แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พอเป็นระหว่างแม่กับลูกปุ๊บเนี่ยนะครับ มันเลยกลายมาเป็นความหมายที่มัน มันไม่มีพรมแดน อธิบายยากหน่อย ผม ผมชอบเล่าเรื่องนี้ แล้วเล่าหลายที่ เล่าซ้ำก็ไม่เป็นไร ถือว่าฟังเพลง ภาพนั้นที่ผมถือว่าเป็นภาพที่งดงามที่ผมไม่เคยลืมเลย เป็นภาพที่เกิดขึ้นในสมัยที่ผมยังเป็นครูสอนปรัชญาอยู่ในมหาวิทยาลัย แล้ววันหนึ่งผมมีความจำเป็นที่จะต้องส่งของทางรถทัวร์ ทีนี้พอส่งของทางรถทัวร์เนี่ย เค้าก็ให้เราใส่กล่องกระดาษ ผมขับรถออกมาจากบ้านแล้วก็หากล่องกระดาษให้ได้ ก็รู้ด้วยตัวประสบการณ์ว่ามีร้านขายกล่องกระดาษที่เชียงใหม่นะ ผมเอ่ยชื่อก็ได้ อยู่หน้าสุสานหายยา ซึ่งเป็นสุสานของเทศบาลนครเชียงใหม่ ก็ขับรถไปที่นั่น แต่บังเอิญว่าช่วงนั้นมันมีปัญหาอยู่ในเมืองเชียงใหม่ คือเชียงใหม่เอาขยะไปทิ้งที่ไหนก็ไม่มีใครอยากให้ทิ้ง เทศบาลซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่หลักเอาขยะไปทิ้ง ก็หาที่ทิ้งไม่ได้ ก็เลยไปพักขยะไว้ที่สุสานหายยาเนี่ย แล้วกลิ่นเหม็นมาก เหม็น เพราะสุสานที่เป็นที่สำหรับที่ทิ้งขยะเนี่ยครับเต็มไปด้วยขยะ
ร้านที่ผมต้องการจะไปซื้อกล่องกระดาษอยู่หน้าสุสานบนถนนนี้ ผมจำได้ว่า ผมไปจอดรถเลยร้านไป เพราะหน้าร้านไม่มีที่จอด จอดรถไปไกลแล้วผมต้องเดินย้อนกลับมา ขณะที่ผมเดินย้อนกลับมาเนี่ย ฟุตบาธแคบ ผมเดินสวนกับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งแต่งตัวแบบ ขอโทษนะครับ ใช้คำว่าสกปรกก็ได้ คือแต่งตัวโทรมมากเลย ผมก็เลยคิดว่าผู้หญิงคนนี้น่าจะไปเที่ยวหาเก็บอะไรขยะที่จะเอาไปขายให้มีรายได้ เมื่อผมเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินมา ผมก็คิดว่าผมควรจะหลีก เพราะว่าเค้าเดินมา ผมก็เลยหลีกเข้าไปในพื้นที่ มีพื้นที่ให้ผมอยู่ ภาพที่ผู้หญิงคนนี้ซึ่งเดินไปบนฟุตบาธเพราะผมหลีกให้แล้ว เป็นภาพที่ผมจำตราตรึงจนถึงวันนี้ ผู้หญิงคนนี้ที่แต่งตัวไม่ค่อยสะอาดเท่าที่ควรเนี่ยอุ้มเด็ก ซึ่งคิดว่าเป็นลูกของเธอ ซึ่งตัวเล็กมากเลยเป็นเด็กน้อยแบบเด็กทารกที่อยู่ในวงแขนของเธอ
