แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เสียงคุณผู้หญิง : ฟังอาจารย์แล้วรู้สึกว่าเวลาทำไปถึงการปฏิบัติน่ะค่ะ มันจะมีแนวทางยังไงรึเปล่าคะสำหรับความเมตตากรุณาที่อาจารย์บอกว่าหลอมตัวเรากับผู้อื่นอย่างไร้ขอบเขต ไม่มีพรมแดนต่อกัน เอาเข้าจริงๆแล้ว ความรักเหมือนการปฏิบัติแบบมารดาปฏิบัติต่อบุตร เราสามารถใช้ได้กับเพื่อนเราทุกๆคนรึเปล่า บางครั้งมันจะเกิดความอึดอัดคับข้องไหม หรืออย่างในกรณีอาจารย์ยกตัวอย่างว่า กระเป๋ารถเมล์มาแนะนำอาจารย์ว่าการที่ช่วยเหลือเกื้อกูลใคร จนทำให้เค้าอึดอัดรึเปล่าอะไร คือความเหมาะสม อันนี้เราควรจะต้องใช้ต้องรับมืออย่างไร ขอบพระคุณค่ะ
เสียงอาจารย์ : อันนี้ตอบไม่ยาวอ่ะครับ ถามว่าแล้วแม่ไปส่งลูกเข้าโรงเรียนอนุบาลวันแรกอ่ะครับ เคยเห็นภาพนี้ไหมครับ แม่ที่ไปส่งลูกเข้าโรงเรียนอนุบาลวันแรก เมื่อส่งลูกถึงมือคุณครูแล้ว ลูกร้องไห้เพราะไม่อยากจากแม่ แม่ไม่กล้าร้องไห้แต่จริงๆก็ไม่อยากจากลูก จึงไปแอบยืนในจุดที่ลูกมองไม่เห็น แอบยืนดู แอบยืนดูว่าลูกของเราเป็นอย่างไร นี่เป็นภาพที่พวกเราแต่ละคน ทุกคน แม้จะเห็นเองถึงแม้เราไม่ทำ แต่นี่คือความเป็นจริง เป็นห่วง คิดถึงลูก เมื่อลูกออกไปจากอ้อมอกของตัวเองแล้วจะเป็นเช่นไร แต่แม่ก็รู้ดี ว่านี่คือการกระทำที่จะทำให้ลูกเจริญงอกงาม เติบโต แม่จึงยอมที่จะปล่อยให้ลูกไปอยู่ในมือคุณครู แม้คุณครูจูงลูกที่ร้องไห้เพราะไม่อยากจากแม่ แม่ก็ปลงใจที่จะไม่ไปขัดขวาง แม่ก็ปลงใจที่จะไม่ทำในสิ่งที่ทำให้กระบวนการเรียนรู้ของลูกสะดุดลง แม่จึงไปแอบยืนดูลูกในที่ใดมุมหนึ่งที่ลูกจะมองไม่เห็น ผมจึงเข้าใจว่าแม่ที่ไปยืนแอบดูลูกอยู่ในจุดใดจุดหนึ่งที่ลูกมองไม่เห็นนั้นคือความหมายที่มหัศจรรย์ ลองนำภาพนี้มาใช้กับเราที่ปฏิบัติกับเพื่อนเราทุกคนดูซิครับ บางครั้งเราก็ต้องแอบดูในจุดที่เค้าก็มองไม่เห็นเราหรอก ไม่ได้ต้องไปยืนเผชิญหน้ากันอยู่แล้วบอกว่าฉันรักเธอ แต่กลับยืนแอบดูเค้า แอบดูเค้าเหมือนกับแม่ที่แอบดูลูก และผมเข้าใจว่านั่นคือความหมายที่มหัศจรรย์มาก คำพูดที่ว่าประดุจดังมารดาปฏิบัติต่อบุตร ก็ยังงดงามอยู่เหมือนเดิม ประดุจดังแม่ที่ไปยืนแอบดูลูก ที่ถูกครูดึงลากไปเข้าห้องเรียน