แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ขอเรียนถามอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่งนะคะ อยากจะทราบเหตุและผลแรงบันดาลใจของอาจารย์ แรงบันดาลใจที่ออกมาจากภายในของอาจารย์ว่า ทำไมท่านถึงตัดสินใจเดินทางตั้งแต่เชียงใหม่ ไปภาคใต้ ด้วยเหตุผลประการใดและมีสิ่งจูงใจประการใด ที่จะถ่ายทอดให้กับลูกศิษย์วิศวกรสันติภาพทุกท่านเพื่อเป็นวิทยาทาน กราบขอบพระคุณค่ะ
คำถามนี้ถ้าถามตั้งแต่ตอนต้นผมพูดยาวเลยนะ แต่มาถามตอนท้ายผมขอพูดสั้นๆ แรงบันดาลใจอาจจะพูดไปบ้างแล้ว ก็คือผมมีความรู้สึกได้ถึงความหมายของชีวิตที่ผมมีจิตปรารถนาที่จะปฏิบัติให้รู้แจ้งและผมก็รู้สึกได้ว่า สิ่งที่มันเป็นความคิดที่ผมมีอยู่นั้นไม่เพียงพอ พูดกันภาษาพระก็คือ
สุตมยปัญญา ผมก็บำเพ็ญมากพอสมควรแล้ว
จินตามยปัญญา ผมก็บำเพ็ญมาไม่ด้อยไม่น้อยกว่าผู้อื่นมากนัก
แต่สิ่งที่ผมด้อย ผมน้อยคือ ภาวนามยปัญญา เพราะฉะนั้นจึงเป็นโอกาสที่ผมจะได้เพิ่มพูนส่วนที่เป็นภาวนามะยะปัญญานะครับส่วนความรู้สึกว่าทำไมผมจึงมี จริงๆผมหันหลังให้กับสถาบันการศึกษา ให้กับห้องเรียน ผมไม่เคยกลับไปอีกเลยนะครับ แต่เหมือนมีอะไรบางสิ่งบางอย่างที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์ เมื่อไม่นานมานี้ผมมีอันจำเป็นต้องกลับไปที่ภาควิชาปรัชญาและศาสนา เพราะต้องการให้ทางภาควิชาทำเอกสารชิ้นหนึ่ง ขณะที่ผมได้เอกสารชิ้นนั้นแล้วรีบจะไปส่ง EMS นะครับ เดินลงมาจากตึกที่ภาควิชาที่อยู่ชั้น 2 มีเด็กผู้หญิงที่เป็นนักศึกษาเดินสวนทางผมขึ้นไป พอเขาเห็นผม เขาก็แสดงอาการตกใจ รีบยกมือไหว้ผมแล้วแสดงอากัปกิริยาบอกว่าเขาอยากพบผม ผมบอกว่ามีอะไร เขาบอกว่าเขาอยากคุยกับผม ผมบอกว่า ผมมีเวลาจำกัดต้องรีบไป คุณว่างวันไหนผมจะมาหาคุณ ถ้าคุณอยากพบผม เขาก็ตกใจ บอกว่าอาจารย์ว่างวันไหน หนูจะไปหาอาจารย์ ผมเอาเป็นว่าคุณว่างก็แล้วกัน ผมว่างผมบอกไม่ได้ สุดท้ายเขาก็บอกว่าเขาว่างทุกวัน แล้ววันพรุ่งนี้ผมจะมาพบคุณ มาที่ภาควิชา แล้วพรุ่งนี้ผมจะมาพบคุณ คือนักศึกษาคนนี้เขาอ้างเหตุว่า หนูเข้ามาเรียนที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้เพราะอาจารย์ ผมบอก ผมไปช่วยเหลืออะไรคุณ ผมออกมาตั้งนานแล้ว เขาก็บอกว่าเขาเข้ามามหาวิทยาลัยได้ ในโครงการนักคิดเพื่อสังคมรุ่น คนที่ 6 ผมเป็นคนคิดโครงการนี้ไว้ก่อนที่ผมจะออกจากมหาวิทยาลัย ผมบอก “เหรอ...ถ้าอย่างนั้นเป็นโอกาสดีที่ผมจะได้พบคุณ ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้เราพบกัน”
