แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
คำถาม : วิธีการที่เราจะขจัดความกลัวออกไปจากใจ คือที่ฟังอาจารย์เนี่ย อาจจะมีบางช่วงที่ชาวบ้านหรือใครเค้ากลัวเรา แต่เราก็ต้องมีความกลัวเกิดขึ้นในใจเหมือนกัน วิธีการที่เราจะขจัดความกลัวเหล่านี้ค่ะ เราจะต้องทำยังไง? หรือมันมีเหตุการณ์อะไรทำให้เราทะลายความกลัวเหล่านี้ลงไปได้บ้างคะ?
คือจริงๆ ผมมีหลักซึ่งรู้โดยทฤษฎีอยู่ก่อนแล้วนะครับว่า ความกลัวเกิดขึ้นจากการคิดปรุงแต่ง ความคิดที่มีฐานของโมหะ มันจะทำให้เกิดความกลัว ทีนี้ในการเดินทางของผมครั้งนั้น ผมต้องการจะเดินทางเพื่อการปฏิบัติภาวนา ก็คือหมายความให้จิตของผมรู้อารมณ์ปัจจุบันขณะเท่านั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็รู้อารมณ์นั้น ทีนี้สภาวะนี้ตอนเริ่มต้น ฝึกไม่ง่ายนะครับ เพราะมันเผลอที่จะคิดปรุงแต่งอยู่ร่ำไป ทันทีที่เราเผลอคิดปรุงแต่งมันก็จะทำให้เกิดความหวั่นไหวขึ้นมาทันที แต่..สิ่งที่กำหนดไว้ว่าจะเดินด้วยจิตใจที่เบิกบาน ทันทีที่จิตใจของเราถูกรบกวนด้วยความคิดปรุงแต่งที่มีความกลัวเจือปน มันจะไม่เบิกบานครับ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมทำก็คือ “หยุด”
ผม..ขอโทษนะครับ ผมเป็นนักทฤษฎี เพราะฉะนั้นทฤษฎีมันยังเยอะ ถามก็ดีแล้ว ในรูปแบบการเดินทาง ตอนที่เดินไปก็ใช้การภาวนาให้ใจของเราจดจ่ออยู่กับกาย กับภาวนา กับจิต กับสภาวธรรมที่มันเกิดขึ้น ที่เป็นปัจจุบันเท่านั้น ไม่คิดปรุงแต่ง ทีนี้กระบวนการแบบนี้ก็ไม่ได้ทำได้โดยง่าย ผมเองก็มีเครื่องมือเยอะเลยนะครับ เครื่องมือที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือทันทีที่ผมหยุด ผมก็จะหยุดยืนภาวนา ผมมีบทปรัชญาปารมิตามนตร์ ซึ่งผมมีความศรัทธาอยู่โดยส่วนตัวแล้ว ผมมีลูกประคำร้อยแปด ต้องยืน เพราะหยุดแล้วก็ต้องภาวนามนตร์ให้ครบร้อยแปดครั้ง และเมื่อจิตของเราสงบนิ่งและรู้แล้วก็ได้ตั้งจิตกำหนดหมายว่า
ผมจะใช้วิธีแรกๆ เหมือนกับพระปลงอาบัติ ถ้าอยู่ในเขตที่ไม่มีต้นไม้ ก็นั่งคุกเข่าลงกราบแผ่นดิน ขอให้พระแม่ธรณีได้รับรู้ถึงความสำนึกของผมว่าผมรับรู้แล้วว่าการเผลอในลักษณะนี้ คิดปรุงแต่งแบบนี้ ทำให้เกิดความขุ่นมัวขึ้นในจิต ผมจะสำรวมระวังไม่ให้เกิดความคิดปรุงแต่งแบบนี้เกิดขึ้นอีกในใจผม ถ้าอยู่ในป่าก็หาต้นไม้ต้นใหญ่ๆ หรือเชื่อว่ามีรุกขเทวดา แล้วก็ปลงอาบัติกับรุกขเทวดา โดยรูปแบบแบบนี้นะครับ ครั้งแรกคนบ้าชัดๆ ถ้าใครไปแอบดูผมนะครับว่า ทำแบบคนบ้า แต่ความหมายของผมก็คืออยู่กับสภาวะภายในใจ
เพราะฉะนั้นการเดินทางตอนเริ่มต้นจึงมีความหมายที่กลายมาเป็น ที่สั่งให้ผมรู้สึกได้ การที่ชาวบ้าน การที่ใครที่เขามามีปฏิสัมพันธ์กับผม แต่ที่แปลกอย่างหนึ่งนะครับ ทันทีที่ผมไปพักที่ใดที่ผมเคยหวั่นกลัว เช่น ถ้าพระท่านอนุญาต ถ้าเห็นมีเมรุ ผมจะขอไปพักที่เมรุ การพักที่เมรุก็ทำให้เราได้ฝึกฝนการเรียนรู้ว่าครั้งหนึ่งเราเคยรู้สึกรังเกียจสถานที่แบบนี้ที่จะไม่มาพักพาอาศัยในยามค่ำคืน แต่ในยามเช่นนั้นก็จะมีความหมายที่ดี ผมไปรู้สึกเรื่องความกลัวได้ดีมากๆ เมื่อผมไปถึงอำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร ในช่วงนั้นผมเดินไปตามรางรถไฟ และปรากฎว่าใน(ขณะที่)เดินตามรางรถไฟมันเดินไม่ดี มันเดินไม่เป็นสมาธิเท่าไหร่ เพราะจังหวะก้าวของผมกับไม้หมอนรถไฟมันไม่สัมพันธ์กัน ที่สำคัญคือเดินไปมืดแล้ว ยังไม่ถึงอำเภอหลังสวน
เมื่อผมสอบถามชาวบ้านแถวนั้น ว่าแถวนี้มีวัดให้ผมเข้าไปขออาศัยได้บ้างมั้ย ชาวบ้านก็บอกว่าไม่มี ชาวบ้านถามว่ามีความต้องการอะไรที่จะไปวัด ผมบอกว่าผมเดินมา ปรารถนาจะขอพักภายในวัด ชาวบ้านแนะนำบอกว่าภูเขา เขาชี้ไปไปเลยนะครับ ที่ภูลูกนั้น มีถ้ำ มีพระมาพัก พระธุดงค์มาพักอยู่เสมอ ถ้าจะพักก็น่าจะพักได้ ผมเลยขอบคุณเขาแล้วก็เดินผ่านสวนปาล์มไป เพราะว่าภูเขาเห็นอยู่ด้วยตานะ แต่ถนนไปอย่างไรผมก็ไม่รู้ สวนปาล์มมันเดินได้
ผมเดินลัดเลาะตามสวนปาล์ม ไปเจอสองสามีภรรยากำลังเผาข้าวหลาม พอเขาเห็นผม ผมรีบตะโกนส่งเสียงเป็นภาษาปักษ์ใต้เพื่อไม่ให้เขาเกิดความสะดุ้งกลัว ผมถามว่าทำอะไรกันอยู่ ผมต้องการจะไปที่ถ้ำ เดินทางไปนี้ได้มั้ย ประมาณนี้นะ พอเขารู้ว่าผมเป็นคนใต้ เขาเลยชวนให้ผมหยุด แล้วเขาก็ปอกข้าวหลามให้ผม ก็บอกว่ากินข้าวหลามก่อนแล้วเดี๋ยวจะพาไป พอผมกินข้าวหลามเสร็จ พอเขาทราบว่าผมเดินมาจากเชียงใหม่จะไปเกาะสมุย เป็นคนเกาะสมุย เขาบอกว่า “ไปพักบ้านเขาดีกว่า อย่าไปพักที่ถ้ำเลย”
ผมถามเขาว่า “ทำไมล่ะ? ผมอยากจะไปพักที่ถ้ำเพราะว่าชาวบ้านแนะนำมา และจิตผมกำหนดหมายว่าผมจะไปพักที่ถ้ำแล้ว”
เขาบอกว่า “ที่ถ้ำนั้นน่ากลัว”
ผมถามว่า “น่ากลัวอย่างไร?”
