แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ผู้ถาม : อยากทราบว่า เครื่องมืออะไรคะที่จะนำพาให้เราเผชิญไป ... (เสียงไม่ชัดเจน)
อาจารย์ : ความจริงถ้าตอบเครื่องมือ ผมเข้าใจพวกเรามีอยู่แล้วโดยชื่อของความหมายนะ
ผู้ถาม : คือเราจำเป็นต้องไปศึกษาถึงทฤษฎี เราจำเป็นจะต้องหาอ่านหนังสือพระพุทธเจ้าก่อนรึเปล่า หรือว่าเราจำเป็นจะต้องไปเข้าใจในตัว.....
อาจารย์ : คือถ้าเรารู้อยู่แล้ว ก็อย่าไปรังเกียจสิ่งที่เป็นความรู้เชิงความคิดนั้น อย่าไปรังเกียจนะครับ อย่าไปบอกว่าทฤษฎีไม่จำเป็น ปริยัติไม่สำคัญ อย่าไปคิดอย่างนั้น
ผู้ถาม : เราจำเป็นต้องไปหาอ่านพระไตรปิฏก
อาจารย์ : แต่ถ้ายังไม่สนใจจะอ่านก็ไม่จำเป็นต้องไปอ่าน
ผู้ถาม : และในการที่เราจะฝึกจิตที่จะแบบให้รู้หรือว่าไปปฏิบัติธรรมอะไรอย่างนี้อ่ะค่ะ หรือว่าแบบ...
อาจารย์ : ถ้าเรามีความชอบและมีความศรัทธาในนั้นก็ควรจะทำ แต่ถ้าถามว่าถ้าไม่ไปปฏิบัติธรรมจะมีวิธีรู้อย่างอื่นไหม ก็มีครับ
ผมยกตัวอย่างอย่างนี้นะครับ ผมเจอน้องคนหนึ่งซึ่งเขาป่วย แล้วเขาถูกบีบคั้นด้วยอารมณ์กลัว ที่ความป่วยมันเป็นสัญญาณเปิดเผยให้เขารู้ว่าเขาต้องจบชีวิตภายในเวลาไม่นานหลังจากนี้ นึกถึงภาพนะครับ ว่าเมื่อน้องคนนี้เขาอยากพบผม ไม่รู้ใครบอกเขาหรือเขาอาจจะรู้มาจากไหนก็ไม่รู้ว่า มีคนชื่อคนหนึ่งชื่อประมวล เพ็งจันทร์ ที่เขียนหนังสือที่พูด เขาไปฟังจาก YouTube ก่อนที่เขาจะจบชีวิตขอพบคนๆ นี้ได้ไหม เมื่อผมได้ยินข่าวสารนี้ว่ามีคนต้องการพบผมในเงื่อนไขนี้ ผมในความรู้สึกของผม ผมอยากพบเขามาก ผมอยากพบเขามาก มันไม่ใช่เป็นความรู้สึกที่ว่าตัวเองดีเด่อะไรนะครับ แต่เป็นความรู้สึกมีคนๆ หนึ่งกระหายใคร่จะพบเราด้วยอารมณ์จิตใจแบบนี้
ผมจึงพบเขา เมื่อตอนที่พบเขา ผมไม่ได้ทำอะไรมากเลย ผมแค่กอดเขา กอดผู้หญิงคนหนึ่งที่ร่างกายซูบผอม เพราะถูกเบียดเบียนด้วยโรคภัยนะครับ ผมไม่ได้กล่าวถ้อยคำใดๆ แต่กล่าวเพียงบอก ผมรู้สึกดีเหลือเกินมีความสุขเหลือเกินที่เราได้พบกัน ความรู้สึกที่มัน ที่มันสื่อสารผ่าน ผมไม่ได้พูดอะไรเลยนะ จะให้เล่าต่อผมพูดอะไรบ้าง ผมก็ไม่รู้ รู้แต่เพียงแค่ว่า เพียงแค่ได้กอดได้สัมผัสเขาและส่งกระแสจิตของความรู้สึกอะไรบางอย่างไปสู่เขา และเขาก็รู้สึกดีกับการที่ได้พบผม เมื่อตอนที่เราจากลา ผมกอดเขาอีกครั้ง