แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
ในฝ่ายอกุศลที่เราพูดถึงที่ลึกล้ำที่สุดคือตัวโมหะหรืออวิชชาใช่ไหมครับ ที่มันมีชีวิตอยู่ด้วยความคิดปรุงแต่งที่เต็มไปด้วยความหวั่นไหวหวาดกลัว ไม่รู้สิผมอยากจะบอกทุกท่านในที่นี้เลยนะครับ แต่ไอ้ตัวความคิดจริง ๆ มันไม่ได้เลวร้าย ตัวความคิดคือสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นสมรรถนะที่ประเสริฐของมนุษย์ แต่ที่ความคิดมันเป็นโทษและเป็นพิษเพราะความคิด ตอนคิดมันถูกเจือปนไว้ด้วยอวิชชาคือโมหะและความคิดที่มันถูกปรุงแต่งด้วยโมหะเนี่ยนะครับ ปรากฏการณ์ที่อยู่รอบตัวเราน่ากลัวเป็นที่สุด น่ากลัวเป็นที่สุด น่ากลัวจนกระทั่งวันดีคืนดีบอกโลกใบนี้มันจะแตกแล้ว ประมาณนี้นะครับ โลกจะแตกหรือไม่แตกไม่รู้นะครับ แต่พอเราคิดว่าโลกจะแตกให้ เราก็เกิดหวั่นไหวเป็นที่สุด เราไม่ได้โชคดีเลยว่าจะได้เป็นมนุษย์รุ่นสุดท้ายของโลกใบนี้ ถ้ามันแตกแล้วก็ไม่มีรุ่นใหม่แล้ว ความจริงเราควรเฉลิมฉลองว่าเราจะได้จะเป็นมนุษย์คนสุดท้าย แต่ความหมายที่กำลังพูดถึงนี้กำลังพูดถึงภาวะของชีวิตที่เรากำลังเป็นอยู่เป็นไปว่า สิ่งที่มันเป็นโมหะมันคือปรากฏการณ์ในจิตใจเราที่เราเห็น เราสัมผัสรับรู้เรื่องใด ๆ และสิ่งนั้นนำมาซึ่งความหวาดกลัว ต่างตรงกันข้ามกับส่วนที่เป็น วิชชา
วิชชาพอเรารับรู้สิ่งใดและมันรู้สึกบอกไม่ถูก เพราะตอนที่ผมไปนั่งอยู่ที่วัดเขากระดี่หรือสำนักสงฆ์ชัยนาทวนาราม แล้วอ่านข้อความที่หลวงปู่มั่น ภูริทัตโตเขียนในหัวข้อ "ฐีติภูตัง" ผมจึงเกิดความรู้สึกได้ถึงความหมายบางอย่างที่มันสุดที่จะควบคุมความรู้สึกได้ว่า ผมต้องใช้เวลานานถึงเพียงนี้ในการเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ ข้อความที่พระอาจารย์มั่นเขียนแล้วก็เขียนไว้เนิ่นนานนักหนาแล้ว ผ่านสายตาผ่านความคิดมาไม่รู้กี่ครั้งกี่หนแล้ว แต่ยังมืดบอด วันหนึ่งเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสมจึงเกิดความรู้สึกได้ว่าจริง ๆ แล้วความหมายอันยิ่งใหญ่ที่ผมขวนขวายและแสวงหามันอยู่ ณ จุดเล็ก ๆ ที่พระอาจารย์มั่นบอกไว้ในหนังสือมุตโตทัยนี่เอง และความรู้สึกแบบนี้จริง ๆ มันไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าวิชชา และอวิชชา ที่เป็นภาษาที่พระอาจารย์มั่นพูดถึง และความหมายนี้นะครับ ขอพวกเราลองโปรดกลับไปอ่านมุตโตทัยสิครับ ข้อความนี้มีอยู่ลองอ่าน ๆ และอ่านสักครั้งโดยที่ไม่มีความคิดมารบกวนแล้วเราจะเห็นอะไรบางอย่างในใจเราเองนะครับ ไม่ใช่เห็นอะไรในหนังสือ