เขาบอกว่า “ที่ถ้ำนี้มีงู”
ผมก็บอกว่า “ผมเดินออกจากบ้านมาตั้งจิตกำหนดหมาย หากแม้นว่าผมมีวิบากกรรมที่ต้องตายเพราะงูกัด ผมก็พร้อมแล้วที่จะรับวิบากกรรมนั้น ไม่ดิ้นรนขัดขืนอีกแล้ว ขอให้งูได้กัดผมและตายที่ถ้ำนี้เถิด”
เขาพูดใหม่ทีนี้ เรื่องแรกไม่ขู่ผม ไม่สำเร็จประมาณนี้ เขาบอก “แต่งูนี้เป็นเจ้าแม่ น่ากลัวมาก”
ผมบอก “ยิ่งเป็นเจ้าแม่ยิ่งดี เจ้าแม่ย่อมจะรู้ว่าผมควรจะตายที่นี่หรือควรจะมีชีวิตอยู่ต่อไป เราอย่าตัดสินกันเองเลยให้เจ้าแม่เป็นผู้ตัดสินเถิด”
เขาบอกว่า “แต่น่ากลัวจริงๆ นะ! ขนาดพระธุดงค์ยังผูกคอตายเลยเมื่อไม่นานมานี่หนึ่งองค์”
ผมบอกว่า “อย่างนั้นขอให้ผมได้ไปที่นั่น อย่างน้อยๆ ผมจะได้แผ่อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับพระธุดงค์ที่ท่านมีอวิชชาครอบงำถึงกับต้องทำอัตวินิบาตกรรม”
สุดท้ายเมื่อเขาเห็นผมไม่ยอม เขาจึงยอมไปส่งนะครับ แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ผมได้เรียนรู้ก็คือ ผมไม่เคยคิดเรื่องกลัวอะไรมาก่อน เป็นเวลานานมาเป็นเดือนแล้ว คือไม่ครับ จิตของผมไม่ได้ไปสนใจเรื่องกลัวหรือไม่กลัว แต่คืนนั้นเมื่อไปที่ถ้ำและผมขึ้นไปนอนที่ถ้ำแล้ว เมื่อผมไหว้พระสวดมนต์แล้วก็ตั้งจิตกำหนดหมายและผม “ทบทวน” ว่าจิตของผมมีความรู้สึกอย่างไร ผมกลับพบความหมายอันหนึ่ง ซึ่งเป็นความหมายที่มหัศจรรย์มาก ที่เดินมามันเป็นการเดินด้วยจิตที่ไม่ได้คิด พอไม่ได้คิดก็เลยไม่ได้รู้ว่าอะไรมันเป็นไปยังไง ไม่ได้รู้ว่าอะไรเปลี่ยนไปบ้าง
แต่คืนนั้นเป็นคืนหนึ่งที่ผมรู้สึกดีกับการมีชีวิต และรู้สึกได้ถึงความหมายของความกลัวที่เคยยืดครองพื้นที่ในใจของผม ผมรู้สึกได้ว่าในใจของผมเหมือนกับถูกทำให้มันมีความกลัว เป็นถ้ำแห่งความกลัวที่มันมีความมืดทำให้เกิดความกลัว แต่วันนี้เหมือนกับถ้ำมันมีไฟสว่าง ทำให้สิ่งที่มันเป็นความคิดปรุงแต่งก่อนกลัวมันหายไป รู้สึกดี ผมนอนหลับอย่างมีความสุขเป็นที่สุดในค่ำคืนวันนั้น คืนหนึ่ง เป็นความสุขที่ทำให้รู้สึกได้ถึงความหมายของชีวิต ความหมายของชีวิตที่เราอาจจะคิดหรือไม่คิด แต่มันก็ปรากฎเป็นชีวิตของเรา คือ
“ชีวิตของเราไม่ร่าเริง ไม่แจ่มใส ไม่เบิกบาน เพราะมันมีความกลัวเข้าไปคุกคาม เข้าไปครอบครองพื้นที่ในใจเราอยู่”
เพราะฉะนั้นทันทีที่ผมรู้สึกเช่นนี้ได้ ผมยังพบถึง “ความหมายใหม่ของชีวิต” ความหมายใหม่ของชีวิตนี้ทำให้ผมรู้สึกถึงความหมายของชีวิตที่ช่าง “เบิกบาน” และความหมายแบบนี้มันก็เป็นความหมายที่ผ่านมาของชีวิตผมตลอดมา แม้กระทั่งเมื่อตะกี้ที่ผมยืนเล่ากับน้อง กับนักศึกษาท่านใดก็ไม่ทราบ พูดว่าเรื่องนี้น่าจะเล่าในห้องมากกว่าที่พูดถึงเรื่องความตาย