เขายังบอกให้ผมมาร่วมงานศพเขาด้วย ผมถามว่า ผมก็ถามตลกๆ รู้ว่าอารมณ์เขาดีแล้วนะครับว่า ทำไมอยากให้ผมไปล่ะ ผมไม่เคยไปไหนที่มีเจ้าภาพเชิญในแบบนี้มาก่อนเลยนะ นี่เป็นครั้งแรกที่ นึกถึงภาพนะเรามีแต่คนเชิญไปงานบวช งานแต่งงาน งานขึ้นบ้านใหม่ นี่เจ้าภาพเชิญให้ไปงานศพตัวเองนะ เขาพูดดีมาก เขาบอกเขามีเพื่อนเยอะในงานของเขาคงมีเพื่อนเขามา ในงานวันนั้นเพื่อนของเขาจะได้พบผมด้วย นี่เป็นกรณีคนที่ป่วย
แต่มันมีกรณีคนอีกกลุ่มหนึ่ง ผมเคยเข้าไปที่เรือนจำบางขวาง แล้วก็นักโทษที่ผมมีโอกาสพบ เป็นนักโทษที่ถูกตัดสินถึงศาลที่สุดแล้วว่าตัดสินตลอดชีวิต ผมไม่เคยคิดเลยว่าในการพบกับนักโทษครั้งนั้นจะมีผลอะไร ผ่านมานานผมคิดว่าเป็นปีๆ นะวันหนึ่งผมเปิดโทรทัศน์ช่องไทยพีบีเอส โดยที่ไม่ได้เจตนาว่าจะดูรายการอะไรเป็นการจำเพาะพิเศษ เปิดรายการของไทยพีบีเอส ไปดูปรากฏเป็นรายการที่กำลังสัมภาษณ์นักโทษที่เหมือนกับว่าเป็นวันอะไรพิเศษสักอย่างหนึ่งที่ทางกรมราชทัณฑ์เขามี แล้วก็ให้ผู้สื่อข่าวเข้าไปในเรือนจำไปทำสกู๊ปพิเศษอะไรได้ แล้วที่มหัศจรรย์มากภาพของนักโทษที่กล้องไม่ได้ให้เราเห็นหน้านะ เขาถ่ายภาพไปจากข้างหลังนักโทษให้เราไปเห็นหน้าคนที่เป็นพิธีกร แต่ไม่เห็นหน้านักโทษเห็นแต่เบื้องหลัง ผมจึงไม่รู้นักโทษคนนี้หน้าตาเป็นอย่างไร
แล้วเขาพูดประเด็นที่ทำให้ผมหยุดที่จะไม่เปลี่ยนช่อง แล้วดู เขาบอกตอนที่เขาเข้ามาสู่เรือนจำนักโทษที่แห่งนี้ เขารู้สึก ขอโทษ เขารู้สึกถึงกับขนาดที่ว่า ควรจบชีวิตไปเลยดีกว่า เพราะโทษเขาถึงกับ ถึงกับตลอดชีวิตใช่ไหมครับ แล้วเขาก็รับกับเงื่อนไขที่เขาเคยมีชีวิต เขาต้องโทษเป็นคดียาเสพติดครับ เขาเคยมีชีวิตอย่างหรูหราและวันหนึ่งก็ต้องอยู่ในที่คับแคบแบบนี้ แต่ต่อมาเขาบอกว่าเขาเปลี่ยนความรู้สึกนั้น ปัจจุบันนี้เขารู้สึกดี ดีกับการมีชีวิตอยู่แล้วรู้สึกว่าถ้าเขาไม่มาติดคุกที่นี่เขาก็อาจจะไม่มีความรู้สึกแบบนี้ได้ พิธีกรถามเขาว่าเกิดความรู้สึกนี้ได้ยังไง เขาบอกเขาไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้ยังไง แต่ทันทีที่เขาได้พบกับอาจารย์ เขาบอกเขาได้พบกับอาจารย์ประมวล และวันที่อาจารย์ประมวลกอดผม ผมเปลี่ยนไปเลยเขาว่าอย่างนั้น
