แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พอกราบเสร็จ พนมมืออยู่เพื่อระลึกขอบพระคุณพระฑากิณีที่นำผมมา ตั้งแต่นำผมออกมาจากการอยู่ในชีวิตของการเป็นครูสอนวิชาพุทธศาสนา แต่มีสิ่งหนึ่งที่มีความรู้สึกว่า แล้วผมจะขออะไรจากท่าน ตอนที่ผมนั่งคุกเข่าอยู่นะ ด้านหลังผมเป็นน้องผู้ชายคนหนึ่ง ที่เขาเดินทางกับผมมานานมากแล้ว ขอโทษต้องเล่าเรื่องน้องคนนี้หน่อยเพื่อจะให้มีความหมายนะครับ
น้องคนนี้เขาเป็นชายหนุ่มที่น่ารักมาก เขาจบการศึกษาชั้นปริญญาตรีแล้ว ก็ไปบวชเป็นพระภิกษุอยู่กับพระอาจารย์ไพศาลที่วัดป่าสุคะโต เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อคำเขียน ช่วงปีที่เขาบวชอยู่นั้น เขาก็ได้อ่านหนังสือของผม แล้วเขามารู้ว่าผมกำลังมีกำหนดการจะเดินสู่สันติปัตตานี ที่จะเดินไปสู่ 3 จังหวัดภาคใต้ เขามีความปรารถนาอยากจะไปเดินกับผม เขาจึงลาสิกขาเลยนะครับ เขามาพบผมขณะที่ผมเขายังสั้นๆ อยู่เลย แล้วก็บอกว่าผมอยากมาเดิน ผมบอกเดินสิ ใครจะเดินก็เดินด้วยกัน ไม่ต้องขออนุญาตผม เดินได้เลย แล้วเขาก็เดินไปปัตตานีกับผม หลังจากเสร็จจากเดินไปสู่ปัตตานีเสร็จแล้วยังไปเดินที่อื่นอีก เช่น เดินตามสายน้ำจากเชียงดาวชายแดนไทย-พม่า ต้นแม่น้ำปิงจนมาถึงปากน้ำสมุทรปราการอย่างนี้นะครับ เดินไปเดินมาทั่วเลยนะครับ หลังจากนั้นก็เดินตลอดนะครับ
ผมจำได้ว่าเมื่อเดินมานานพอสมควร วันหนึ่งเราไปเดินขึ้นอินทนนท์กัน เมื่อไปถึงยอดดอยอินทนนท์แล้ว เรานั่งพักเหนื่อยกันเนี่ย เขามาปรารภกับผมด้วยคำถามว่า ผมมีเรื่องที่อยากจะปรึกษาอาจารย์ ผมบอกมีเรื่องอะไร เขาบอกผมมีปัญหาที่ขอให้อาจารย์อยากให้อาจารย์ช่วยให้คำแนะนำ เขาบอกว่าเขามีปัญหากับครอบครัว คุณแม่ของเขาซึ่งเป็นครอบครัวชาวจีนเนี่ยนะครับ ซึ่งมีครอบครัวที่มีธุรกิจเป็นของครอบครัวนะครับ เขาบอกแม่ไม่ค่อยสบายใจที่ผมมาใช้ชีวิตแบบนี้ แม่ยังถามผมเลยว่า อาจารย์ประมวลจะเดินไปอีกนานมั้ย? คือแทนที่จะถามว่าลูกจะไปเดินอีกนานมั้ย? ก็จะถามว่าอาจารย์ประมวลยังเดินอีกนานมั้ย? เพราะถ้าอาจารย์ประมวลยังเดิน แสดงว่าเขาคงต้องเดินไปเรื่อยๆ แล้วเมื่อไหร่จะหยุดเดินสักทีล่ะมั้งครับ
เขาก็รู้ว่าคำถามของแม่นี่เป็นคำถามเชิงประชดนะครับ แล้วเขาก็ว่ารู้สิ่งที่เขาเกิดขึ้นในใจเขาจะทำอย่างไรดี เขาจึงขอปรึกษาผม ผมก็บอกกับเขาด้วยความรู้สึกสัตย์ตรงว่า ผมบอกว่าจริงๆ แล้วผมไม่มีความสามารถจะให้คำแนะนำใครได้ แต่ถ้าในความหมายของผม ไม่มีการเดินทางแสวงบุญที่ไหนจะศักดิ์สิทธิ์เท่ากับการเดินทางกลับไปหาแม่ ไม่มีพระอริยเจ้าที่ไหนที่จะศักดิ์สิทธิ์สูงส่งเท่ากับบุคคลผู้ให้กำเนิดเรา ถ้าในความรู้สึกของผม เดินกลับไปอยู่กับแม่ ไปหาแม่ นั้นคือสิ่งที่วิเศษที่สุด ประเสริฐที่สุด ผมก็ไม่รู้ว่าเขาจะทำตามหรือไม่ทำตาม แต่หลังจากนั้นมาเขาก็ไม่ไปเดินกับผมอีกเลย