ผมพูดให้ฟังถึงว่า ชีวิตที่มันมีความขุ่นมัว ไม่แจ่มใสเหมือนกับท้องฟ้าที่มันขุ่นมัวเพราะมันมีเมฆ เมฆซึ่งมาปกคลุมพื้นดินส่วนนี้ไว้ ทำให้เรารู้สึกว่าวันนี้เราท้องฟ้ามืดสลัว ทั้งที่ดวงอาทิตย์ยังมีอยู่เหมือนเดิม ยังส่องมาสู่โลกใบนี้เหมือนเดิม แต่แสงอาทิตย์ไม่สามารถทะลุผ่านลงมาสู่พื้นผิวของโลกที่เราอยู่ตอนนี้ได้เพราะมีเมฆหมอกหนาทึบบดบังแสงอาทิตย์อยู่ ในใจของเราก็คล้ายๆ อย่างนั้นล่ะครับ
เมฆหมอกแห่งความกลัวทำให้พื้นที่ในชีวิตของเรามีความมืดครึ้ม ไม่ร่าเริง ไม่สดใส แต่ทันทีที่เมฆหมอกนี้ผ่านไป ชีวิตของเรากลับมีความเบิกบาน แจ่มใส
พอดีที่ยืนอยู่ผมเอ่ยถึงอาจารย์ท่านหนึ่ง แล้วคนที่ ท่านอยู่ตรงไหนนะครับ นี่ๆ ครับ ผมรู้จักอาจารย์ท่านนั้น ชื่ออาจารย์อะไรนะครับ อาจารย์โอภาส นะครับ คือผมไปที่มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ครับ แล้วอาจารย์โอภาสท่านเป็นอาจารย์ผู้ใหญ่ที่เกษียณอายุราชการแล้ว แต่พอรู้ข่าวว่าผมไป ท่านก็มา คิดว่าท่านคงมาเลี้ยงอาหารผม อาหารมื้อนั้นน่าจะเป็นอาจารย์โอภาสเป็นคนเลี้ยงผม แต่ท่านไม่ได้มาฟังผมพูดนะครับ แต่ท่านขอว่าวันอาจารย์กลับ ขออนุญาตที่จะไปส่ง ผมมีอะไรที่อยากจะคุยกับอาจารย์ สุดท้ายแกก็ขอที่จะให้อาจารย์ที่จะส่งผมไม่ต้องมาส่งนะครับ
ทีนี้ขณะที่นั่งมาบนรถ อาจารย์โอภาสท่านก็ถามผม ที่ผมรู้ว่าเป็นคำถามที่ให้เกียรติผมมาก เป็นคำถามที่ดีมาก ท่านพูดถึงความหมายว่าขอให้ผมได้ช่วยคุยบอกท่านอะไรบางอย่างเกี่ยวกับชีวิตในช่วงสุดท้ายนี้ ท่านบอกว่าอาจารย์มีลักษณะที่เป็นคน คือ ขอโทษนะครับ ก่อนหน้านั้น เราคุยถึงเรื่องหนังสือสิทธารัตถะ ทีนี้อาจารย์โอภาสท่านจบมาจากเยอรมัน ท่านรู้ว่าหนังสือสิทธิรัตถะต้นฉบับเดิมเป็นภาษาเยอรมัน แล้วก็เลยเราคุยกันถึงเรื่องสิทธารัตถะ พอคุยถึงเรื่องสิทธิรัตถะแล้วท่านก็มีประเด็นอยู่ในใจว่าท่านจะกลับไปอ่านหนังสือเล่มนั้นอีกทีหนึ่ง แล้วท่านจะกลับมาถามผมใหม่
