แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
คำถาม : อยากให้อาจารย์ช่วยพูดก่อนที่จะไปเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวค่ะ ความสัมพันธ์ของชีวิตคู่ที่ยังดีอยู่หรือลดถอยลง หรือว่าค่อนที่จะบอกว่าหย่าร้างแล้วค่ะ เพราะว่าเพื่อนหลายคนเนี่ยก็เลิกกัน แล้วก็หย่าร้างกันแล้วก็ไม่น่าเชื่อว่าแบบว่าเป็นครอบครัวที่อยู่ติดกันเป็นแฮมเบอร์เกอร์เป็นอยู่กับลูกตลอดเวลา แต่วันหนึ่งพอขึ้นมอแล้วเลิกกันคือเราแบบช็อกมากเราไม่เชื่อว่าไปถึงจุดนั้นได้ยังไงเนี่ยค่ะ
อาจารย์ประมวล : คือผมเข้าใจว่ามันมีสิ่งหนึ่งซึ่งไม่แน่ใจว่าผมจะพูดแล้วจะตรงกับความรู้สึกของท่านยังไงหรือเปล่านะครับ ผมเข้าใจว่ามันมีสิ่งหนึ่งในความหมายของผมนะครับ เราเริ่มต้นการที่จะมีคู่ชีวิตที่มีจุดผิดพลาดในความหมายของผมนะ ข้อผิดพลาดก็คือมีความหมายที่เราแสวงหาคู่ชีวิต ซึ่งมันมีลักษณะคล้ายๆ เหมือนกับเราแสวงหาเครื่องมือเครื่องใช้ในชีวิตเนี่ย คือมีคนคนหนึ่งมาเป็นมาเป็นของใช้อะ
ทีนี้คำว่า ของใช้ ก็คือหมายความว่าเขามาสนองตอบความอยากความต้องการของเรานะครับ และความรู้สึกว่ามันเป็นของใช้เนี่ยมันเป็นธรรมชาติของการมีของใช้ ถ้ามันใช้ไม่ได้ผลหรือใช้ไม่ได้ซ้ำเราก็ทิ้ง นึกถึงภาพเรามีโทรศัพท์เครื่องหนึ่งและเรามาใช้เพื่อการสื่อสาร ทำเล่นไลน์ ส่งเฟสบุ๊ค และมันสุดท้ายมันทำหน้าที่ไม่ดีก็ซื้อใหม่ แต่กรณีโทรศัพท์มันไม่โอดโอยนะครับ มันไม่โอดโอยเพราะว่าเรามีตังค์ซื้อยี่ห้อใหม่ แต่ผมเข้าใจว่า สิ่งที่มันเป็นความหมายที่สำคัญ ในการเริ่มต้นคู่ชีวิตไม่ใช่การมองคู่ชีวิตในฐานะที่เป็นอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ แต่ต้องมองในความหมายที่มากไปกว่านั้น มากไปกว่านั้นก็คือหมายความว่าจริงๆ แล้วเนี่ยครับเขาคืออะไรสักอย่างหนึ่งซึ่งมันยิ่งกว่าไม่ใช่ของใช้ ผมจึงบอกว่าจริงๆ ในชีวิตมันต้องเริ่มต้นจากจิตที่ปรารถนาให้ถูกซะก่อน
ปกติทั่วไปคนจะมีจิตปรารถนาอยากจะพบคู่ชีวิตที่ดี อยากมีคู่ชีวิตที่ดี ความอยากมีคู่ชีวิตที่ดีเราจึงสอดส่องสายตาหาใครสักคนหนึ่งที่เรารู้สึกว่าดี สนองต่อความต้องการของเราได้แล้วเราก็ร่วมมีคู่ชีวิตมีชีวิตคู่ แต่พอไปสักพักนึงเราจะรู้ว่าเขารู้สึกไม่เหมือนกับที่เราปรารถนาเลย เขามีความดีก็จริงแต่ก็ไม่มากพอ ตอนที่มองไปไกลไม่เห็น แต่พอมาอยู่ใกล้เห็นเต็มไปหมดเลยว่ามันไม่ดีพอ แล้วความรู้สึกแบบเนี้ยมันจะนำมาซึ่งความผิดหวัง ผมจึงบอกว่าถ้าเป็นไปได้ต้องตั้งจิตใหม่ว่า
เราไม่ได้มีจิตปรารถนาที่จะมีคู่ชีวิตที่ดี แต่เรามีจิตปรารถนาจะเป็นคู่ชีวิตที่ดี
ความปรารถนาที่จะเป็นคู่ชีวิตที่ดีคือเรานี่แหละจะใช้การมีชีวิตคู่เพื่อบ่มเพาะให้เราได้เป็นคู่ชีวิตที่ดี เพราะฉะนั้นความหมายแบบนี้ในสายตาของคนทั่วไปอาจจะบอกว่าผมเนี่ยเชย แต่ผมบอกว่าผมชอบคุยกับคนหนุ่มสาว และเวลาเขาเผลอถามอะไรกับผมเขาจะตกหลุมผมทันที เช่น พูดไปว่าเขาบอกผมอยากมีชีวิตคู่แบบอาจารย์จังเลย ผมบอกง่ายมาก ง่ายมากๆ ง่ายมากๆเลย นะครับ ถ้าคุณอยากจะมีชีวิตคู่แบบผมเนี่ย เริ่มต้นที่ตัวคุณ นั่นคือคุณจะต้องเปลี่ยนความรู้สึก ที่เคยรู้สึกอยากจะมีคู่ชีวิตที่ดีกลายมาเป็นความรู้สึกที่อยากเป็นคู่ชีวิตที่ดี จุดเริ่มต้นไม่ได้อยู่ที่เขาแต่อยู่ที่เรา