ผมเนี้ย เป็นคนนั่งดูที่ชื่อประมวล แล้วมีคนในทีวีพูดถึงคนชื่อประมวล ผมก็รู้สึกดี ผมนึกได้ว่า อ๋อ นี่คือนักโทษคนหนึ่งที่ผมกอดเขา คือเขาฟังผมมาพูดก่อนเนอะ ผมเล่าเรื่องครูของผม ครูของผมคือท่านลาเซ รินโปเชเนี่ย ท่านลาเซพูดกับผมแล้วผมก็เล่าให้เขาฟังว่าเนี่ย ครูผมบอกผมว่า ชาตินี้ภพนี้ โชคดีไม่ยากเลยในการปฏิบัติธรรม เมื่อก่อนเวลาเกิดในภพอื่นชาติอื่น กว่าจะหาถ้ำกว่าจะหาที่สงัดวิเวกเจอ ชาตินี้มีคนจัดถ้ำให้เสร็จเลยคือเรือนจำคือคุกนะครับ แล้วเขามีอุปกรณ์ในการปฏิบัติธรรมอันแสนวิเศษคือการทรมานโดยผู้คุม ตอนที่ผมกอดนักโทษชายผู้นี้ ผมบอกเขาว่า ออกมาเสียจากคุก คุกที่อยู่ในใจ กรมราชทัณฑ์ไม่สามารถขังจิตใจเราได้ ออกมาจากคุกที่เราขังตัวเราเอง ความรู้สึกประมาณนี้นะ ผมเข้าใจว่าถ้อยคำมีน้อยมาก นักโทษผู้ชายคนนี้ก็คงไม่ได้ผ่านการเรียนรู้ปฏิบัติธรรม แต่คนๆ หนึ่งที่นั่งอยู่ในพื้นที่ๆ เรียกได้ว่าเรือนจำหรือทัณฑสถาน แล้วสามารถพูดกับสื่อได้ว่า เขารู้สึกดีกับชีวิตนี้ ถ้าพูดเป็นเล่นสำนวนหน่อยว่า โชคดีเหลือเกินที่มาติดคุกที่บางขวางประมาณนี้ แต่เขาไม่ได้พูดมากขนาดนั้น
แต่ความรู้สึกแบบนี้เป็นความรู้สึกที่ผมเอามาพูดสนทนากันในประเด็นที่ว่าด้วยการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมซึ่งบางครั้งบางคราวเราอาจจะไม่ได้มีรูปแบบ บางครั้งบางคราวเราอาจจะไม่ได้มีพิธีกรรมอะไร แต่จิตของเรานี่สามารถข้ามพ้นสภาวะซึ่งมันเป็นความมืดมัวไปสู่ความสว่าง
มันมีอีกเรื่องนึงนักโทษ เมื่อตะกี้นี่บางขวาง อีกเรื่องหนึ่งคือที่ทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ ตอนนี้ที่เชียงใหม่เขาจัดให้ผมดีมากเลยนะ เขาให้ผมนั่งคุยกับนักโทษหญิงที่ต้องคดีอุกฉกรรจ์เหมือนกัน ตลอดชีวิต เมื่อผมพูดไปจนจบเหมือนกับที่นี่นะ แล้วในเรือนจำต่อรองกันไม่ได้นะครับจบก็คือจบ เพราะว่าผู้คุมมายืนรอที่จะนำนักโทษกลับแดนอยู่แล้ว ผมถามนักโทษที่มานั่ง นั่งมองอยู่ ใครมีอะไรจะคุยเป็นถามเป็นคำถามสุดท้ายมีไหม
มีนักโทษผู้หญิงซึ่งนั่งอยู่ขวามือผมมีคนนั่งคั่นเพียงคนเดียว เขายกมือขึ้นแสดงสัญญาณให้รู้ว่าเขาต้องการจะพูด ผมพยักหน้าบอกเชิญเลยครับ เขาพูดเหมือนกับคิดประดิษฐ์ประโยคไว้เรียบร้อยแล้ว เขาพูดกับผมว่า อาจารย์คะถ้าวันนี้อาจารย์มีอำนาจอยากพบกับใครก็ได้บนโลกใบนี้ มนุษย์คนไหนก็ได้ อาจารย์อยากพบอาจารย์จะได้พบ อาจารย์อยากพบใคร และอาจารย์จะพูดอะไรกับคนๆ นั้น
