แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ขอโทษนะครับผม ก่อนจะออกเดินทางในตอนที่เดินทาง ผมรู้เลยว่าเมื่อผมออกเดินทาง สิ่งที่เป็นสิ่งสำคัญที่ผมจะต้องสังวรระวังให้เป็นที่สุด ผมยกตัวอย่างกรณีเรื่องอาหาร พวกเราคงทราบอยู่แล้วใช่ไหมครับว่าในคติธรรมพุทธศาสนานี่ อาหารมี 4 ประเภท ไอ้ที่เราเป็นตัวเป็นตนเป็นคนอยู่ได้นี่นะครับ ต้องมีอาหาร 4 ประเภทนี้ไปหล่อเลี้ยงนะครับไม่งั้นเราจะอยู่ไม่ได้
อาหารที่ 1 ที่เรียกว่า กวฬิงการาหาร ใช่ไหมครับ อาหารคือข้าวคือน้ำ มันจะไปหล่อเลี้ยงสิ่งที่เรียกว่าร่างกายของเรา สิ่งที่เป็นร่างกายหรือกายภาพของเรานี่ ถ้าเราไม่กินอาหารไม่กินน้ำนี่นะครับ ไม่ต้องไปสงสัยอะไรล่ะครับแป๊บเดียวมันก็ไปแล้วนะ ไม่กินข้าวนี่โอเคอยู่ 2-3 วัน ได้นะครับ แต่ผมไม่ได้กินน้ำสักวันผมหน้ามืดเป็นลมทันทีเลย เพราะฉะนั้นไอ้อาหารส่วนนี้เราต้องมีไม่อย่างงั้นร่างกายเราอยู่ไม่ได้นะครับ
แต่ความเป็นมนุษย์ของเราจริงๆ เราไม่ได้อยู่เพียงแค่กายภาพนะครับ เรามีความรู้สึกเมื่อกี๊นี้พูดไป เราจึงมี เขาเรียกว่า ผัสสาหาร อาหารคือผัสสะที่ไปหล่อเลี้ยงเวทนา ไอ้ตัวผัสสาหารนี่นะครับมันละเอียดขึ้นมาละ คำว่าละเอียดขึ้นมาคือหมายความว่ามันเริ่มมีนามธรรมอะไรแฝงเร้นมากละ ไอ้ตอนที่เราไปกินข้าวกินน้ำมันเห็นกันอยู่นะ เห็นกันอยู่ เช่น เราบอกว่าถ้าไปอีสานอาหารอีสานเป็นยังไง อาหารเหนือเป็นยังไง ซึ่งแน่นอนในอาหารมันก็จะเป็นรูปแบบที่แปลก เช่นปัจจุบันเราไปที่ไหนก็สามารถกินอาหารภูมิภาคต่างๆ แต่แน่นอนนะครับเราย่อมเกิดมีความรู้สึกเลยว่า ถ้าเราไปกินอาหารอีสาน เฮ้ย มันต้องไปกินอาหารแบบนั่งกิน แบบกินเหล้ากินเบียร์ประมาณนี้ ร้านอาหารอีสานมีอยู่ทั่วประเทศไทยนะ แต่ถ้าเราจะบอกไปกินอาหารปักษ์ใต้นี่นะต้องไปกินข้าวราดแกงนะ เพราะไม่มีใครอยากจะกินเบียร์แล้วไปนั่งกินร้านปักษ์ใต้หรอก เพราะร้านปักษ์ใต้มันต้องมีแกงราดข้าวใช่ไหม แต่ถ้าไปร้านอาหารเรานึกถึงลาบใช่ไหม เรานึกถึงไอ้พวกน้ำตกประมาณนี้ใช่ไหม จึงที่เหมาะสำหรับนั่งกินกับแกล้มประมาณนี้ คือคำว่าอาหารนี่ จริงๆ มันอาหารอะนะ แต่มันก็มีอะไรบางอย่างซึ่งมันเป็นเรื่องของ…แต่ผมกำลังพูดให้ฟังว่า