เราต้องการจะเป็นคู่ชีวิตที่ดี ความต้องการจะเป็นคู่ชีวิตที่ดีทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเนี่ยถ้ามันไม่เป็นไปอย่างนั้นมันจึงอยู่ที่เราไม่ใช่อยู่ที่เขา นั่นแสดงว่าเรายังเป็นคู่ชีวิตที่ไม่ดีพอ และความรู้สึกแบบเนี้ยทุกครั้งที่เกิดความหมายแบบที่ว่านี้เราจะไม่ตำหนิติโทษคนอื่น แต่เราจะกลับมามองย้อนกลับมาสู่ตัวเราเองว่าเราขาดอะไรไปบ้าง เราพร่องอะไรไปบ้าง แล้วความรู้สึกแบบนี้เมื่ออยู่ไป อยู่ไป อยู่ไป อยู่ไปเราก็จะยิ่งเพิ่มพูนความหมายที่มันเป็นความหมายของเรานะครับ
เพราะฉะนั้นในความหมายแบบนี้ มันเป็นความหมายที่ผมเข้าใจว่าในปัจจุบันนะครับ ในปัจจุบันมันมีสภาวะของทุกคนต่างแสวงหาที่จะมีคู่ชีวิตนะครับ ในความหมายที่เขาเป็นคนดีอะ มันเหมือนกับเวลาเราพูดถึงความรักว่า เราปรารถนาคนที่จะมารักเราอะ ผมเข้าใจว่าจริงๆ
หน้าที่เราคือเราจะต้องเป็นคนรักที่ดีของเขา เราต้องมีความรัก มีความรัก มีความรัก เราไม่สามารถจะบอกได้ว่าเขามีหรือไม่มี แต่เราต้องบอกให้ได้ว่าเรามีความรักเขามากพอแล้วหรือยัง
ถ้าวันหนึ่งเกิดมีปัญหาใดๆ ขึ้นมาแล้วรู้สึกมันแย่มากเลย เกิดความรู้สึกตำหนิเขาเนี่ยให้จำไว้เถอะครับว่า ความรู้สึกตำหนิเขานั้นแสดงว่าเรายังมีความรักที่ไม่มากพอ ถ้าเรามีความรักที่มากพอเราจะข้ามพ้นความรู้สึกตำหนินั้นไปได้ ทีนี้ประเด็นเหล่านี้เป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อน และผมเข้าใจว่ามันเป็นประเด็นที่ต้องกลับมาสู่ความหมายของเราแต่ละคน ที่จะต้องทำความรู้สึกนี้ ทีนี้ความรู้สึกนี้มันทำ..ทำยากเพราะเราไม่มีฐานไม่มีพื้นที่ที่จะทำให้เกิดความรู้สึกนี้
ผมจึงบอกว่าความรู้สึกเนี่ย เวลาผมพูดกับคนบางคนที่บอกว่าถ้าอยากมีแบบผม รู้สึกเหมือนผมสิ ก็เขาก็ถามต่อ แล้วรู้สึกยังไง ผมก็บอกผมรู้สึกโดยที่ไม่มีความคิดอื่นมาแทรกแซงเลย ผมเกิดมาชาตินี้เพื่อจะรับใช้ภรรยาผม เป็นความรู้สึก เป็นความรู้สึกที่ไม่มีอะไรมาแทรกแซงเลย และด้วยความสัตย์จริงนะครับ ด้วยความสัตย์จริง
ผมเป็นคนโบราณยุคไอ้ 0.4 เนี่ยนะครับคือมีความเชื่อมีความรู้สึกแบบนี้จริงๆ ไม่ใช่แกล้งพูดน่ะ ไม่ใช่แกล้งพูด มีความรู้สึกอย่างนี้จริงๆ ว่าผมมีจิตปรารถนาที่จะรับใช้ผู้หญิงคนนี้มาหลายภพหลายชาติแล้ว ชาตินี้ประสบความสำเร็จแล้ว เธอให้โอกาสผมแล้วที่จะได้รับใช้เธอ ความรู้สึกแบบนี้ต่างหากเล่าที่ทำให้ผมไม่รู้สึกเป็นปัญหาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่นั่นถือเป็นโอกาสที่ผมจะได้ทำกิจอันเป็นหน้าที่ของผมให้ดีที่สุด และผมเข้าใจว่าความรู้สึกแบบเนี่ยถ้าเราบ่มเพาะให้เกิดขึ้นในใจของเราได้นะครับ เราจะไม่รู้สึกว่าสิ่งที่มันเป็นภาระอยู่เนี่ยครับ นึกถึงภาพนะครับเวลาเรามีความรัก ผมนึกถึงภาพที่ผมมีความรักแม่เนี่ยสมมุติตัวอย่างเนาะ ไม่ว่าแม่จะทำยังไงกับผม ผมก็ไม่เคยโกรธแม่ ผมไม่เคย จำได้ว่าตั้งแต่ชีวิตมีชีวิตมา ไม่ว่าแม่จะปฏิบัติยังไงกับผม ผมก็ไม่เคยโกรธแม่
