนี้แหละ เพราะฉะนั้นถ้าเรามีความศรัทธาที่ว่านี้ ไม่มีอะไรที่ไร้ค่าเลย ไม่มีอะไรที่มันเป็นสิ่งที่น่าหวั่นไหวหวั่นกลัวเลย มีแต่สิ่งที่มันจะเป็นโอกาสที่เราจะได้เรียนรู้มีแต่สิ่งที่มันจะเปิด เปิดให้เราเห็นความหมายนั้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่มันเป็นความหมายนี้นะครับ ทุกสิ่งที่มันปรากฎเป็นเทวทูต ถ้าเราบอกว่าตัด เมื่อก่อนตัดนี้เป็นสภาวะเทพอยู่บนสวรรค์นะ เพราะฉะนั้นการที่มีคนแก่ คนเจ็บ คนตาย เป็นเทวทูตคือเป็นทูตที่จะมาเปิดเผยอะไรความหมายกับเรา ที่นี่เพื่อจะให้เข้าใจสิ่งนี้ได้ จิตของเราต้องมีความมั่นคง จิตต้องมั่นคง พระผู้อธิบายจึงบอกไว้ว่าเราต้องมีความเชื่อมั่นนะว่าถ้าเราจะเข้าถึงสิ่งนี้ เราต้องมีการกระทำที่มันมีความหมาย
ที่เราพูดมาทั้งหมดว่ามันเป็นความหมาย มันต้องยอมรับผลที่จะเกิดขึ้นนึกถึงภาพนะครับว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้นอยู่เนี่ยถ้าเรามีความรู้สึกได้ถึงความหมายที่มันเป็นผลที่เกิดขึ้นจากเรามีส่วนในการกระทำ นึกถึงภาพเถอะครับ ถ้าเราอยู่ที่บ้าน ถ้าเรา ถ้าเราเดินไป สะดุดเก้าอี้ก็โทษคนอื่นว่าวางไว้ทำไม ทั้งที่ความจริงเราเป็นคนสะดุดเองใช่ไหม แต่จริง ๆ ถ้าอะไรที่เราทำเองเราจะรู้สึกว่าฉันทำเองใช่ไหม เราจะทนได้ เราจะทนได้เพราะฉะนั้นถ้าเรารู้สึกว่าเราทำสิ่งหนึ่งไว้แล้วสิ่งนั้นมันจะเป็นผล เพราะฉะนั้นเวลารอรับผลอะไรไม่ใช่เป็นโทษแต่คนอื่นว่าทำไมถึงมาทำสิ่งนี้แต่เราเป็นผู้ทำสิ่งนี้เอง
ความเชื่อมั่นในวิถีแห่งความเป็นมนุษย์
ที่สำคัญเราต้องมีความเชื่อมั่นในวิถีแห่งความเป็นมนุษย์ของเราต้องเป็นวิธีที่มันมีครรลอง ครรลองที่มันจะทำให้สิ่งที่เป็นปรากฏการณ์เกิดขึ้นเนี่ยมันจะประคับประคองเราไปสู่ความหมายที่สำคัญตรงนี้ครับเพราะถ้าเรามีความเชื่อมั่นแบบนี้นะครับ สิ่งต่างๆ ที่เราประสบพบเห็นอยู่นี้จะเป็นสิ่งที่ทำให้เราสามารถเปิดใจน้อมรับ เปิดใจเรียนรู้ที่สำคัญคือเราสามารถที่จะทำให้เกิดความหมายว่าสิ่งนี้จะพาเราไปสู่ความรู้สึกได้ว่ามันเป็นเช่นนี้เอง
นึกถึงภาพสิครับถ้าวันหนึ่งใครสักคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ เราประสบความผิดหวัง แต่จริง ๆ สิ่งที่เราผิดหวังมันเป็นเช่นนี้แหละ ถ้าวันหนึ่งนะครับที่เราต้องอยู่กับคนที่เขาจะต้องจากเราไปใช่ไหมครับด้วยวัยอันชรา จริง ๆ นี่ก็เป็นปรากฏ มันเป็นเช่นนี้แหละแต่ที่สำคัญคือเราสามารถเข้าไปเรียนรู้ความหมาย ที่มันเป็นความหมายนี้ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมพูดเมื่อตะกี้ ที่พูดถึงเรื่องศรัทธา พูดอะไรเนี้ยครับ ถ้าเราเข้าใจประเด็นนี้และเปิดใจที่จะเรียนรู้สิ่งนี้เราจะสัมผัสพบได้ถึงความหมายของการมีชีวิตอยู่และเราจะมีความศรัทธาคือความรู้สึกเชื่อมั่นที่มันกลายมาเป็นความหมายว่าชีวิตจิตใจที่เราถือครองอยู่นี้นะครับ
ที่ผมชอบยกตัวอย่างอุปมาเปรียบเทียบเหมือนกับว่าเราซื้อมะม่วงมาสักผลนึงจากแม่ค้าที่ตลาด ที่เขายืนยันเป็นมะม่วงหวาน หอมหวานแต่ตอนที่เราซื้อมานี่มันยังดิบ เพราะฉะนั้นเราจึงซื้อมา เราไม่ได้เอามาเฉาะกินเลยนะครับ ถ้าเฉาะกินเลยมันเปรี้ยวเนาะ เราอาจจะบอกว่าแม่ค้าโกหกเรา แต่ถ้าเราเชื่อ เชื่อว่ามะม่วงเมื่อมันสุก มันจะหอมและหวาน เราจึงเก็บบ่มไว้รอเวลาที่จะกินยามที่มันสุก ถ้างั้นใครจะมากินซะก่อนก็บอกจะกินแล้วมันเปรี้ยวกินไม่ได้หรอก ประมาณนี้ครับเพราะฉะนั้นชีวิตของเราตอนนี้เหมือนกับมะม่วงที่ยังดิบ แต่โปรดเชื่อมั่นเถอะครับว่ามะม่วงผลนี้คือชีวิตของเรานี้เมื่อบ่มเพาะแล้วมันจะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เป็นรสชาติความเปรี้ยวมาเป็นรสชาติที่หวานลิ้นที่มันไม่ค่อยมีอะไรมันจะกลายเป็นกลิ่นหอมนวลสีที่มันเขียว ๆ มันจะแปลงสภาพเป็นสีชมพูดูสดใสเพราะฉะนั้นโปรดเก็บมะม่วงผลนี้ดูแลรักษาให้ดีบ่มเพาะสิ่งที่เราพูดกันทั้งหมดที่เรียกว่าการภาวนาหรือสิ่งที่เราพูดถึงความรู้สึกตัวก็คือความรู้สึกที่จะพัฒนาไปถึงจุด ๆ หนึ่งจะเป็นความรู้สึกที่เราจะรู้สึกได้ อ่อ มันเป็นเช่นนี้เอง นี่ครับคือสิ่งที่อยากให้มีในใจของพวกเราทุก ๆ ท่านและอยากให้สิ่งนี้ค่อย ๆ เติบโตชัดเจนประดุจดังมะม่วงที่เคยฝาดเคยเปรี้ยววันหนึ่งมันก็หอมแล้วก็หวานครับ