แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นิพพานไม่ใช่การคิดปรุงแต่ง ผมยังประทับใจไม่หายเมื่อผมได้คุยกับอาจารย์สิงห์ทองซึ่งเป็นผู้ดูแลท่านอาจารย์พุทธทาส ในช่วงเวลาสุดท้ายว่าท่านอาจารย์ของเรามีอะไรบ้าง อาจารย์สิงห์ทองตอบว่า ท่านอาจารย์ไม่ทำอะไรเลย แต่พึมพำ พึมพำ เสมอว่า (นิพพานัง อะนาระมะนัง ) บางทีก็ไม่มีคำว่า (นิพพานัง) มีแต่คำว่า (อะนาระมะนัง ) เป็นคำภาวนา ของอาจารย์พุทธทาสในช่วงสุดท้าย ช่วงที่ท่านมีสติสัมปชัญญะ ไม่ใช่ช่วงที่ท่านอยู่ที่โรงพยาบาล
ผมได้ยินคำพูดของอาจารย์สิงห์ทองแล้วผมรู้สึก...
เมื่อเช้าเราพูดถึงสิ่งที่มันเป็นจิตกับอารมณ์ จิตต้องเสพเสวยอารมณ์อยู่เสมอ จิตที่เป็นตัวรู้ (??? อะระมะนัง) ก็คือจิตนั่นแหละ แต่เป็นตัวที่ถูกรู้ ในพระบาลีที่ท่านอาจารย์พุทธทาสพึมพำ เพื่อจะบอกว่าในสภาวะที่เป็นนิพพาน ไม่มีสิ่งที่ถูกรู้แล้วนะ ไม่มีอะไรแล้ว เป็นสภาวะจิตที่ว่าง เพราะท่านอาจารย์พุทธทาสท่านสอนเรื่องจิตว่าง ท่านปฏิบัติธรรมเพื่อเข้าถึง (สุญญตา) และความรู้สึกที่ผมกระจ่างชัดในปัจจุบันนี้ มันมีความรู้สึกได้ถึงความหมาย อะไรบางอย่าง ที่เป็นสภาวะ ที่ผมเผลอพูดไปแล้ว มองท้องฟ้าที่เวิ้งว้าง ..... เป็นความหมายที่สวยงาม ในชีวิตของเราพอไปถึงจุดๆหนึ่งแล้ว ผมไม่มีความประสงค์ที่จะพูดถึงนิพพานอะไรอีกแล้ว แต่มีความรู้สึกได้ถึงความหมายที่มหัศจรรย์ แต่สิ่งที่เราคุย เรากำลังพูดถึง สภาวะที่มันเป็นจิต เป็นอารมณ์ ที่จิตรับรู้เสพเสวย แต่ประเด็นที่อยากจะพูดตรงนี้
สำหรับพวกเราทุกคนที่บำเพ็ญเพียรภาวนา โปรดจำไว้เถอะครับว่า สิ่งหนึ่งพอไปถึงจุดๆหนึ่ง ที่มันเป็นสภาวะ ที่ถูกรู้โดยจิต ก็คือจิต ในจารีตของประเทศไทยเรา เวลามีครูบาอาจารย์ซึ่งสอนวิปัสสนา ท่านจะมีคำสอนที่ผมปฏิบัติมา แต่ตอนนั้น ก็ไม่ได้สงสัย มันเป็นคำพูดเหมือนกับคำสวดไปเสียแล้วว่า ยกจิตขึ้นสู่พระไตรลักษณ์เพื่อกำหนดรู้ นาม รูป นั่นคือวิปัสสนา เราไม่รู้จะอธิบายอย่างไร แต่ความหมายของมันละเอียดลึกลับ แต่สุดท้ายก็มาถึงจุดหนึ่ง ใช่ ! พอไปถึงจุดหนึ่ง ไม่มีอะไร มีแค่นาม รูป และนามรูปที่ว่านั้นก็อยู่ในใจ อยู่ในจิต ที่เราพูดถึงอยู่นี้