แม้กระทั่งบางครั้งน้าสาวผมซึ่งเป็นคนเลี้ยงดูผมมา จะไปตำหนิแม่ผมอยู่เรื่อย ผมก็ปกป้องแทนแม่ผมน่ะ คือน้าผมเนี่ยจะรักผมมากเพราะเป็นน้าที่ไม่แต่งงานเนาะ แล้วเอาหลานไปเลี้ยงก็จะรักหลาน เพราะงั้นเวลาแม่ผมไปทำอะไร ใช้สิทธิ์ในความเป็นแม่กับผมสิ น้าก็จะออกมาขวางและปกป้องเนี่ยนะครับ แต่ความรู้สึกผมคือแม่มีความจำเป็น แม่มีเหตุอันต้องปฏิบัติเช่นนี้แหละ อะไรประมาณนี้ครับ ทีนี้ความรู้สึกแบบนี้ผมไม่ทราบว่ามันมาจากไหน แต่เป็นความรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆนะครับ เป็นความรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ว่าไม่ว่าแม่จะปฏิบัติเช่นไรผมจะไม่เคยรู้สึกโกรธ บางครั้งรู้สึกตั้งคำถามบ้างว่าทำไมแม่ทำกับเราอย่างนี้ แต่ความรู้สึกที่จะกลายเป็นความโกรธไม่มีและความรู้สึกแบบเนี่ยผมเข้าใจว่าสิ่งหนึ่งที่ผมจะต้องทำให้ได้นะครับนอกจากแม่ และน้าสาวแล้วน่าจะต้องมีผู้หญิงอีกคนนึงเป็นคนที่ 3 ก็คือภรรยาผม
ผมจึงตั้งจิตปรารถนาเลยว่า ผมจะต้องไม่ปล่อยให้ความรู้สึกตำหนิติโทษภรรยาเกิดขึ้นในใจผม เมื่อใดมันผุดปรากฏขึ้น ผมจะรู้ทันทีว่านั้นเป็นความผิดของผม และความรู้สึกว่าเป็นความผิดมันทำให้เรารีบ..รีบสลาย รีบทำความหมายนั้นไม่ให้มันกลายมาเป็นเรื่อง เรื่องที่ไม่ใช่เป็นความรู้สึกตำหนิติโทษ แต่ทีนี้ความรู้สึกแบบนี้ถ้าเราอบรมบ่มเพาะกันให้มากพอ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่มันจะเป็นความหมายที่ดีในใจเรานะครับ ผมเชื่อว่ามันจะเป็นความหมายที่ดีในใจของลูกเราด้วย นึกถึงภาพสิครับ คนที่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวเนี่ยสุดท้ายแล้วสิ่งที่มันเป็นความหมายที่สำคัญ พวกเราเคยสังเกตไหมครับว่าเราเห็นเยาวชนสักคนหนึ่ง ซึ่งเขาเป็นคนกตัญญูรู้คุณนะครับทำสิ่งที่ทำยากๆ ได้ จนกระทั่งเรารู้สึกซาบซึ้งอะ ทั้งที่เกิดมาในครอบครัวซึ่งขอโทษนะครับขาดแคลนน่ะ
แต่ถ้าเราสืบให้ลึกไปกว่านั้น อย่ามองเพียงแค่ใจดวงหนึ่งคือเยาวชนคนนั้น ให้มองกลับไปสู่ใจอีกดวงคือแม่ด้วย เราจะพบความมหัศจรรย์ซ้อนขึ้นมาอีกว่าแม่คนนี้เลี้ยงดูลูกมา ในความหมายนี้ เลี้ยงดูลูกมาในความรู้สึกตระหนักรับผิดชอบ ไม่โทษเทใครนะครับ ทุ่มเททำเพื่อลูก และการทุ่มเททำเพื่อลูก กลายมาเป็นโอกาสให้ลูกได้ซึมซับรับเอาความดีในใจของแม่ เป็นความดีของเขาเอง ต่างจากบางคนบอกว่าก็เกิดมาในครอบครัวพ่อแม่เลี้ยงดูอย่างดี ทำไมยังไม่เป็นคนดีอย่างนี้นะครับ
คำว่าเลี้ยงดูอย่างดีบางทีกลายมาเป็นปิดกั้นโอกาสของการได้สัมผัสรู้ความหนัก ความยากของแม่ และสุดท้ายกลายมาเป็นโหยหานะครับว่าแม่ แม่ไม่ให้บางสิ่งบางอย่าง ทีนี้ความรู้สึกแบบนี้ผมเข้าใจว่าเป็นเรื่องของจิตใจล้วนๆ เลย วัตถุเป็นเพียงแค่ภาชนะรองรับเท่านั้นเอง ความหมายที่สำคัญอยู่ที่ใจ ทีนี้ตรงนี้ล่ะครับคนที่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว หรือคนที่กำลังอยู่ในช่วงวัยของการที่จะมีคู่เนี่ยครับตั้งจิตตรงนี้ไว้ให้ดี ตั้งจิตตรงนี้ไว้ให้ดีนะครับ แน่นอนวันนี้ทุกคนที่มานั่งที่นี้ก็มีคู่หมดแล้ว เพราะว่าเป็นคุณแม่แล้วเนี่ยครับ แต่ถ้ามีเพื่อนฝูงหรือมีใครซึ่งเป็นผู้ยังอยู่ในช่วงวัย โปรดกลับมาสู่การตั้งจิตตรงนี้ให้ดีและจิตดวงที่ตั้งไว้ดีเนี่ยครับ
