แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
คำถาม : อยากทราบถึงแรงบันดาลใจในการภาวนาด้านในให้กับตัวเองค่ะ
อ.ประมวล :
ผมไม่รู้จะใช้เรื่องใดเพื่อจะบอกความหมายนี้ เพราะคำถามนี้สำคัญ ไม่ใช่อยู่ดีๆ เราจะลุกขึ้นมาภาวนา แต่การภาวนาคือมันมีพลังที่เต็มเปี่ยมอยู่ในใจเรา ภาวนาไม่ใช่เรื่องของการบังคับ ว่าวันดีคืนดีเราไปที่หนึ่งแล้วก็บังคับให้เราภาวนา นั้นไม่ใช่การภาวนาครับ แม้เราจะสามารถนั่งนิ่งๆ ได้เป็นชั่วโมงแต่นั่นก็ไม่ใช่ภาวนา เพราะฉะนั้นภาวนาจึงไม่ใช่การบังคับจากกฎเกณฑ์จากเงื่อนไขหรือจากบุคคลอื่น แต่ภาวนาคือพลังที่มันเกิดขึ้นจากภายใน ที่เมื่อตะกี๊ผมพูดถึงในศรัทธาพละ ซึ่งก็คือพลังภายในใจของเราเอง คำถามก็คือแล้วเราจะไปสร้างแรงบันดาลใจนี้ได้อย่างไร ที่ไหน นี่ซิครับจึงเป็นสิ่งที่ผมก็ไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะบอกรายละเอียดของสิ่งเหล่านี้ได้ แต่โปรดเชื่อเถอะครับว่า สิ่งที่มันมีความหมายที่เป็นพลังขึ้นในใจ ในทางพระพุทธศาสนาจึงบอกว่ากัลยาณมิตรนี้จำเป็นและสำคัญเป็นที่สุด แม้กระทั่งพวกเราที่มานั่งกันในที่นี้เราก็ต่างเป็นกัลยาณมิตรของกันและกัน เราต่างเป็นพลังให้แก่กันและกัน ในการที่จะอบรมบ่มเพาะที่เราเรียกว่าภาวนา แต่เราจะมีความรู้สึกที่มันเต็มไปด้วยความหมายที่เป็นแรงบันดาลใจได้ด้วยการที่เราก็ต้องเสาะแสวงหาเหมือนกันนะครับ
ผมไปภาคใต้ครั้งสุดท้าย จริงๆ ต้องการจะเดินทางไปถึงจุดหมายด้วยตัวเอง แต่ก็มีคนๆ หนึ่งมาขอว่า ขอให้เขาได้อำนวยความสะดวกให้ผมเถิด เขาจะขับรถ ผมบอกมันไกลข้ามจังหวัด เขาบอกไม่เป็นไรเขาอยากจะไปกับผม ผมบอกผมขึ้นไปนั่งนะ ผมยอมรับเขาแล้วผมก็นั่งเข้าไป ทีนี้เขาก็ขับรถไป เขาก็เปิดเผยความในใจว่า เขาอยากมีครูเขาอยากพบครูและเขามีความรู้สึกว่าผมนี่แหละเป็นครูของเขา เขาจึงพยายามที่จะมา ผมบอก ผมได้ฟังและเขาเองก็ให้เกียรติผม ผมเองก็รู้สึกดีอ่ะนะ แต่ผมก็ตอบเขาว่า ยามใดศิษย์พร้อมครูก็ปรากฏ บอกไม่ถูกว่ามันคืออะไรแต่ผมชอบคำพูดนี้ ผมชอบคำพูดนี้ ทีนี้เมื่อเรามีความรู้สึกเหมือนกับประมาณๆ ว่า เราต้องการครูนั่นก็แสดงว่าเรามีพลังอะไรบางอย่างแล้ว ภายในใช่ไหม