เพราะฉะนั้น ในสิ่งที่ผมพูดถึงความหมายนี้นะครับเพื่อจะกลับไปสู่ประเด็นว่า สิ่งที่เรากำลังพูดถึงการภาวนา มันจึงมีความจำเป็นที่เราต้องมีสภาวะจิตของเราที่อิ่มเอิบไปด้วยสภาวะที่เรียกว่าศรัทธา ซึ่งมันเป็นพละและเป็นอินทรีย์อยู่ภายใน และส่วนนี้นะครับ มันจะทำให้เรามีความหมายในชีวิตที่จะพลิกเปลี่ยนไป ก็คือเรามีความสุขที่ได้ทำสิ่งต่าง ๆ แม้จะยากเย็นแสนเข็ญสักเพียงใด มันเหมือนกับมีความสุขที่เราจะได้ นึกถึงภาพเล่นกีฬา จริง ๆ เหนื่อยนะแต่ถ้าคนชอบกีฬาก็มีความสุขที่ได้เหนื่อยนะครับ คนที่ปั่นจักรยาน จริง ๆ ปั่นจักรยานก็เหนื่อยนะแต่ก็มีความสุขที่จะได้ปั่นจักรยานจนเหงื่อโทรม ใช่ไหมครับ แล้วจริง ๆ ในชีวิตคนเราก็เป็นเช่นนั้นครับ เราจะมีความสุขกับกิจกรรมในชีวิตแม้มันจะลำบากและแม้มันจะเหนื่อยยากสักเพียงใด เพราะจริง ๆ ความยากลำบากนั้นคือรสชาติของชีวิต รสชาติของชีวิตที่เรามาสัมผัสแล้วมันรู้สึกอร่อย และเราก็ดำเนินชีวิตไป
ทีนี่ความหมายที่ผมพูดถึงตรงนี้ทั้งหมดนะครับ พูดในเชิงโครงสร้างอาจจะคล้าย ๆ เหมือนกับยังเป็นทฤษฎีหรือยังเป็นอะไรแต่ผมพยายามพูดให้มันมีความเป็นทฤษฎีน้อยที่สุดเพื่อกลับมาสู่ความรู้สึกของพวกเราแต่ละคนทุก ๆ คนว่าเราสามารถกลับมาสู่การเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ด้วยตัวเราเอง ภายในใจของเราเองได้และสิ่งที่กำลังพูดถึงนี้นะครับ พอเรามีความหมายแบบนี้ ศรัทธาก็ปรากฏแล้วและเมื่อศรัทธาปรากฏ ไอ้ตัววิริยะก็จะตามมา แล้วเมื่อเรามีวิริยะแล้ว สิ่งที่เป็นสติคือหัวใจของการภาวนาที่เราพูดถึงไปตอนเช้า แตะไปบ้างแล้วเนี่ยครับมันก็จะปรากฏขึ้น คำว่าปรากฏขึ้นก็คือเราจะมีความหมายของการรับรู้อารมณ์ต่าง ๆ และการรับรู้อารมณ์ต่าง ๆ ที่มันเป็นการรับรู้อย่างรู้เท่าทัน การรับรู้ในความหมายที่มันเป็นความอิ่มเอมของชีวิตเป็นการรับรู้ที่มหัศจรรย์มาก
เราได้ยินพระท่านเทศน์เสมอว่า ชีวิตนี้เป็นสิ่งมีค่าหรือเป็นของมีค่า การได้เกิดเป็นมนุษย์นี่ล้ำค่า ประมาณนี้นะครับ การได้พบพระพุทธศาสนาก็เป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่า แล้วเราฟัง เราก็รู้สึกเฉย ๆ นะ แต่ลองไปถึงจุด ๆ หนึ่งตรงนี้สิครับ เราจะได้รู้ว่าชีวิตนี้ช่างมีค่า เพราะชีวิตนี้ที่เราถือครองอยู่นี่นะครับ มันคือความหมายที่ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ว่าเราได้กิน ได้นอน ได้ทำกิจกรรมธรรมดา ๆ แต่เราได้มีชีวิตนี้ เราจะเกิดประจักษ์แจ้งความหมาย ความหมายที่มันทำให้เรารู้ได้นะครับ ถึงสภาวะที่เรียกว่า "ค่า"
