แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
รู้สึก รู้สึกขอบคุณอาจารย์มากๆ เพราะว่าเมื่อก่อนเคยสงสัยว่าถ้าเรามีเป้าหมายไปในทางธรรมแล้ว เราจะแต่งงานได้เหรอ แต่เมื่อกี้อาจารย์ใช้คำนี้ชัดเจนมาก ว่าความหมายของการครองคู่ หากเราทำเช่นที่อาจารย์สอน มันก็คือการปฏิบัติธรรมเช่นกัน มันก็เลยทำให้รู้สึก รู้สึกตรงตัว ที่นี้สิ่งที่หนูสงสัย คือหนูได้ยินมานานมากแล้ว แต่ว่าไม่เคยย้อนกลับมาดู คือหนูเคยได้ยินว่า เขาบอกคู่สมรสแปลว่ามีรสนิยมที่สมกันใน 4 อย่าง คือ ศรัทธา ศีล จาคะ และก็ปัญญา แล้วเมื่อก่อนหนูก็ไม่ได้สนใจอะไรอันนี้มากนักว่ามันสำคัญนะ แต่ว่าหนูมามองย้อนคู่ของหนูเอง ในวันที่เราเริ่มต้นนะคะ เรามีความที่ไม่ค่อยเข้าใจกันอยู่เยอะมาก แล้วบางทีก็ทำให้เราเหมือนไม่เข้าใจกัน หรือบางทีก็โต้งเถียงกัน ทีนี้เราก็มาสังเกตว่าแต่พอวันเวลาผ่านไปจนมาถึงช่วงหลังๆ จนกระทั่งถึงวันนี้ กลายเป็นว่าสิ่งเหล่านั้นมันลดลง ก็เลยย้อนกลับมามองว่าในวันนั้น ที่วันเริ่มต้น พอเรากลับไปเช็คดูมันก็จริงว่าหนูจาคะน้อย ก็ไม่ค่อยให้อภัยหรือว่าศรัทธาของเราไม่ตรงกัน บางทีเขาชวนไปนู่นไปนี่ แต่เราไม่ศรัทธาเหมือนเขา มันก็ทำให้เรารู้สึก ว่ามันก็ไม่พอดีกัน แต่ว่าพอมาถึงวันนี้ หนูก็ไม่กล้าใช้คำว่าพอดีกันแล้ว หรือเสมอกันแล้ว แต่หนูรู้ว่าความขัดแย้งเหล่านั้นมันลดลง แล้วก็เรามีความสุขง่ายขึ้น เรามีชีวิตที่ง่ายขึ้น จนหนูรู้สึกว่าศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญา พอกลับมาเช็คใหม่ หลายๆอย่างมันเริ่มใกล้เคียงกัน เช่นที่เจ้าบ่าวมีศรัทธาเช่นนี้ จริงๆแล้วเพราะอาจารย์ประมวล ส่งมอบศรัทธานี้ให้เขา จึงทำให้หนูมั่นใจที่จะแต่งงาน เพราะว่าถ้าเขามีศรัทธาเป็นโรลโมเดลเช่นอาจารย์ หนูก็รู้สึกว่าหน้าที่ของหนูเพียงแค่ดูแลตัวเอง อย่าให้วัชพืชมันเกิด ที่นี้หนูอยากเรียนถามอาจารย์ว่า เราจะ วันนี้และหนูคิดว่าอีกหลายๆคู่ชีวิตด้วย วันที่เขาแต่งงานกัน เขามีตรงนั้นที่มันใกล้เคียงกัน มีศรัทธา ศีล จาคะ หรือปัญญาที่อย่างน้อยเอออ่อห่อหมกไปด้วยกัน แต่หนูสังเกตว่าพอแต่งงานแล้ว พอนานๆไปเรื่อยๆ ตรงเหล่านี้ มันคงค่อยๆไม่เท่ากัน แล้วมันก็เลยกลับมาขัดแย้งกันใหม่ เราจะดูแลกันและกันยังไง ที่ไม่บังคับกันด้วย แต่ให้ศรัทธา ศีล และจาคะ ปัญญา ของเรามันค่อยๆงอกงามไปพอดีกันได้ จนไปถึงสู่เป้าหมายทางธรรมของเราค่ะ