เมื่อผมจะมีกำหนดการไปเดินจาริกรอบภูเขาไกรลาส เขากลับมาหาผม หลังจากที่เขาหยุดการเดินไปช่วงระยะหนึ่งแล้ว แล้วเขามาเล่าให้ผมฟัง ด้วยความรู้สึกที่ผมเข้าใจว่าเขาเล่าในสิ่งที่ตื้นตัน จริงๆ เหมือนกับเขาจะมาบอกว่าผม เขาจะไปทิเบตกับผม แต่เรื่องก่อนจะบอก เขาบอกว่า ผมกลับไปอยู่กับแม่ เขาเล่าด้วยความหมายที่สำคัญด้วยนะครับ เขาบอกผมไปอยู่กับแม่จนผมติดละครช่อง 7 สีเลยนะอาจารย์ ก็คือหมายความว่า ผมบอกเขาว่าแม่ทำอะไรก็โปรดทำสิ่งนั้น ทำประหนึ่งว่าแม่มีความรู้สึกอะไร ก็ให้เรามีความรู้สึกแบบนั้น แล้วเราจะรู้ความหมายของชีวิต ทีนี้เมื่อแม่เขาดูละครหลังข่าวเขาก็ดูด้วย เขาบอกบางวันแม่ไปอยู่ข้างนอก เขาบอกแม่กลับบ้านได้แล้ว เดี๋ยวละครจะมาแล้วอะไรประมาณนี้นะครับ แล้วก็บอกให้ผมฟังว่าวันหนึ่งขณะดูละครจบแล้ว จะแยกย้ายกลับไปนอนเนี่ยนะครับ แม่ก็ถามคำถามกับเขาว่า “อาจารย์ประมวลยังเดินอยู่มั้ย?” เขาก็บอกว่า “ก็อาจารย์ก็เดินไปเรื่อยๆ ล่ะแม่” แล้วแม่ก็ถามว่า “แล้วอาจารย์เขาจะไปเดินที่ไหนอีก?” เขาก็เลยบอกว่า “อาจารย์ก็มีกำหนดการจะไปเดินรอบภูเขาไกรลาส” แม่เลยจึงถามลูกชายว่า “แล้วเติ้ลอยากไปเดินกับอาจารย์มั้ย?” เขาบอกว่า “ทิเบตมันไกลนะแม่ ถ้าไปต้องจ่ายเงิน” แม่ถามว่า “เท่าไหร่?” เขาก็บอกว่า “ต้องจ่ายเงินแสนสองหมื่น” แม่บอก “ไปสิ แม่จะออกเงินให้”
คำพูดที่แม่พูด ทำให้เขารีบมาหาผม ผมเข้าใจว่าเขาไม่ได้ดีใจที่จะได้ไปทิเบตกับผมหรอก แต่เขามีความรู้สึกอะไรบางอย่างที่ผมเข้าใจว่ามันลึกซึ้งเกินกว่าที่จะพูด และสุดท้ายเขาก็ได้เดินทางกับผมในทิเบต เพราะฉะนั้นตอนที่เขายืนอยู่ด้านหลังผมเมื่อผมคุกเข่าลงที่รอยบาทพระฑากิณี ผมคิดถึงเขา ผมคิดถึงเขา ผมคิดถึงคนหนุ่มคนหนึ่ง จริงๆ ก็ไม่ใช่เขาคนเดียวนะ ในชีวิตของผมออกจากราชการมาสู่การเดินทางแบบนี้ มีคนจำนวนหนึ่งมาเดินกับผมเป็นคนหนุ่มสาว ก่อนผมจะไปทิเบต ผมไปเดินรอบเกาะสมุยด้วยความรู้สึกว่าถ้าผมจะต้องจบชีวิต ความปรารถนาที่จะเดินรอบเกาะจะไม่ได้ค้างคาอยู่ในใจ ผมเลยจึงไปเดินรอบเกาะหนึ่งรอบก่อนจะไปทิเบตเพื่อคาราวะแผ่นดินเกิด
ช่วงที่ผมไปเดินที่เกาะสมุย วันหนึ่งก็มีน้องผู้หญิงคนหนึ่งเขาโผล่หน้าไป แล้วก็บอก “หนูจะมาเดินกับอาจารย์” ผมบอก “แล้วมายังไง ไม่ทำงานหรือ?” เขาบอก “หนูลาออกจากงานมาแล้ว” “อ้าว แล้วลาออกทำไม?” “ไม่รู้หนูอยากมาเดินกับอาจารย์” เขาทำงานที่กรมประชาสัมพันธ์ ผมก็รู้สึกเสียใจเป็นที่สุดที่น้องผู้หญิงคนหนึ่ง อุตส่าห์เรียนจบมาอย่างดี ไปทำงานที่กรมประชาสัมพันธ์เป็นข้าราชการ แล้ววันหนึ่งก็ลาออก แล้วผมถามว่า “แล้วได้แจ้งให้คุณพ่อคุณแม่ทราบมั้ย?” “หนูโทรศัพท์ไปแจ้งแล้ว” “พ่อกับแม่ว่ายังไง?” “หนูก็ไม่รู้เพราะหนูวางสายเมื่อแจ้งเสร็จ”
ผมก็รู้สึกมีคนเหล่านี้ เขาอ้างว่าเขาจะมาเดินกับผม เพราะฉะนั้นตอนที่ผมนั่งคุกเข่าลง ผมจึงตั้งจิตปรารถนาว่า หากแม้พระฑากิณีมีอะไรที่เป็นพรอันวิเศษ ผมไม่ปรารถนาอะไรอีกแล้ว แต่ขอได้โปรดมอบอันพรวิเศษนั้นให้กับคนหนุ่มสาวที่เขาเดินตามผมมาด้วยเทอญ
ผมไม่มีจิตปรารถนาที่จะให้ใครเดินตาม แต่เมื่อเขาเหล่านั้นเดินตามมาด้วยความคาดหวังว่าเขาจะมีอะไรบางสิ่งบางอย่างที่จะได้จากการเดินตามผม ผมปรารถนาให้มีพรให้เกิดขึ้น และผมจะมอบพรเหล่านั้นให้กับคนหนุ่มสาวเหล่านั้น นี่คือคำจะเรียกว่าคำปรารถนาก็ไม่เชิงเพราะผมไม่ได้พูด เป็นความรู้สึกอยู่ในภายใน ผมพยายามแปลความรู้สึกนี้มาเป็นถ้อยคำเท่านั้นเอง