ทีนี้วันที่เรานั่งมาท่านบอกว่าท่านจะไม่ถามถึงหนังสือแล้ว แต่ท่านจะถามถึงเรื่องชีวิตในช่วงสุดท้าย ผมก็เลยพูดในท่านฟังในความหมายนี้ พอพูดให้ฟังถึงความหมายนี้ก็มีเรื่องอื่นเยอะนะครับที่เราคุยกันหลายเรื่อง แต่สิ่งหนึ่งที่ผมบอกว่าผมเรียนรู้สิ่งหนึ่งที่เป็นการรู้ที่ไม่สามารถจะบอกกล่าวเป็นถ้อยคำใดๆ กับผู้อื่นได้ คล้ายๆ เหมือนกับสิทธารัตถะถามพระพุทธเจ้าว่าการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าในคืนวันเพ็ญวิสาขะนั้น จะสามารถเปิดเผยผ่านคำพูดหรือถ้อยคำได้มั้ย พระพุทธเจ้าก็บอกว่าไม่ได้ นี่คือความหมายที่ผมคิดว่านั่นคือความมหัศจรรย์ ที่ Assay ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้เข้าถึงความจริงอันหนึ่งว่า เราไม่สามารถเปิดเผยสิ่งที่มันเป็นความรู้สึกของเราเป็นถ้อยคำได้ เพราะถ้อยคำมันเป็นความหมายของความคิด และคนรับไปเพื่อจะไปคิดต่อ
ทีนี้ประเด็นนี้ผมคุยกับอาจารย์โอภาสตอนที่เรานั่งรถมา จำได้ว่านั่งจากที่เราคุยเรื่องนี้จากอำเภอสิชล เพราะฝนตก และก็คุยกันมาตลอด ผ่านอำเภอกาญจนดิษฐ์ เข้าสู่อำเภอเมือง ฝนตกหนัก แต่บรรยากาศข้างนอกไม่เป็นที่ไม่สนใจเลย รู้แต่ว่าฝนตกหนักเพราะรถมันขับเร็วไม่ได้ แต่ความหมายอันหนึ่งก็คือผมคุยกับอาจารย์โอภาสในประเด็นนี้จากใจของผม ในฐานะที่เรามีความรู้สึกที่ดีต่อกัน ผมพูดให้ฟังถึงความรู้สึกอันหนึ่งว่า สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถจะเปิดเผยผ่านถ้อยคำได้ แต่ผมมีความรู้สึกดีเป็นอย่างยิ่งในการมีชีวิตอยู่ ณ ขณะ ปัจจุบัน ผมไม่ได้มีความรู้สึกว่าผมอยากตาย แต่ผมรู้สึกดีที่จะได้ตาย
ที่สำคัญผมเล่าให้ท่านฟังถึงเรื่องครูอาจารย์ของผม ซึ่งเป็นเรื่องส่วนตัวผมนะ แต่ผมก็พร้อมจะเล่าให้อาจารย์โอภาสฟัง ท่านฟังเรื่องที่ผมเล่าเรื่องครูของผม อาจารย์ที่ท่านเป็นพระเถระผู้ใหญ่ แล้วมันมีความสัมพันธ์กับผมพิเศษที่ท่านเลี้ยงดูผมมา แล้วพอมาถึงวันหนึ่ง ผมมีความรู้สึกได้ถึงความหมายในชีวิตที่ท่านยังถูกรบกวนด้วยความหวั่นกลัวอะไรบางอย่างนะครับ แต่เราในฐานะเป็นศิษย์และที่เป็นคฤหัสถ์ด้วยก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้มากนัก เพราะฉะนั้นคำพูดของผมจึงเต็มตื้นไปด้วยความรู้สึกส่วนตัวอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายผมคุยกับอาจารย์โอภาสในความหมายว่าสิ่งที่ผมอยากจะบอกอาจารย์ก็คือ เมื่อเราทำความรู้สึกให้ได้ถึงความหมายของความตายที่ไม่ใช่เป็นความคิดนะ ไม่ใช่เป็นความคิดถึงความตาย