พอเขาถามแค่นี้จบ ผมก็ไม่รอเวลาเหมือนกัน ผมบอกว่าผมมีอำนาจนั้น ผมอยากพบคุณ ผมอยากบอกคุณว่าไม่ว่าเราจะอยู่บนพื้นที่กว้างหรือที่แคบบนโลกใบนี้ ไม่ว่าเราจะอยู่ในที่สว่างหรือที่มืดบนโลกใบนี้ แต่จิตใจของเราไม่เคยคับแคบและไม่เคยมืดอับ เรามีความพร้อมที่จะรู้แจ้งตลอดเวลา ผมพูดได้ประมาณนี้นะครับ
เขาน้ำตาไหลออกมา น้ำตาเขาไหลเพราะผมจ้องหน้าเขาและสบตาเขา น้ำตาไหลผมเลยจึงหยุดพูดแล้วก็เสียมารยาทนิดหน่อย คุกเข่าคลานเข่าข้ามหน้าคนที่นั่งติดขวามือผมไปแล้วก็สวมกอดเขา เพราะเรานั่งกันอยู่ ขณะที่เขากอดผมไว้ คือผมโอบกอดเขา เขาโอบผม เขาซบหน้าไว้ที่ข้างนี่ เขาร้องไห้ ตัวเขาสั่นแล้วเขาก็กล่าว ตอนนี้ผมไม่ได้พูดนะ เขาเป็นคนพูดที่นี่ ตอนที่บางขวางผมเป็นคนพูด
เขาพูดบอกว่า หนูจำคำพูดนี้ไว้นานแล้ว แต่ไม่เคยคิดเลยว่าคำพูดนี้จะมีความหมาย จนวันนี้ แล้วเขาบอกว่า ศรัทธาคือ คือความเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น รางวัลของศรัทธาคือได้เห็นในสิ่งที่เชื่อ พอเขาพูดปุ๊บ ผมรู้เลยว่าเขาเป็นคริสต์ศาสนิกชนเพราะคำพูดนี้อยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิล ผมจำไว้ได้เหมือนกัน ผมบอกว่าใช่ นี้คือพระวจนะ นี้คือพระวรสารอันประเสริฐ โปรดเก็บไว้ตลอดไป อย่าให้หล่นหายไป ผมเข้าใจว่าน้องคนนี้เป็นคริสต์ศาสนิกชน เขาอาจจะไม่เข้าใจเรื่องการปฏิบัติธรรมของพวกเราด้วยซ้ำไป แต่ด้วยความรู้สึกหรือจิตที่หยั่งถึงความหมาย แม้กระทั่งปัจจุบันนะครับ พอเอ่ยถึงน้องคนนี้ผมยังมีความรู้สึกเลยว่าถ้อยคำที่เขานำมากล่าวกับผมเนี่ยผมขออ้างอิงใช้ได้ด้วย
ใช่ ศรัทธาคือความเชื่อมั่นในสิ่งที่เราอาจจะมองไม่เห็น คิดไม่ออกดอก แต่วันหนึ่งเราจะได้เห็นสิ่งที่เราพูดถึง ที่เรียกว่าศรัทธานี้ปรากฏขึ้นมา และความหมายแบบที่ว่านี้นะครับ มันเหมือนกับเราบอกว่า ศรัทธาคือความเชื่อมั่นในจิตที่รู้แจ้งนะครับ และรางวัลของศรัทธาวันหนึ่งจิตของเราจะรู้แจ้งครับ และความหมายนี้ก็คือความหมายที่ผมอยากจะบอกว่า นี้เป็นวิถีอันหนึ่งที่ผมสามารถที่จะกล่าวยืนยันได้ว่า แม้นบางคนอาจจะไม่เคยได้มีความรู้ในเชิงทฤษฎี อาจจะไม่ได้จำถ้อยคำอันเป็นคำธรรมบัญญัติ แต่เขาเหล่านั้นก็สามารถที่จะมีความรู้แจ้งบางอย่าง และความรู้แจ้งบางอย่างนั้นน่ะคือความหมายที่เราพูดถึงการเข้าถึงธรรมครับ