จาคะ ปัญญาเนี้ยครับ ผมพูดแต่เรื่องศรัทธาแต่ความจริงแม้กระทั่งศีลนะครับ ขอเราอย่าเก็บประเด็นศีลคือสิกขาบทนะครับ เพราะถ้าเราติดประเด็นว่าศีลคือสิกขาบทที่เราสมาทาน เราก็จะไปติดประเด็นเรื่องศีล 5 ศีล 8 ศีลอุโบสถ อะไรก็ว่าไปนะครับ แต่ความหมายที่จะทำให้เกิดความหมาย ณ ตรงนี้ ขณะนี้ก็คือคำว่าศีลเนี้ย คือสภาวะที่มันเป็นปกติ ทำให้เราอยู่คู่กันอย่างสงบเย็นเป็นสุข เราต้องสร้างความเป็นปกติตรงนี้ให้ได้นะครับ เพราะฉะนั้นเวลาเราพูดถึงว่าให้มีศีลเสมอกันนะครับ ก็คือว่าให้เรามีกติกาในการใช้ชีวิตคู่ ซึ่งมีศีลของชีวิตคู่เนี้ยนะครับ แน่นอนเวลาที่เราไปอ้างอิงถึง 19 บท 5 ข้อ ข้อ 3 อาจจะข้อหนึ่งที่สำคัญที่เกี่ยวกับชีวิตคู่ ที่นี้ทุกข้อสำคัญหมด แต่ประเด็นที่เราพูดกำลังพูดถึงก็คือ สิ่งที่มันเป็นศีล ก็คือสภาวะที่ทำให้เราอยู่เกิดความอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกันนะครับ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ร่วมกันได้ ที่นี้ศีลตรงนี้นะครับ เราสามารถสมาทานให้เป็นสิกขาบทมากกว่า 5 ข้อหรือเท่าไหร่ก็ได้นะครับ เหมือนเมื่อตะกี้ที่ผมพูดถึงว่าจะไม่ปล่อยให้ความรู้สึกตำหนิติโทษ เกิดขึ้นในใจ นี่ก็คือการสมานทานสิกขาบท แต่จริงๆผมแค่ยกตัวอย่าง ในวันนี้พวกเรา ทั้งสองสามารถที่จะมีสิกขาบทอะไรที่มันเกิดขึ้นในใจของเรา และสมานทานให้มั่นคงได้นะครับ เพราะเหตุเพราะสิ่งที่มันเป็นความหมายเมื่อเรามีศรัทธาคือความรู้สึกเชื่อมั่น มั่นคงแล้ว แต่เราก็ต้องเข้าใจว่านะครับว่าความมั่นคงที่เราพูดถึงเนี้ยเป็นเพียงแค่เบื้องต้น มันยังมีสถานการณ์ มันยังมีสิ่งต่างๆในที่ในชีวิตของเรา ที่เราไม่รู้ เข้ามาเยอะแยะมากมายเลยแต่ขอให้เชื่อมั่น นี่คือศรัทธาและที่สำคัญต้องกลับไปสู่ประเด็นที่เรามีความปกติเย็น ที่เราสัมผัสรู้ร่วมกันได้ ให้ได้ และก็สร้างสิกขาบทใหม่ๆ ขึ้นมามากมายให้ได้ เพราะสุดท้ายสิ่งที่เป็นความหมายของศีลคือสภาวะของใจของเรา ใจของเรานะครับ เมื่อตะกี้ที่ผมบอกว่า ถ้ามีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นล่ะไปตั้งคำถามว่าเป็นข้อสงสัยเป็นข้ออะไรก็แล้วแต่เนี้ยนะครับ นั่นก็คือความหมายของเรากำลังทำให้เกิดความหมายที่มันเกิดสภาวะที่ไม่เป็นปกตินัก เพราะฉะนั้นสิ่งที่มันเป็นข้อที่ผมอยากจะพูดในความหมายของสิ่งที่เรียกว่าศีล ให้จำไว้นะครับ ศีลที่แปลว่าสงบเย็นเป็นปกตินะครับ เราเมื่อมามีชีวิตคู่เราต้องกำหนดหมายตรงนี้ได้ว่า สิ่งที่มันเป็นความสงบเย็นเป็นปกติร่วมกันของเรามันมีอะไรบ้าง ที่เราต้องตั้งให้เป็นสิกขาบทเรียนรู้ที่เป็นปกติเย็นร่วมกัน คือในชีวิตคู่มันเป็นไปไม่ได้เลยนะครับที่สิ่งหนึ่งดีสำหรับอีกคนหนึ่ง แต่ไม่ดีสำหรับอีกคนหนึ่ง มันเลยกลายเป็นว่ามันไม่ดีร่วมกันใช่ไหมครับ ต้องมีสิ่งที่มีความดีร่วมกัน มีความหมายของคุณค่าร่วมกัน