ขณะที่พบนักศึกษาคนนี้นะครับ เขาก็พูดอะไรมากมายหลายอย่าง เขาถามผม เขาเริ่มต้นว่าเขาอยากเป็นลูกศิษย์ของผมเพราะฉะนั้นเขาจึงอยากจะนั่งลงและให้ผมช่วยสอนอะไรเขา ผมบอกคุณอยากรู้อะไรถามมา แล้วก็ถามคำถามนั้น คำถามนี้ ประมาณเที่ยงนะครับ เราพบกันตอน 10 โมง จำได้ เที่ยง ผมบอกว่า “ พอแล้วล่ะ ผมจะต้องไปแล้ว ” เขาเดินออกมาส่งผม ผมจอดรถ ถ้าใครเคยอยู่ ม.ช. จะนึกว่า ม.ช.มีอ่างน้ำชื่อว่าอ่างแก้ว ที่อ่างน้ำจะมีเขื่อนกั้นน้ำเข้าใจไหม ผมเดินมาบนสันเขื่อนอ่างแก้ว นักศึกษาคนนั้นเดินตามมา ผมก็บอกว่า “ ไม่ต้องตามผมไป ผมจะกลับแล้ว ขอให้คุณกลับไปเรียนหนังสือ ” เขาก็บอกว่า “ อาจารย์พูดมาทั้งหมดจากที่หนูถาม อยากจะขอเป็นประเด็นสุดท้าย อาจารย์อยากพูดอะไรกับหนู โดยที่หนูไม่ต้องถามอาจารย์พูดได้ไหม ”
ผมบอก “ ได้สิ ” แล้วผมก็พูดอะไรบางอย่างกับเขา ชั่วขณะที่ผมพูด นักศึกษาคนนี้ก็ยกมือขึ้นไหว้ผม แล้วน้ำตาก็ไหล ผมไม่รู้จะอธิบายความหมายนี้อย่างไร แต่ผมรู้สึกได้ถึงความหมายที่ผมปฎิบัติผิดหรือเปล่าในอดีต ที่ผมหันหลังให้กับการเรียนรู้อะไรบางอย่าง ผมบอกว่า พอแล้วล่ะ โปรดจำสิ่งที่เป็นบรรยากาศของวันนี้ไว้ในใจคุณนะ สิ่งที่ผมพูดทั้งหมดนี้ คุณไม่จำเป็นต้องปฎิบัติให้ได้ภายในวันนี้ แต่โปรดจำไว้ได้ว่า เมื่อวันหนึ่ง เมื่อคุณไปถึงจุดจุดหนึ่งที่คุณเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว โปรดระลึกนึกให้ได้ว่า วันหนึ่งคุณกับผมเคยคุยกันที่ศาลาสันเขื่อนอ่างแก้วนี้ ตอนนั้นผมคงไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว มีแต่ความจำของคุณเท่านั้นที่จะระลึกได้ว่า ผมพูดสิ่งนี้ไว้ คือผมพูดกับเขาว่า “โปรดมีความเชื่อมั่นว่า คุณเกิดมาบนโลกใบนี้ อย่างมีทิศทางที่ชัดแจ้ง เพื่อจะทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุด อย่าลังเล สงสัยว่าทำไมจึงต้องพบเรื่องนี้ พบคนคนนี้ แต่โปรดมีความรู้สึกเชื่อมั่นว่า เกิดมาเพื่อจะพบเรื่องนี้ เพื่อจะพบคนคนนี้ เพื่อจะทำสิ่งนี้ ผมลาก่อน ”