มีคนถามผมว่าถ้าทำอย่างงั้นมันก็รับใช้ไปทั้งชีวิตสิ ผมบอกคุณอย่ามองข้ามกฎธรรมชาติสิจะมีมนุษย์หน้าไหนที่มันจะรับอยู่ฝ่ายเดียวได้ ไม่มีครับ..ไม่มี ถ้าเราไปอยู่กับเพื่อนคนไหนที่เขาให้เรา เราก็อยากให้เขา นึกถึงภาพที่เรามีที่ทำงานแล้วเพื่อนคนนึงมันซื้อของมาฝากเราทุกวันน่ะ มันมีเหรอครับที่เราไม่อยากฝากเขาบ้างเนี่ย แต่ถ้าเพื่อนคนไหนมันรับแต่ของฝากอยู่ร่ำไป เรารู้สึกไม่อยากฝากเพื่อนคนนี้แล้ว ความรู้สึกว่าอยากฝากหรือไม่อยากฝากเพื่อนคนใดคนหนึ่งมันมาจากพฤติกรรมของเขาด้วยนะครับ คนไหนที่เป็นคนเห็นแก่ตัวเราก็รู้สึกว่าพอแล้วให้กับคนนี้มากแล้ว แต่คนที่เขาเป็นคนเสียสละเรามีความรู้สึกอยากให้ อยากให้ อยากให้
ความรู้สึกอยากให้ มันเป็นความรู้สึกอะไรบางอย่างที่มันเป็นปฏิสัมพันธ์นะครับ ให้จำไว้เถอะครับ เวลามีความหมายเชิงความสัมพันธ์มันเป็นปฏิสัมพันธ์ ความหมายมันไม่ได้อยู่ทางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงฝ่ายเดียว ถ้ามีสามีสักคนหนึ่งจะตั้งจิตจะรับใช้ภรรยาก็โปรดเชื่อด้วยนะครับ โดยที่ไม่ใช่เอาสามีคิดนะครับ ภรรยาก็จะเกิดจิตอยากรับใช้สามีขึ้นมาทันทีโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวเหมือนกัน มันเป็นไปได้ยังไงครับที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะอยู่ในสถานะที่ถูกสามีรับใช้ แล้วเขาจะไม่อยากรับใช้สามีเขาไม่อยากให้สามี ไม่มีครับ
จิตของมนุษย์เรานี่มันแปลกนะครับ ถ้าใครให้กับเรา เราอยากให้ ถ้าใครเอาจากเราเราก็จะหวงแหน
ผมจึงบอกว่าจิตมนุษย์เนี่ยมันอยู่ในพื้นที่ครับ ถ้าเราทำจิตมนุษย์ให้ไปอยู่ในพื้นที่ ซึ่งเป็นพื้นที่ เช่น ตลาดอย่างนี้นะ ตลาดเป็นพื้นที่ของการเอาจากกันและกัน เราที่เป็นลูกค้าไปซื้อของที่ตลาดเราก็กลัวว่าแม่ค้าจะขายของแพง เราก็เลยต้องต่อราคาเยอะๆ ไว้ ไม่เชื่อว่าแม่ค้าบอกราคาที่เป็นจริง ไม่เชื่อว่าแม่ค้าจะบอกราคาที่ถูกต้อง แม่ค้าต้องบอกราคาแพงเราจึงต่อ แม่ค้าก็คิดแบบเราเหมือนกันนะ ไอ้ลูกค้าที่มาซื้อของนี่มันเขี้ยวต้องบอกแพงๆ ไว้ บอกแพงๆ ไว้ถ้าอยากขาย 10 ก็บอก 15 หรือ 20 ไว้เผื่อมันต่อ ใช่ไหม เผื่อมันต่อ ไอ้ความรู้สึกแบบนี้เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากอะไรครับ จากความรู้สึกกลัวเกรงนะครับ เพราะเราอยู่กับคนที่เขาอยากได้จากเรา และความรู้สึกที่จะอยู่กับคนที่อยากได้จากเราจึงต้องระวังตัว มิเช่นนั้นเราจะกลายมาเป็นเสีย แล้วความรู้สึกกลัวจะเสียเนี่ยครับ มันเลยกลายเป็นพื้นที่ของความสูญเสียความไว้เนื้อเชื่อใจ แม้กระทั่งคำถามว่าจะรับใช้อยู่ฝ่ายเดียวมันจะไหว หรือก็เกิดขึ้นจากจิตกลัวที่จะเสียเปรียบ