แต่เราคิดถึงห้วงเวลาที่มีอยู่ประดุจดังนักกีฬาฟุตบอล ที่ขณะที่เขาลงไปสู่สนามเมื่อเกมเริ่มต้น นักฟุตบอลไม่รู้เวลา เราผู้ดูอาจจะรู้เพราะทีวีเขามีเลขให้เรารู้ แต่นักฟุตบอลเขามีจิตสำนึกอยู่เสมอว่าเกมกีฬาฟุตบอลที่เขากำลังเล่นอยู่นี้มีเวลาอันจำกัด และเวลาหมดลงทุกช่วงขณะ ความหมายของเกมอยู่กับการกระทำ ณ ขณะปัจจุบันนี้ และความรู้สึกแบบนี้จึงทำให้นักกีฬาฟุตบอลทุกคนเต็มไปด้วยพลัง แม้กระทั่งคนหนึ่งจะยืนนิ่งๆ นึกถึงภาพนะครับ เขาเป็นกองหน้าเขายืนอยู่ในขณะที่ลูกฟุตบอลอยู่ตรงข้าม ดูเหมือนเขายืนนิ่งๆ แต่เขายืนนิ่งๆ ในความหมายที่จะรอเวลาเพื่อจะเตรียมพร้อมที่จะทำหน้าที่ของเขา
แล้วผมก็พูดอะไรตามประสาของผม ผมเข้าใจว่านี่คือความหมายที่ลึกล้ำวิเศษสำหรับความสำนึกรู้ของพวกเราที่ปัจจุบันนี้ เรากำลังอยู่บนโลกใบนี้ในความหมายที่ “เรารู้ว่าความหมายและคุณค่าของเวลาช่างวิเศษมหัศจรรย์เสียเหลือเกิน” ทำตัวเหมือนกับนักศึกษาที่เมื่อเข้าไปนั่งในห้องสอบ ก็รู้ว่าเวลาขณะที่ตนเองทำอยู่นั้นเป็นเวลาที่จำกัดนะ ไม่มีนักศึกษาคนไหนเข้าไปนั่งห้องสอบแล้วไปนั่งหลับ ตอนเรียนอาจจะนั่งหลับ แต่ตอนสอบไม่หลับ ถามว่าทำไมตอนสอบจะไม่หลับ เพราะขณะที่เรานั่งสอบนั้น
“เรารู้ว่ามีเวลาอันจำกัดสุดท้ายเราจึงพยายามจะใช้เวลาอย่างคุ้มค่า”
ผมคุยได้ประมาณนี้ รถก็มาถึงสนามบินจังหวัดสุราษฎร์ธานี ผมยังจำภาพได้ ฝนตกหนัก ผมบอกอาจารย์โอภาส บอกอาจารย์ไม่ต้องลงจากรถนะครับ ขอลาและขอบคุณอาจารย์มากที่ให้เกียรติผมเป็นอย่างยิ่ง การพบกันของเราวันนี้อาจารย์จะรู้สึกยังไงไม่รู้ แต่ผมมีความสุขเป็นล้นพ้น อาจารย์โอภาสบอกว่าท่านก็มีความสุขมาก แต่ที่พูดตรงนี้เข้าใจว่าถ้อยคำที่ผมนำมาสืบเล่าต่อคงไม่ได้ประเด็นสาระอะไรมากมายนัก แต่กำลังพูดถึงความหมายที่อยากจะบอกกับนักศึกษาสันติศึกษาทุกท่านว่า พวกเราทุกคนเมื่อตระหนักรู้ถึงความหมายนี้ได้ มันทำให้เราจะมีพลังในการที่จะปฏิบัติกิจของเรา ในฐานะที่เป็นผู้ทำกิจอันวิเศษศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่ กิจอื่นๆ ในโลกนี้ก็ศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่ แต่กิจที่จะทำนำพาสันติมาสู่จิตใจของตัวเองและเพื่อนมนุษย์ เป็นกิจที่วิเศษ เป็นกิจที่ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าเราสามารถทำความรู้สึกถึงภารกิจอันนี้ และทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนที่ผมพูดเมื่อตะกี้ว่า
เรามีความสุขเป็นล้นพ้นที่จะได้ทำกิจหน้าที่อันนี้ และนั่นตรงนั้นนะครับ สิ่งที่เป็นประเด็นเรื่องความคิดที่จะหวั่นเกรงต่างๆ ก็จะหมดไป
เพราะความหวั่นเกรงเกิดขึ้นมาจากจิตคิดคาดหวังที่จะได้ผลอะไรบางอย่างเป็นส่วนตัว และความคิดคาดหวังที่จะได้ผลเป็นส่วนตัว ตรงนี้แหละจึงทำให้เรารู้สึกหวั่นไหวว่าเราจะได้หรือไม่ได้