คำว่าครูในที่นี้คือบุคคล ผู้ซึ่งเรามีความเชื่อมั่นว่าเราจะสามารถยึดเหนี่ยวเกี่ยวเกาะให้มีพลังให้เราก้าวไปบนวิถี เพราะเวลาเราพูดถึงการภาวนานี่เป็นเรื่องภายใน เป็นเรื่องที่ไม่มีใครจะมากำหนดหมายบอกให้เรารู้ได้ แม้กระทั่งสิ่งที่เราเรียกว่าคำพูดคำสอนของคนอื่นนี่นะครับ ก็เป็นแต่เพียงแค่ถ้อยคำซึ่งลอยมาประดุจดั่งสายลม แต่เราจะมีความหมายก็ต่อเมื่อเรารู้สึกอะไรบางอย่างที่รู้สึกผูกพันเป็นแรงบันดาลใจอะไรบางอย่าง บางทีก็ไม่ใช่ถ้อยคำนะครับ
ข้อความที่ผมบอกว่า ผมถึงกับเต็มตื้นไปด้วยความหมาย เมื่อผมนั่งลงต่อหน้าหลวงพ่อคำเขียนและท่านถามผมว่ามืออยู่ที่ไหนและบอกว่าไม่ต้องคิด มือคือกาย รู้ได้ก็ไม่ต้องคิด คำพูดแบบนี้ที่จริงใครพูดก็ได้ แต่ความหมายขณะที่ผมนั่งลงต่อหน้าท่านแล้วออกมาจากปากท่านเนี่ย ผมรู้สึกว่านั่นไม่ใช่แค่เพียงถ้อยคำแต่นั่นคือรหัส ในพุทธศาสนาสายวัชรยาน เค้าจึงบอกว่า มันมีรหัสญาณใช่ไหมนะครับ แล้วมีรหัสนัยที่ครูพร้อมจะเปิดเผย และครูเนี่ยบางทีถ้อยคำของครู เมื่อเราเคารพเต็มเปี่ยมแล้วเนี่ย มันจึงมีความหมายที่ยิ่งใหญ่สำคัญ เมื่อตอนที่ผมไปทิเบตและผมปรารถนาจะพบครูสายวัชรยานเป็นที่สุด และเมื่อผมได้พบกับท่านลาเซ ริมโปเช ซึ่งผมถือว่าท่านเป็นครูผม ผมมีความรู้สึกว่าผมเป็นครูของท่านและผมโหยหาท่านมานานแล้ว วันหนึ่งผมจึงได้ไปทิเบตไม่ใช่ไปเพียงเพื่อจะไปเดิน แต่ผมรู้สึกว่าผมจะได้โอกาสพบครูแล้ว ความรู้สึกแบบนี้ดูเหมือนผมคิดเอาเอง ผมคิดเอาเอง แต่เชื่อไหมครับวันที่ผมไปนั่งต่อหน้าท่านลาเซ ริมโปเช และสนทนาธรรมกับท่าน ตอนที่ผมมีประเด็นถามท่านเป็นเชิงปรารภเพื่อจะคุยให้มันเกิดความรู้สึกเหมือนกับว่าเรารู้เรื่องของกันและกันนะ เพราะผมทราบมาล่วงหน้าแล้วว่า ท่านลาเชที่พิการ เพราะท่านพิการนะครับ เนื่องจากว่าเมื่อท่านหนุ่มๆ ในช่วงที่กองทัพปลดแอกประชาชนจีนเข้ามายึดครองทิเบต ท่านถูกจับ ในฐานะเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวทิเบต ท่านถูกจับไปขังคุกมืดและถูกทรมานจนกระทั่งท่านพิการ เพราะฉะนั้นวันหนึ่งเมื่อเราไปพบชายชราคนหนึ่งที่ออกมาจากคุกเพราะไม่มี คือถูกทำให้เป็นเงื่อนไขแล้วว่าจะไม่ออกมาสอนพระพุทธศาสนาอะไรอีกแล้ว ออกมาใช้ชีวิตเหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป ผมจึงถามความเป็นไปของท่านด้วยความรู้สึกว่าเราก็รู้เรื่องท่านอยู่บ้างแล้วประมาณนี้