แต่ในพื้นที่ของการให้เนี่ยครับ เช่น พื้นที่ของแม่กับลูก มีแม่คนไหนไหมครับที่กลัวว่าทำกับลูกแล้วจะเสีย ไม่มี..ไม่มีนะครับแม่ไม่เคยคิดในสิ่งที่จะเป็นกำไรกับลูกเลย แม่มีความรู้สึกดีเป็นที่สุดที่จะได้ให้ลูกให้มากที่สุด ให้มากที่สุด ลูกจะให้หรือไม่ให้นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ลึกๆ อะนะครับนั่นคือดวงจิตที่เป็นแม่ ทีนี่ความหมายของความเป็นแม่เนี่ยครับ มันจึงมีความหมายที่สำคัญนะครับแม้กระทั่งบางครั้งบางคราวแม่เหมือนกับจะต้องการอะไรจากลูก แต่จริงๆ ลึกๆ มันสะท้อนกลับว่าแม่ไม่ได้ต้องการของนะ แม่ต้องการความรู้สึกที่ดีๆ เพราะความรู้สึกดีๆ มันหมายถึงว่าลูกเป็นคนดี ลูกเป็นคนดีอย่างนี้นะครับ
ผมยังจำภาพได้นี่เล่าเรื่องส่วนตัวนิดนึง แม่ผมนี่ชอบบ่นเมื่อตอนที่พ่อผมอายุมาก แล้วก็บ่นให้ฟังว่ามีลูกตั้งมากมายทำไมต้องเป็นภาระอยู่คนเดียว คือหมายถึงผมนี่เป็นภาระทั้งที่ผมไม่ได้คิดอย่างนั้นนะครับ แล้วผมก็เห็นแม่บ่นมากแล้ว เอวันนึงจะเอายังไงกับแม่ดี วันหนึ่งแม่ก็บ่นๆ ผม ผมก็บอกว่าแม่ แม่ไม่เชื่อพระพุทธเจ้าเหรอ แม่ไม่อยากให้ลูกของแม่เป็นคนดี ลูกของแม่คือผมเนี่ยนะ พระพุทธเจ้าบอกว่าคนที่กตัญญูรู้คุณต่อบุพการีนี่เป็นคนดี แม่ฟังแม่ก็รู้ว่าผมสอนแม่ แต่ความจริงผมไม่ได้สอนนะ ผมมีความรู้สึกว่าผมในฐานะลูกของแม่อยากเป็นคนดีเท่านั้นเอง อยากเป็นคนดีก็คือความรู้สึกที่ว่านี่คือโอกาสที่ผมจะได้ดูแลพ่อซึ่งเป็นบุพการี
ทำไมผมต้องไปคิดว่าทำไม ผมต้องขอบคุณพี่น้องผมสิเขาเปิดโอกาส ให้โอกาสผม ให้โอกาสได้ทำสิ่งที่ผมอยากทำ ถ้าเขาไม่ให้โอกาสผม ผมก็ทำไม่ได้ เพราะสิ่งที่มันเป็นความหมายผมจึงไม่ได้มีความรู้สึกว่าทำไมคนอื่นเขาไม่ดูแลพ่อ แต่ผมรู้สึกดีว่าขอบคุณพี่ๆ น้องๆ ทุกคนที่ให้โอกาสผม ให้โอกาสได้ทำสิ่งที่ดีๆ เพราะถ้าเขาไม่ให้โอกาสผม ผมก็ทำไม่ได้ ความรู้สึกแบบนี้มันเป็นความรู้สึกที่ผมเข้าใจว่าจะเป็นความหมายที่สำคัญ เพราะฉะนั้นวันหนึ่งผมก็เข้าใจว่าแม่ก็เข้าใจประเด็นนี้เพราะว่าประเด็นนี้คือเข้าใจในความหมายว่านี้ คือความหมายที่ผมรู้สึกดีที่ได้ทำ ไม่ได้คิดในทำนองว่าพี่น้องคนอื่นต้องทำบ้างอะไรงี้
ทีนี้ความหมายแบบนี้ผมเข้าใจว่า มันเป็นการเทียบเคียงความรู้สึกที่เราพูดถึงการให้การรับ ว่าถ้าเราให้นะครับและมีจิตคิดจะให้เนี่ยครับ ในกรณีแม่ให้กับลูกเนี่ยนะครับ มันเป็นความหมายที่แม่จะไม่รู้สึกผิดหวัง แต่ที่แม่รู้สึกผิดหวังอยู่บ้างก็คือลูกไม่เป็นคนดีเท่านั้นเอง ใช่ไหม เราอยากให้เขาเป็นคนดีแต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่มันเป็นความหมายว่าเป็นคนดีเนี่ย แม่จะเป็นผู้ที่มีความหมายที่สำคัญตรงนี้ เพราะฉะนั้นในพื้นที่ของชีวิตเนี่ยครับ
อย่าทำพื้นที่ในใจของเราให้เป็นพื้นที่ตลาด เพราะถ้าเป็นพื้นที่ตลาดจะเป็นพื้นที่ของการต่อรอง