มีรสนิยมสมกันอะไรก็ว่าไปนะครับ เพราะงั้นตรงนี้มันจะต้องเป็นส่วนหนึ่ง แต่ที่สำคัญเมื่อตะกี้พูดถึงข้อที่สามคือจาคะ จาคะคือใจของเรา จิตของเราเนี้ยนะครับ ที่ผมพูดไปแล้วก็คือเราต้องมีจิตที่มีความเบิกบาน มีความสุขเป็นล้นพ้นที่ได้เสียสละที่ได้ให้ ไม่ใช่มีความสุขจากการได้นะครับ อย่างนั้นไม่มีจาคะอยู่เลยในชีวิตคู่เลย เพราะงั้นสิ่งเหล่านี้ในความหมายที่ว่า จริงๆมันมีหมวดธรรมอยู่หมวดหนึ่งที่เรียกฆราวาสธรรมนะครับ ที่มันต้องมี ทมะ ใน ทมะนี้สำคัญมากๆเลยนะครับ จริงๆคำว่า ทมะ ถ้าเราจะใช้ศัพท์ทับศัพท์เป็นภาษาสันสกฤตก็ใช้คำว่า ทรมาน ภาษาบาลีเรียกว่าทมะ ภาษาสันสกฤตให้อารมณ์ว่าทรมานคือทำให้ ทรมานในความรู้สึกของเรามันลำบากใช่ไหมครับ มันลำบาก แต่ความจริงคำว่าทรมานหรือทมะ คือเราสามารถก้าวผ่านความยากลำบากนั้นไปได้ แล้วเรามีความรู้สึกดีเป็นล้นพ้นที่ได้ผ่านความยากลำบากนั้นมาได้ คำว่าทมะ คือการฝึกฝน เพราะฉะนั้นการฝึกฝนที่ดีนะครับ มันเป็นการฝึกฝน มันเหมือนกับการตีเหล็กใช่ไหม ที่จะต้องเผาไฟให้มันร้อนนะครับ ถ้ามันไม่ร้อนก็ไม่สามารถตีให้มันได้รูปทรงตามที่ต้องการได้ ในขณะเดียวกันชีวิตคู่ที่เราพูดถึงรูปแบบที่เหมาะสม ต้องผ่านการเรียนรู้ที่เรียกว่า ทมะ ที่ผมพูดมาทั้งหมดไม่ได้เอ่ยชื่อธรรม เป็นศัพท์เป็นคำศัพท์ธรรมะ แต่ความหมายก็คือเราต้องมีส่วนนี้อยู่ในใจด้วย เพราะฉะนั้นสิ่งที่มันเป็นโครงสร้างที่สัมพันธ์กันระหว่างศรัทธา จาคะ ศีล จาคะพวกนี้นะครับ เป็นสิ่งที่เราต้องทำความเข้าใจให้ได้นะครับ ที่สำคัญมากๆชีวิตคู่เป็นชีวิตที่ยากเมื่อเราเริ่มต้นใหม่ๆ มันหนักมากด้วยนะครับสำหรับคนที่ไม่เข้มแข็งพอ เพราะอย่างนั้นต้องทำความรู้สึกให้ได้ว่าเรามีความจริงจังตั้งใจ ที่จะแบกรับภาระอันหนักนี้ ที่จะก้าวผ่านสถานการณ์ที่บีบคั้นนี้ให้ได้ และต้องมีความเชื่อมั่นว่าเราจะผ่านได้ ว่าถ้าเมื่อแต่ที่เราเกิดซวนเซ แล้วมีความรู้สึกว่าฉันไม่ไหวแล้ว ฉันทำไม่ได้ ฉันทนไม่ได้แล้ว แวบนั้นล่ะครับคือความหมายของการที่เราสูญเสียอะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่มากๆ อย่าปล่อยให้ความรู้สึกชั่ววูบชั่วขณะที่เป็นเชิงคำถามอยู่ในใจเรานานเกิดไปนะครับ ให้กลับมาสู่ประเด็นที่เราจะต้องมี ทมะ หรือมีกระบวนการฝึกฝนเรียนรู้นี้อยู่ตลอดเวลา และที่สำคัญที่สุดบทเรียน หรือความรู้อันสิ่งใหญ่จะไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้จากสถานการณ์ง่ายๆ มันก็จะมีสถานการณ์ยากอยู่ทั้งนั้น แต่ทุกครั้งที่มีเรื่องราวที่ยากๆขอให้นึกถึงความหมายที่เราพูดถึงศรัทธาว่าเราเกิดมาเพื่อเรียนรู้