คือคำว่า ค่า บางทีมันก็พูดยากเหมือนกัน ผมเจริญอานาปานสติตามแนววัดสวนโมกข์มาตั้งแต่ผมอายุ 18 นะครับ อายุ 18 แล้วก็ทำมาตลอดนะแต่ผมมีความรู้สึกว่าอานาปานสติครั้งหนึ่งที่ผมทำแล้ววิเศษที่สุดคือตอนผมไปอยู่ที่ทิเบต แล้วผมหมดสภาพแล้วเพราะเป็นคนที่ คนที่เป็นไกด์นำทางนี่รู้เลยว่าเป็นภาระแน่ถ้าปล่อยผมไว้อย่างนี้ เป็นภาระที่จะต้องส่งผมกลับในฐานะเป็นศพ ตอนส่งกลับเป็นคนนี้ไม่ยากนะครับ นั่งรถเข็นก็ได้ เขาเข็นให้ แต่ว่าเป็นศพค่าเครื่องบินก็แพงนะ มนุษย์นี่แปลกนะครับตอนมีชีวิตอยู่ค่าเดินทางถูกแต่ลองตายดูสิ ค่าเครื่องบินแพงทันที เขาเลยบังคับผมว่าให้ผมเนี่ยต้องใช้ออกซิเจนแล้ว เขาเลยเอาถังออกซิเจนไปวางไว้ข้างเตียงนอนผมเลย แล้วบอกให้ผมนอนลง แล้วลองสาธิตวิธีใช้ดู ให้ผมนอน แล้วก็ให้ออกซิเจนบนเตียงผู้ป่วยนะครับ สวมเข้าไป แล้วก็มีวาล์วปิด-เปิด ให้ผมเปิดนะครับ หนัก-เบาตามความรู้สึกว่าพอดีนะครับ
ผมก็สาธิตให้เขาดู เขาโอเค เขาบอกคุณทำอย่างนี้ไปทั้งคืนนะ คุณหลับไปเลยอย่างนี้ อย่าไปทำเป็นอย่างอื่น ผมก็นอน นอนบนเตียง นอนแล้วก็เอาออกซิเจนสวมจมูกไว้ แล้วก็เปิดวาล์ว แล้วทีนี่ปกติเวลาผมจะหลับ ผมจะเจริญอานาปานสติเป็นปกติของผม คืนนั้นผมก็นอน แล้วเอาจิตของผมไปอยู่ที่ลมหายใจ ที่ลมหายใจที่มันมีหน้ากากออกซิเจนครอบไปเนี่ยนะ ลมที่มันเข้าไปมันจะมีความเย็นผิดไปจากปกติ มันมีความเย็น เย็น มันมีความสดชื่นก็แล้วกันนะ มันมีพลังอะไรบางอย่างที่มันอยู่ที่ลมหายใจนี่ แปลกมากเลยนะครับ ถ้าใครเคยไปนอนโรงพยาบาลแล้วต้องใช้ออกซิเจนอาจจะเข้าใจสิ่งนี้ได้ มันมีความรู้สึกถึงความหมายของชีวิต ความหมายชีวิตที่มันเข้าไปในตัวเรา เพราะตอนที่ผมเอาจิตไปอยู่กับลมหายใจที่มันเข้าไปน่ะ มันเกิดภาวะที่ ขอโทษผมน้ำตาไหลอีกละ น้ำตาไหลด้วยความรู้สึกว่า โอ้โห ผม ชีวิตมีมาจนถึง 60 ปี ผมสูดลมหายใจเข้าออกมานับจำนวนครั้งไม่ได้แล้ว ทันทีตั้งแต่ลมหายใจแรกที่สูดดมออกไปเข้าไปตั้งแต่ออกมาจากท้องแม่ จนถึงวันนี้ผมมีชีวิตอยู่ด้วยออกซิเจนที่หล่อเลี้ยงชีวิตผมเสมอมา แต่ผมไม่เคยมีจิตตระหนักรู้ได้ถึงค่าและความหมายของออกซิเจนแบบนี้ก่อนเลย
ค่าของออกซิเจนที่มันเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงค้ำชูชีวิตเรา ที่เราอยู่กับมันมานานถึง 60 ปีแต่เราไม่เคยตระหนักรู้ถึงค่าของมัน เรารู้โดยการเรียนวิทยาศาสตร์ที่บอกออกซิเจนจำเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ พวกเราทุกคนอาจจะรู้หมดนะครับ แต่ลองนึกสิว่าเราเคยรู้สึกถึงความหมายนี้ไหม ความหมายนี้พอเรารู้สึกได้เนี่ยนะ ไม่ใช่รู้แบบคิดนะ รู้สึกได้ มันช่างแสนวิเศษมหัศจรรย์ คืนนั้นผมนอนแล้วก็หลับไปพร้อมกับความรู้สึกที่อิ่มเอมเบิกบานกับความรู้สึกได้ถึงความหมายของชีวิต ถึงคุณค่าของออกซิเจน ผมจึงบอกว่าผมไม่เคยเจริญอานาปานสติครั้งไหนแล้วมันอิ่มเอมเอิบอาบไปด้วยความรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย ทั้งที่ความจริงสิ่งนั้นเป็นปกติในชีวิตของเรามาก่อนหน้านี้
เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมกำลังพูดถึง กำลังจะกลับไปสู่ประเด็นว่าความหมายที่มีคนบอกเราว่า ชีวิตนี้มีค่า เนี่ยครับ แล้วก็ได้ยินได้ฟังมาตลอด แต่บางครั้งการได้ยินได้ฟัง หรือการได้คิดถึงสิ่งนี้ล่ะครับมันก็ยังเพียงแค่ผิวเผิน แต่ถ้าเมื่อใดนะครับ ถ้าเมื่อใดเราได้ภาวนาจนกระทั่งถึงหยั่งรู้ถึงความหมายนี้ด้วยจิตของเราจริง ๆ เราจะรู้สึกอิ่มเอม อิ่มเอมกับชีวิตนี้ ชีวิตนี้ช่างแสนมหัศจรรย์และงดงามที่มันสามารถมีชีวิตอยู่รู้สิ่งเหล่านี้และเกิดภาวะแบบนี้ได้ และความหมายแบบนี้ครับเป็นความหมายที่ผมอยากเอามากล่าวในตรงนี้เพื่อให้เกิดความรู้สึกของพวกเราได้ว่าสิ่งที่เราเรียกว่า
ภาวนานั้น ไม่ใช่สิ่งที่มันแปลกปลอมนอกเหนือไปจากความหมายอื่นใดเลย แต่มันคือความหมายของชีวิต
ที่เรารอคอยที่จะให้มันมีความ มันก็เหมือนตอนเราเป็นเด็กแล้วก็มีชีวิตอยู่นะครับแต่เราก็ไม่ค่อยรู้อะไรมากนัก เราค่อยมีเวลารู้มากขึ้น รู้มากขึ้น แต่บางครั้งเวลารู้แบบเป็นไปแบบนี้ บางทีมันก็แทนที่ มันจะช่วยเพิ่มเติมคุณค่า บางทีเราก็ยังสงสัยด้วยซ้ำไปว่าเราจะมีชีวิตอยู่ทำไมนะครับ ผมรู้สึก ผมรู้สึกได้ทุกครั้งเวลามีคนหนุ่มสาวที่อายุประมาณสัก 20 ต้น ๆ และมีคำถามประมาณว่า "ผมจะมีชีวิตไปอยู่ทำไม" ประมาณนี้นะครับ ผมอยากจะกอดเขาแล้วก็บอกว่า "อยู่ไปเถอะ" ผมไม่รู้จะพูดอะไรจริง ๆ เพราะเขาถือครองชีวิตที่มีค่าเป็นที่สุด มีร่างกายที่สมบูรณ์ ผมเนี่ยหมดสภาพแล้วประมาณนี้นะครับ
ถ้าเป็นชีวิตนี้เป็นรถของผมก็คือรถที่เขาจะไม่ต่อภาษี ต่อทะเบียนให้แล้วครับเพราะมันหมดสภาพแล้วนะครับแต่พวกเขาสิ รถที่เพิ่งออกมาใหม่นะครับ ความรู้สึกที่ประมาณนี้ก็คือความหมายถึงว่าทำไมเขาถึงมีคำถามแบบนั้น ทำไมเขาถึงมีข้อปรารภแบบนั้น ก็เพราะว่าเขาหยั่งไม่ถึงค่าของชีวิตที่เขาถือครองอยู่ เพราะสิ่งที่เรากำลังพูดถึง การภาวนา จริง ๆ แล้วผมอยากจะบอกว่าก็คือกระบวนการเรียนรู้เพื่อจะสัมผัสถึงคุณค่าของชีวิตที่เรามีอยู่ ไม่ใช่ไปสร้างขึ้นมาใหม่นะครับ ที่เรามีอยู่ เพราะความเบิกบานความอิ่มเอมในชีวิตที่ผมเผลอพูดอยู่เรื่อย ๆ เป็นสิ่งที่มีอยู่โดยปกติ แต่เราไม่สามารถที่จะเข้าไปสัมผัส และไม่สามารถเข้าไปรับรู้ได้
เพราะฉะนั้นสิ่งที่มันเป็นความหมายเรื่องการภาวนา ที่ผมโยงมาจากข้อปรารภเรื่องศรัทธาก็คือสภาวะภายในใจเราและสภาวะภายในใจเราเนี่ยนะครับ เมื่อเรามีสภาวะที่เรารู้สึกได้ถึงความหมายที่ผมพูดมาแล้ว จะทำให้เราเกิดความหมายของชีวิตที่เต็มพลังกระปรี้กระเปร่าที่เรียกว่า วิริยะพละ และพลังที่เป็นวิริยะพละนี้มันจะทำให้เกิดสติพละก็คือพลังของการรู้แจ้ง และพอมีพลังของการรู้แจ้ง สมาธิพละ คือ พลังของความมั่นคงหนักแน่นอยู่ในชีวิตและสุดท้ายไปถึงปัญญาพละคือพลังของความรู้สึกเบิกบานนะครับ ก็จะปรากฏขึ้นครับ นี่เป็นสิ่งที่ผมพูดยาวไปนิดนึงในช่วงนี้ครับ