น่าเศร้าเลยนะครับ ถ้าใครจะมาเป็นสามีภรรยาแล้วต้องใช้การต่อรองกันทั้งชีวิตเนี่ยใช่ไหม ต้องต่อรองราคากันตลอดเวลาใช่ไหม โอ..มันแย่เลยอย่างงี้ ถ้าเราไม่มีความไว้เนื้อเชื่อใจกันเราจึงต้องต่อรองราคากันตลอดเวลานะครับ แล้วสุดท้ายกลายเป็นว่าเราอยู่ในตลาด ถ้าอยู่ในตลาดเมื่อไหร่นี่โอเค เมื่อตอน..ขอโทษเล่าเรื่องส่วนตัวนิดนึง ตอนที่ผมคิดจะออกจากราชการ แล้วมาใช้ชีวิตเพื่อการภาวนาอย่างแท้จริง ผมคิดว่าสิ่งหนึ่งที่เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจเป็นที่สุดเลย คือเงินตรา เพราะเงินตรามันเป็นอะไรบางอย่างที่ทำให้เราเกิดการสัมพันธ์กันโดยการใช้เงิน ผมน่าจะต้องมีพื้นที่ใหม่ในชีวิตละ ผมเข้าใจว่าเงินตราเนี่ยถ้ามันเข้ามาแทรกแซงในชีวิตมากนี่มันจะเป็นปัญหา เพราะตอนที่ออกจากบ้านจึงกำหนดข้อกำหนดหนึ่งไว้ในใจเลยว่าจะไม่ใช้เงิน ความรู้สึกว่าจะไม่ใช้เงินเนี่ยผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นโอกาสที่เราจะได้มีสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์ ผมเลยบอกว่าผมอยากจะออกมาสู่สังคมอีกสังคมหนึ่งที่ไม่ใช่สังคมที่เป็นตลาดที่ใช้เงินตราเป็นเครื่องมือสื่อความสัมพันธ์กัน แต่จะออกมาสู่สังคมซึ่งแห่งการให้และการแบ่งปันซึ่งใช้ความเป็นมนุษย์สัมพันธ์กัน
และผมพบเลยนะครับว่าในพื้นที่แบบนี้มันมีกระบวนการเรียนรู้ที่มหัศจรรย์ แปลกมากๆ เลยนะครับ คือตอนที่เรามีเงินเนี่ยเรากลัวจะมีคนมาหลอกเรา แต่ทันทีที่เราไม่มีเงินปุ๊ปไม่รู้ใครจะหลอกอะไรผมใช่ไหม ผมไม่มีเงินตราติดตัวเลย ของใช้ก็มันสกปรกอะไรอย่างเนี่ยนะครับ เลยไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาเอาประโยชน์อะไรจากผม ไม่ต้องกลัวเลยครับ เพราะไม่มีอะไรที่เป็นสิ่งที่มีค่าอยู่ในตัวผมเลย พอเราไม่กลัวปุ๊ปมันมีความหมายอะไรบางอย่างที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์ ที่สำคัญนะครับเมื่อเราอยู่ในพื้นที่ที่เราไม่มีอะไรเป็นสิ่งที่ต้องกลัวว่าใครจะมาฉกฉวยไปจากเราแล้ว เรามีแต่ความรู้สึกที่ตั้งจิตมั่นคงว่าเกิดมาชาตินี้มิปรารถนาจะเบียดเบียนใคร เพราะฉะนั้นขอให้มีการพบกับเพื่อนมนุษย์โดยความหมายที่เราจะไม่เป็นศัตรูกันเถิด แล้วความรู้สึกแบบเนี่ยเรามีแต่มิตรภาพ มีแต่ความรู้สึกในใจ เพราะเขาจะปฏิบัติต่อผมเช่นไรผมก็จะไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกขัดเคืองที่จะมองเขาเป็นปฏิปักษ์นะครับ
ทีนี้ความรู้สึกแบบนี้มันมีพลานุภาพ ผมเข้าใจว่ามีพลานุภาพมาก การก้าวเดินไปแต่ละวัน แต่ละวัน แต่ละวัน เราจึงพบความมหัศจรรย์ พบความมหัศจรรย์ซึ่งอธิบายด้วยถ้อยคำยากมาก แต่เกิดความรู้สึกได้ถึงความหมายที่เปลี่ยนไป สุดท้ายนะครับมันเป็นความหมายถึงจุดๆหนึ่งที่ผมเกิดความรู้สึกมาโดยที่ไม่ต้องใช้ความคิดปรุงแต่งอะไรมากเลย ผมมีความรู้สึกได้ว่าเกิดมาไม่มีใครเป็นศัตรูเลย ไม่มีใครเป็นศัตรูเลย แม้บางขณะจะมีคนหวั่นกลัวเราบ้างเพราะเขาไม่รู้จักเราจริง เช่น เขาวิ่งหนี คือน่าเห็นใจเหมือนกันนะ ชาวบ้านเห็นผมจะวิ่งหนีนะครับแล้วตอนที่ผมโทรมสุดๆแล้วเนี่ยเขาก็กลัวผมในฐานะที่ผมจะประทุษร้ายเขา