ขณะที่เด็กก็ร้องไห้ด้วยความรู้สึกที่มันหมั่นไหว หวาดกลัว ต้องพลัดพรากจากแม่ไปนะครับ ซึ่งแน่นอนนะครับคุณแม่ทุกคนเชื่อมั่นเลยนะครับ วันหนึ่งมันก็จะดีใจโบกมือบ๊ายบายลาแม่ แล้วพอสุดท้ายที่วันนึงยามที่แม่ชรา แม่ก็นั่งรออยู่เมื่อไหร่ลูกจะมาแน่ ลูกลืมไปเลยนะครับ ไม่กลับมาหาแม่ แต่แม่ก็มีความรู้สึกที่ดีกับลูกอยู่เสมอ ผมเข้าใจว่านี่คือความหมายที่เป็นจริงกับเราทุกคนนะครับ ทำให้เหมือนกับประหนึ่งว่าเรากำลังทำคล้ายๆแบบนี้นะครับ เพื่อนมนุษย์กับคนใดคนนึง ซึ่งวันหนึ่งเราอาจจะต้องทำแบบนี้ ทำแบบนี้ในความหมายซึ่งยืนแอบดูเค้า ด้วยความหมายคล้ายๆกับแม่แอบดูลูกนะครับ
เสียงคุณผู้หญิง : เห็นภาพเลยค่ะ เพราะว่าพระอาจารย์ตอบคำว่าอุเบกขาแล้วเลย
เสียงอาจารย์ : ยังไม่ได้อธิบายเลย
เสียงคุณผู้หญิง : คำถามเรื่องอุเบกขา อาจารย์ยกตัวอย่างเรื่องแม่แอบดูลูก ย้อนเห็นภาพเลยค่ะว่าเราทำความกรุณาก็ ก็มีจุดที่จุดยืนดูอยู่เหมือนกันนะคะ เพราะว่ามีคำถามในลักษณะที่บอกว่า ถ้าเราอุเบกขา เราจะถูกมองว่าไม่มีน้ำใจรึเปล่า ไม่มีกรุณารึเปล่า อะไรอย่างนี้ค่ะ
เสียงอาจารย์ : ผมตอบไปแล้ว
เสียงคุณผู้หญิง : ตอบไปแล้ว
เสียงอาจารย์ : ตอนที่แม่แอบดูลูกน่ะแหละครับ คืออยู่ในอุเบกขาธรรม อุเบกขาธรรมก็คือจะไม่เอาสิ่งที่เป็นตัวแม่เข้าไปขัดขวางสิ่งที่มันเป็นกระบวนการหรือสายธารของชีวิตอีกชีวิตนึงที่ต้องเติบโตเป็นไป นี้เป็นความหมายของลูก หรือแม้กระทั่งบางครั้งนะครับ แม่ก็ต้องวางอุเบกขาในความหมายที่ทำให้เกิดความรู้สึกที่ก่อให้เกิดความสำคัญการเจริญงอกงามเติบโต การอะไรหลายๆอย่างครับผม อาจารย์จะตีความหมายที่สำคัญ เพราะฉะนั้นในชุดของสิ่งที่เราจะพูดถึง เมตตา กรุณา มุทิตา จึงมีอุเบกขาเป็นประเด็นเป็นสภาวะที่มันคล้าย ที่ตรงกัน ไม่เชิงคล้ายหรือตรงนะครับแต่หมายความต้องเป็นสภาวะที่ทั้งสี่สภาวะมันปรากฏอยู่ด้วยกัน ด้วยสภาวะที่ปรากฏอยู่ด้วยกัน มันเป็นความหมายว่าเนี่ยเป็นพรหมวิหารธรรม และพรหมวิหารธรรมเนี่ยนะครับเป็นความหมายที่ประเสริฐมากนะครับที่ความหมายนี้นะครับ จะต้องเป็นที่อยู่ของเรา ที่อยู่ของเรา พรหมวิหารธรรม และเมื่อจิตสถิตอยู่ในพรหมวิหารธรรมแล้วนะครับความหมายนี้จะชัดแจ้งโดยทันที