คำถามที่ว่า ช่วงที่ท่านถูกจับกุมขังอยู่ 20 กว่าปี ที่อยู่ในห้องมืด ช่วงใดเป็นช่วงที่เลวร้ายที่สุดหรือทุกข์ทรมานที่สุดประมาณนี้ เชื่อไหมครับตอนที่ท่านลาเซ ริมโปเชตอบผมเป็นภาษาทิเบตและมีแปลเป็นไทย ท่านตอบว่าช่วงที่ปล่อยให้จิตโกรธคนประทุษร้ายเป็นช่วงที่เลวร้ายที่สุด ผมได้ยินคำแปลนี้ ทั้งที่ความจริงผมได้ยินคำพูดเป็นภาษาทิเบตก่อน แต่ทันทีที่คำแปลนี้ถูกถ่ายทอดมาถึงหูผม ผมที่นั่งอยู่บนโซฟาเผชิญหน้ากับท่าน เรานั่งบนโซฟานะครับ ผมไม่รู้ตัวเลยนะครับตัวเองขยับแล้วมานั่งข้างล่างแล้วก็คลานเข่าเข้าไปซบหน้าไปที่ตักของท่าน ตักของท่านจะมีผ้าปิดไว้ ตักซึ่งมีขาที่ลีบพิการ คำพูดที่บอกว่า ช่วงที่ปล่อยให้จิตโกรธคนประทุษร้ายคือช่วงที่เลวร้ายที่สุด มันเหมือนกับเป็นความหมายที่ยิ่งใหญ่ลึกซึ้ง
ชีวิตผมทั้งชีวิตเกิดมาเพื่อจะรับรู้และเข้าใจความหมายนี้แหละ ผมไม่รู้สึกอื่นใดเลยขณะที่ผมซบหน้าลงที่ตักท่าน ผมร้องไห้น้ำตาผมไหลออกมา แต่ความหมายที่เรากำลังพูดถึงนี้คือความหมายที่ยิ่งใหญ่มหัศจรรย์ที่สุด เป็นเครื่องหมาย เครื่องหมายเป็นรหัสหมายที่สำคัญ ผมบอกไม่ถูกว่าทำไมผมยังรู้สึกแบบนั้นแต่ความรู้สึกแบบนี้มันเป็นพลังอยู่ในใจผมอยู่ก่อนแล้วและเป็นพลังที่ทำให้ผมรู้ว่าใช่ ใช่ นี่คือความหมายของความชีวิตของอะไรไม่รู้นะครับ มันออกจากปากของคนๆ หนึ่ง แต่ปากของคนๆ นั้นน่ะ เป็นคนที่เรารู้สึกได้ว่าเป็นพลัง เพราะฉะนั้นสิ่งที่เรากำลังพูดถึงตอนนี้นะครับว่าเราจะมีพลังบันดาลใจอะไร ครูก็จำเป็นและสำคัญที่สุด
ทีนี้ครูคือใคร ผมตอบไม่ได้ คำพูดที่ผมพูดเมื่อตะกี๊ว่า ศิษย์พร้อมครูก็ปรากฏ คือ หมายความว่าเมื่อใดที่เราพร้อม จริงๆ คำพูดที่ดีๆ ก็ขึ้นมา ผมจะได้ยินมาเยอะแล้วก็ได้แต่ตอนนั้นผมยังไม่พร้อม แล้ววันหนึ่งเมื่อผมพร้อมคำพูดเล็กๆ น้อยๆ ของใครสักคนหนึ่งที่เราเคารพก็จะมีความหมายที่ยิ่งใหญ่และสำคัญ เพราะฉะนั้นสิ่งที่มันเป็นพลังที่จะบันดาลใจให้เราเกิดพลังที่จะภาวนานี่นะครับ มันก็กลับไปสู่คำถามและคำตอบก่อนหน้านี้อีกทีนึงนะครับว่า บางครั้งเราก็ต้องทำความรู้สึกให้ดูเหมือนประหนึ่งว่า เราเป็นคนไม่มีเหตุผลอะไรเลยก็ได้ แต่เรามีความเชื่อว่าเราเกิดมาเพื่อจะได้พบใครสักคนหนึ่งที่จะเป็นครูเรา เราเกิดมาเพื่อจะได้เรียนรู้อะไรสักสิ่งหนึ่งจากใครคนใดคนหนึ่งและความรู้สึกแบบนี้มันจะเกิดขึ้นและเกิดขึ้น เกิดขึ้นเมื่อเราพบเห็นอะไรบางสิ่งบางอย่างที่คนอื่นจะรู้สึกธรรมดาๆ ก็ได้ ผมเนี่ยเป็นความรู้สึกที่แปลกมากปัจจุบันพบเห็นอะไรผมจะรู้สึกว่าผมรอคอยนานนักหนาแล้ว ที่จะได้มานั่งอยู่กับพวกเราที่นี่ในห้องนี้ แล้ววันนี้ผมมีความสุขเป็นล้นพ้นที่สิ่งที่ผมปรารถนาก็เป็นจริงบังเกิดเป็นผลแล้วที่จะมานั่งต่อหน้าพวกเรา มานั่งพูดคุยกันเรื่องภาวนา ไม่น่าเชื่อนะว่าจะมีคนจำนวนมากมาสนใจพูดกันเรื่องนี้ในวันนี้
แล้วความรู้สึกแบบนี้เป็นความรู้สึกที่ผมเข้าใจว่าถ้อยคำอาจจะไม่จำเป็น แต่ความหมายในใจมันยิ่งใหญ่และสำคัญ พวกเราทุกคนแต่ละคนต่างนัดหมายกันมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติแล้วกระมังประมาณนี้นะครับและวันนี้เราก็ได้มาพบกันตามนัดหมายนั้น เพื่อจะบอกกล่าวความหมายอะไรบางอย่างแก่กันและกัน ความรู้สึกที่มันดูเหมือนกับไม่มีเหตุมีผลตามความหมายของคนอื่น แต่ความรู้สึกแบบนี้จะมีพลังในการที่ทำให้เรานี้นะครับภาวนา ผมพูดถึงพระฑาคิณี จริงๆ พวกเราทุกคนมีพระฑาคิณีและพระฑาคิณีพร้อมจะยิ้มให้เรา แต่เราต่างหากนะครับที่ไม่พร้อมที่จะพบพระฑาคิณี พระฑาคิณีคืออะไรบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในใจเราเอง และสิ่งที่อยู่ในใจเราเองนี่นะครับ ผมเข้าใจว่าบางที ขอโทษนะครับ ยามที่เราประสบพบกับเหตุการณ์ที่เรารู้สึกว่าน่ากลัวที่สุด น่าเศร้าที่สุด แต่จริงๆ เหตุการณ์นั้นอาจจะเป็นเหตุการณ์ที่ดีที่สุด และเป็นเหตุการณ์ที่เรารอคอยอยู่แล้วก็ได้ อย่ากลัวครับอย่ากลัวสิ่งที่มันเป็น อย่ามีความกลัวใดๆ คนที่เราเกลียดที่สุดอาจจะเป็นมิตรที่แปลงตัวมาเป็นคนที่เราเกลียดก็ได้ครับ คนที่เราอาจจะไม่ประสงค์จะพบแต่บางทีอาจจะคือ ครูของเราที่รอคอยพวกเราอยู่แล้วก็ได้ โปรดจำความรู้สึกขณะนี้แล้วเราจะมีพลังที่จะภาวนาครับ