ในฐานะที่เป็นคนบ้าคือผมถามพี่คนหนึ่งซึ่งแกตั้งใจจะวิ่งหนี เพราะคิดว่าผมเป็นคนบ้าและวันที่ผมกลับไปเยี่ยมแกอีกทีเพราะพี่คนนั้นแกทำอะไรละล้าละลังแกตกใจมากแกก็เลยหยิบน้ำขวดหนึ่งให้ผม คือแกตกใจไม่รู้จะทำยังไงก็เลยนึกจะเอาอะไรให้สักอย่างหนึ่งจะได้อย่าทำร้ายฉันเลยประมาณนี้เนี่ยนะ แล้วพอแกให้น้ำผมขวดหนึ่งแล้วแกก็ แล้วตอนที่ผมถามว่าทำไมพี่จึงกลัวผม แกบอกเห็นอาจารย์ ตอนนั้นแกรู้ผมเป็นอาจารย์ ก็เลยบอกตอนที่พี่เห็นอาจารย์ อาจารย์แต่งตัวสกปรก กลิ่นตัวเหม็นแบบคนบ้าอะนะ พอพี่เห็นปุ๊ป หันไปเห็นปุ๊ปตกใจ ตกใจแล้วเหมือนกับจะวิ่ง แต่จะวิ่งแบบกระเจิงมันก็เสียภูมิใช่มั้ย จะถอยแบบมีชั้นเชิงอะนะ พอหันไปมองหน้า แล้วแกบอกว่าตอนที่พี่สบตาอาจารย์น่ะรอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าอาจารย์ สายตาอาจารย์สะกดพี่เลยนะ พี่วิ่งไม่เป็นเลย แกบอกไม่รู้จะทำยังไงเลยหยิบน้ำให้ คือแล้วผมเล่าให้แกฟังว่ามันเป็นความมหัศจรรย์ตอนที่พี่ให้น้ำผมอะ ในใจของผม ผมคิดว่าพี่เป็นเทวดา
แล้วผมเล่าให้ฟังว่าวันนั้นทั้งวันเนี่ยนะผมเผชิญกับ กับพญามาร คือพญามารเนี่ย เล่าเรื่องนี้อยู่ในหนังสือแล้วนะครับ ถ้าใครอ่านหนังสือแล้วก็จะคิดว่าฟังจากปากผมสดๆ เหมือนกับฟังเพลง คือตอนที่ผมเดินไปเนี่ยนะมันมีอยู่ครั้งหนึ่งมีคนคนหนึ่งซึ่งเขาเป็นศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เขาเจอผมก็เลยซื้อข้าวให้ผมทาน ตอนที่เขาจะจากผมไปเขาเอาเงิน 200 บาทมาซุกไว้ข้างเป้ผมอีกบอกว่าให้เก็บไว้ยามจำเป็นเผื่อจะต้องใช้ ไอ้ผมจะหยิบเงิน 200 ทิ้งไปก็กระไรอยู่ เห็นรูปในหลวงก็เลยเอาไว้ข้างเป้นั้น ผมพึ่งมารู้ว่าพอมีเงิน 200 เนี่ยจิตใจผมนี่หวั่นไหว คำพูดของคุณวิรัตน์ดังอยู่ตลอดเวลา จารย์เก็บไว้เถอะครับเผื่อจำเป็นต้องใช้ แล้ววันหนึ่งผมเดินมานะครับตั้งแต่เช้าจนถึงเวลาบ่ายไม่มีน้ำดื่มผมกระหายน้ำเป็นที่สุด คำพูดของคุณวิรัตน์ดังก้องอยู่ในใจเก็บไว้เถอะครับเผื่อจำเป็นต้องใช้ แล้วมีความรู้สึกว่าตอนนี้มันจำเป็นแล้ว ชีวิตเรากำลังจะดับสลายแล้ว ถ้าได้น้ำดื่มสักขวดหนึ่งชีวิตเราจะยังยืนอยู่ยงคงต่อไปได้
คำพูดแล้วมันมีความ..สถานการณ์มันเหมือนกับหนังที่เขียนบทอะ ผมเดินจะข้ามถนน ถนนใหญ่นะถนนใหญ่แล้วต้องไปยึนรอให้ไฟแดงขึ้นเพื่อรถจะได้หยุด ตรงหัวมุมที่หยุดรอเป็นร้านขายของชำมีตู้แช่ที่เป็นกระจก มองไปเห็นน้ำแช่ไว้ในตู้เย็นเป็นแถวเลยนะ คำพูดของคุณวิรัตน์ก็ดังก้องอยู่ในใจเก็บไว้เถอะครับเผื่อจำเป็นจะต้องใช้ ความรู้สึกว่าตอนนี้จำเป็นเสียแล้วน้ำเป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิต น้ำคือชีวิตอะไรประมาณเนี่ยนะ เราใช้เงินที่คุณวิรัตน์ให้มานี่แหละซื้อน้ำดื่มสักขวดนึง ขณะที่มีความรู้สึกปั่นป่วนแบบนี้เนี่ยนะมันเหมือนกับต่อสู้อยู่กับข้าศึกเนี่ย บังเอิญว่าไฟแดงมันขึ้นรถหยุด เพราะเรายืนรอที่จะข้ามถนนให้ไฟแดงขึ้นแล้วจะได้ข้าม ไฟแดงช่วยเลยประมาณเนี่ยนะครับ ผมก็เลยวิ่งข้ามถนนเลย
พอตอนที่วิ่งข้ามไปได้สำนึกได้เลยว่าเงินที่อยู่ข้างเป้เนี่ยมันทำให้เกิดความอ่อนแอในจิตใจ เราเดินผ่านมานานเป็นกี่วันมาแล้ว หิวน้ำกระหายน้ำอย่างนี้ทุกวัน แต่ตอนที่ไม่มีเงินมันไม่มีเคยคิดเลยว่าจำเป็นแล้วเนี่ยนะ แต่พอมีเงิน มีเงินนี่มันหนักจริงๆ แล้วมีความรู้สึกว่าพอสำนึกได้เนี่ยผมรู้สึกตอนนั้นมันเหมือนกับนี่คือการได้เรียนรู้ครั้งสำคัญ ความอยากน้ำก็ไม่ได้หายไป ความกระหายน้ำก็ไม่ได้หายไป เดินต่อไปได้อีก 11 กิโลเมตร จำแม่นเลยจึงไปพบพี่คนที่ว่าเนี่ยครับ ตอนที่พบพี่คนที่ว่าตอนนั้นผมเบิกบานแล้วว่าผมสามารถที่จะ พอเห็นแกยื่นน้ำให้ผม โอย คิดว่าเทวดาให้รางวัลไม่ได้คิดว่าแกจะคิดยังไง เทวดามาในร่างหญิงคนหนึ่งหยิบน้ำยื่นให้โดยไม่ได้มีอะไรเป็นเรื่องอื่นเลย ก็เลยคิดบอกให้แกฟังว่าแกเป็นเทวดาเพราะผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ และที่สำคัญน้ำขวดนั้นก็ต่อชีวิตผมให้ยืนยาวมาได้
ตอนที่ผมเล่าให้แกฟัง แกฟังผมเล่าแล้วแกก็ร้องไห้น้ำตาไหล ผมก็รู้ว่าคำว่าร้องไห้คือแกรู้สึกสะเทือนใจว่าแกร้อง แกพูด พูดไปแล้วแกก็รำพึงรำพันบอกว่าพี่ก็ไม่น่าจะเป็นคนขี้ขลาดขี้กลัวมากขนาดนั้น น่าจะถามอาจารย์สักคำว่าต้องการอะไรอีกไหม ข้าวน้ำก็มีให้กิน มีกับข้าว อะไรแกก็มีอะไรใช่ไหม ผมบอกไม่ น้ำ 1 ขวดเป็นรางวัลจากเทวดาพอแล้วไม่ต้องมีอะไรมากกว่านั้น แต่ที่พูดตรงนี้กำลังพูดถึงเงื่อนไขภายในใจของเรานะครับ
เงื่อนไขภายในใจของเราเนี่ยมันเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เราได้สร้างเงื่อนไขอะไรไว้ในใจเรา
ทีนี้ประเด็นที่เรากำลังพูดถึงคือเรื่องการใช้ชีวิตคู่การอยู่กันเนี่ยครับ เงื่อนไขในใจก็ต้องสำคัญ ในภาษาของผมเลยนะ มีความจำเป็นและสำคัญ ผมรู้เรื่องนี้โดยทฤษฎีมาตั้งนานแล้ว เพราะฉะนั้นนับตั้งแต่วันที่ผมปลงใจว่าจะต้องมีชีวิตคู่ ผมจึงต้องวางกฎเกณฑ์กับชีวิตผมเลยว่าผมต้องทำอะไรบ้างเนี่ยนะครับ ในเชิงสร้างเงื่อนไขภายในใจ เงื่อนไขที่บอกว่าจะไม่ให้ความรู้สึกตำหนิติโทษภรรยาเกิดขึ้นในใจเนี่ยผมกำหนดไว้โดยทฤษฎีตั้งแต่เริ่มต้นเลยครับ เพราะรู้ว่าถ้าเกิดความรู้สึกตำหนิติโทษได้ความรู้สึกอื่นที่เลวร้ายก็จะตามมาเป็นพรวน เพราะงั้นสิ่งนี้ถึงต้องทำให้ได้ เพราะงั้นถ้าใครสักคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในที่นี้นะครับมีเพื่อนฝูงมาปรึกษาว่าเธอมีครอบครัว มีลูกแล้วเธอมีบทเรียนอะไรบ้าง ช่วยสื่อสารเรื่องนี้ไปหาเขาเลยนะครับว่าสิ่งหนึ่งที่จำเป็นและสำคัญ
การมีชีวิตคู่คือโอกาสของการเรียนรู้ที่ประเสริฐที่สุด และการเรียนรู้ที่ประเสริฐที่สุดนั้นน่ะเราจะต้องมีเงื่อนไขในการเรียนรู้
การมีชีวิตคู่คือการเรียนรู้ชีวิตที่ประเสริฐที่สุด เพราะเราจะได้เรียนรู้จากจิตอีกดวงหนึ่งที่เขาจะมาเป็นผู้กำกับจิตของเราให้เกิดการเรียนรู้ที่ดีได้
และความหมายเช่นที่ว่าเนี่ยนะครับ เป็นความหมายที่ผมคิดว่ามันต้องทำให้เกิดความรู้สึกว่าเราเกิดมาเพื่อจะเป็นผู้ให้เขา เราเกิดมาเพื่อจะเป็นผู้ทำกิจของเรา ส่วนเขานั้นเขาก็จะต้องมีความสำนึกของเขาเองในความหมายนั้น ไม่ใช่เราไปคาดคั้นว่าเธอต้องมารับใช้ฉันสิ ประมาณนี้ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น ผมเข้าใจว่านั่นไม่ใช่การสร้างเงื่อนไขที่ดี เป็นสร้างเงื่อนไขให้คนอื่นทำเนี่ยครับแต่ต้องสร้างเงื่อนใขให้เราเป็นฝ่ายกระทำครับ