ตอนที่ผมปฏิบัติการผมมีความรู้เชิงปรัชญาทฤษฎีเยอะ เพราะผมคิดว่าจะทำยังไงกับชีวิตของผม ชีวิตของผมที่เป็นกายภาพ แน่นอนผมไม่สนใจมันละผมเชื่อว่าผมจะต้องปล่อยมันไป คำว่าไม่สนใจคือว่าหมายความว่า แต่ผมเริ่มให้ความสำคัญ อาหารข้อที่ 1 คือว่า กวฬิงการาหาร ข้าวน้ำเนี่ยผมคิดว่า ผมอยากทดสอบว่าผมจะอดอาหารได้สักเท่าไหร่ อาหารคือผัสสารหารที่ไปหล่อเลี้ยงเวทนานี่ ผมตั้งใจว่าผมจะไม่สนใจตรงนี้ แต่ผมจะรู้เวทนา เพราะเวลาปฏิบัติธรรมเนี่ยนะครับ พวกเราคงทราบใช่ไหมโดยทฤษฎีคือปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน 4 ซึ่งมีเรื่องของกาย เวทนา จิตและธรรม เพราะฉะนั้นไอ้ตัวที่มันเป็นกายนี่นะ ที่มันจะเป็นการหล่อเลี้ยงนี่ ผมจะดูแลมันในความหมายเชิงมิติด้านจิตใจยังไง เวทนาจะเป็นยังไง นี่คืออาหารข้อที่ 2 คือ ผัสสาหาร
อาหารข้อที่ 3 เขาเรียกว่า มโนสัญเจตนาหาร ข้อนี้เราที่เป็นชาวพุทธเกือบไม่ค่อยได้สนใจกันเลยนะ ทั้งที่อาหารประเภทที่ 3 นี่สำคัญมากๆ เพราะเป็นอาหารที่ไปหล่อเลี้ยงตัวเจตนาซึ่งเป็นตัวกระทำกรรม เราไม่เคยใส่ใจสิ่งนี้กันอย่างแท้จริง ตรงนี้เป็นเรื่องที่สำคัญที่ผมเข้าใจว่าพวกเราที่เรียนปรัชญาต้องกลับมาสู่ความสนใจในสิ่งเหล่านี้นะ เพราะว่าสิ่งเหล่านี้มันละเอียดอ่อนและเราปล่อยให้คนที่บริโภคอาหารในส่วนนี้ นึกถึงภาพนะครับอาหารที่เป็นข้าวน้ำนี้มี อย. อย. นี่ก็ไปปั๊มตรา อย. ใช่ไหม เพราะถ้ามีอะไรที่มันไม่ดี ไม่ผ่าน อย. ประมาณนี้อ่ะนะ เออ อย่างน้อยๆ มี อย. ละวะ ถ้าไม่มี อย. กูก็ไม่กินมันประมาณนี้นะครับ เพราะว่ามี อย. ก็แสดงว่าองค์การอาหารและยาให้การรับรองแล้วก็กินได้ แต่อาหารประเภทที่ 2 ผัสสาหาร นี้แน่นอนแม้จะไม่มี อย. แต่มันก็ยังมีเซนส์ของเราเองเนาะที่จะเป็นตัวรับรู้อะไรบางอย่าง แต่พอไปถึงมโนสัญเจตนาหาร คือ อาหารที่ไปหล่อเลี้ยงไอ้ตัวมโนสัญเจตนาที่จะไปทำกรรม หล่อเลี้ยงเจตนาที่เป็นกุศลนี่เราเกือบไม่มีเลยนะตอนนี้ เราไม่สนใจกันเลยนะครับ เราจึงปล่อยให้มีการชักจูงและมีการสร้างสรรค์สิ่งที่เรียกว่าตัวเจตนาที่มันบิดเบือนไปได้มากมาย เมื่อวานเราพูดถึงกรณีที่ว่าอะไรที่เป็นทานที่แท้จริงใช่ไหม แล้วเรามีคำถามว่าถ้าคนคนหนึ่งอยากจะถูกหวย เอ๊ะ วันนี้วันหวยออกเหรอ พรุ่งนี้ และบอกว่าถ้าอย่างนั้นจะมาทำบุญตักบาตรพระพรุ่งนี้เช้า อยากทำบุญเพราะหวังถูกหวยเนี่ยเป็นทานไหมถ้าเป็นอย่างนี้ เออ มันก็น่าคิดแล้วนะ เพราะนี่มันเป็นเรื่องมโนสัญเจตนาหารแล้วนะถ้าเป็นอย่างนี้ เพราะว่ามาทำบุญ ทำบุญเอาอาหารมาถวายพระในวันพรุ่งนี้ตอนเช้าแล้วหวังว่าตอนบ่ายๆ จะโชคดี ถ้าเป็นอย่างนี้ในความหมายแบบนี้ เราก็มีข้อวินิจฉัยได้แล้วใช่ไหม ว่ามันเริ่มจะไม่ใช่เป็นทานในความหมายที่เหมาะสมแล้ว เพราะคำว่าทานคือจิตของเราที่ จริงๆ ไม่ได้เมตตาสงสารพระ ไม่ได้คิดอยากเกื้อหนุนอุดหนุนพระศาสนาอะไรหรอก หวังว่าจะถูกหวยมีสิ่งแลกเปลี่ยน ซึ่งตรงนี้เป็นรายละเอียดที่ผมเข้าใจว่าทุกท่านจะต้องให้ความสำคัญนะครับ เมื่อตอนที่ผมเดินทางนี่ ผมจึงบอกว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในชีวิตผม ไอ้ตัวมโนสัญเจตนาหารนี่ผมจะต้องดูแลประคับประคองไปที่สุด
แต่ที่ลึกที่สุดและยากที่สุดเลยนะครับ คือ วิญญาณาหาร อาหารคือวิญญาณที่จะไปรับรู้นามรูปซึ่งละเอียดอ่อนที่สุด เป็นอาหารที่ละเอียดอ่อนที่สุด และตรงนี้นะครับคือความหมายลึกซึ้งที่เราพูดเมื่อตะกี้ที่ผมพูดถึงการที่เรามีชีวิตอยู่และการที่เราสามารถกำหนดรู้ถึงเรื่อง Subject Object ได้ เราสามารถที่จะหล่อเลี้ยงสภาวะของการมีชีวิตอยู่ในความหมายเพื่อการรู้แจ้งได้ ซึ่งประเด็นเหล่านี้เป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อน แต่นำมากล่าวไว้ในตรงนี้เพียงเพื่อจะบอกว่า กระบวนการเรียนรู้ทางปรัชญาถ้าเรามีความละเอียดอ่อนในส่วนเหล่านี้ เราจะเข้าใจนะครับ และเวลาเข้าใจสิ่งเหล่านี้เราก็จะสามารถเติมเต็มส่วนที่มันพร่องไปได้ เพราะฉะนั้นกระบวนการที่ผมพูดเมื่อวานว่า อยากจะพูดกันตรงๆ อยากใช้ภาษาชาวบ้านว่า อยากจะยุให้ท่านนี่นะ ทำวิทยานิพนธ์หรือทำวิจัย แล้วก็ทำยังไงให้วิจัยต้องมีเป้าหมายทิศทาง เพื่อที่จะนำไปสู่กระบวนการที่เราจะมีชุดความรู้ที่มันจะเป็นอาหารหล่อเลี้ยงชุมชนสังคม ปลุกฟื้นอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ และสิ่งเหล่านี้นะครับ ผมเข้าใจว่านี่คือสิ่งที่มันเป็นหน้าที่ ผมเรียกว่าเป็นหน้าที่นะ เป็นความรับผิดชอบที่เราจะต้องกระทำสิ่งเหล่านี้ครับ