ขณะที่ผมเห็นภาพ คืออะไรรู้มั้ยครับ เนื่องจากตรงนั้นเหม็นมาก ๆ เพราะมีกลิ่นขยะจากในสุสานโชยออกมา ขณะที่ผมยืนยังต้องเอามือปิดจมูกเลย เพราะมันจะช่วยบรรเทาอาการกลิ่นเหม็นได้ ผู้หญิงคนนี้อุ้มลูกมาในวงแขน มือขวาเนี่ยเค้าใช้เพื่อประคองลูกที่อยู่ในวงแขน มือซ้ายทำอะไรรู้มั้ยครับ เอาไปปิดจมูกลูก ภาพที่ปรากฏต่อสายตาของผม ขณะที่ผมยืนอยู่ ณ ที่นั้น เป็นภาพที่ผมยืนนิ่งอยู่ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูกเลย มันเป็นภาพที่งดงามที่สุดภาพหนึ่งที่ทำให้ผมเกิดความรู้สึกขึ้นมาได้ อันนี้คือความหมายที่มหัศจรรย์มาก ผู้หญิงคนนี้เธอมีประสาทสัมผัส จมูกรู้ว่ากลิ่นเหม็น เธอรู้ว่ากลิ่นนี้ไม่พึงปรารถนา ทุกคนเดินไปก็ปิดจมูกไป แต่เธอมีมือว่างอยู่เพียงที่จะทำได้จะปิดจมูกตัวเองก็ได้ แต่เธอรู้สึกว่าถ้าเธอไม่ปรารถนากลิ่นนั้น ลูกของเธอก็ไม่ปรารถนาเหมือนกัน และเด็กก็ไม่มีความสามารถที่จะปิดจมูกตัวเองได้ เธอจึงเอามือที่มีเหลืออยู่เนี่ยไปปิดจมูกลูก ผู้หญิงคนนี้เดินผ่านไปตั้งนานแล้ว ผมลืมไปเลยครับ ผมจะไปซื้อกล่องกระดาษ ผมลืมไปเลย
ภาพนั้นทำให้ผมกลับไปคณะ แล้วก็เป็นเรื่องยาวทีนี้ ผมไปบอกน้องที่ทำงานฝ่ายการเจ้าหน้าที่บอกว่า ช่วยหาเหตุให้ผมลางานให้นานที่สุดเท่าที่จะไปหาข้อมูลให้ผมหน่อย เค้าถามผมว่าจะไปทำอะไร ผมบอกผมจะทำงานวิชาการ เค้าบอกไม่ต้องไปหาหรอก อาจารย์ก็ลาไปทำงานวิชาการ มีสิทธิลาได้หนึ่งปี ผมบอกเรอะ ไหนช่วยเอาแบบฟอร์มให้ผม ผมจะลาทำงานวิชาการนะครับ แล้วผมก็ทำเรื่องลาในวันนั้นเลยครับ วิชาการอะไรยังไม่รู้เลย เป็นความผิดจนถึงปัจจุบันนี้นะครับ ท่านจะกลับมาสอบสวนผมเพื่อยึดคืนเงินบำเหน็จบำนาญอะไรก็ตาม ผมลางานเพื่อกลับไปอยู่กับแม่ของผมที่เกาะสมุย ไม่มีอะไรเป็นเชิงเหตุผล มีแต่ความรู้สึก ความรู้สึกซึ่งปรากฏในใจของผมผ่านการเห็นภาพของผู้หญิงคนหนึ่งที่อุ้มลูกไปพร้อมกับเอามือปิดจมูกลูก ความหมายที่เรากำลังพูดถึงนี้คือความหมายของคำว่าตัวเองและผู้อื่น เมื่อเราพูดถึงสิ่งที่เรียกว่าเมตตาธรรม การุณยธรรม สิ่งที่มันเป็นความหมาย ที่มาถึงจุดๆ หนึ่ง เราจะไม่มีสิ่งที่เรียกว่าตัวเองและผู้อื่นอีกเลย มันมีแต่ความหมายที่จะเอามาเป็นพรมแดนที่ทำให้มันเกิดผู้อื่น เหมือนกับห้องนี้นะครับ ถ้าเราเปิดม่านข้างหลังนะ ก็จะเป็นห้องเดียวกัน ไม่มีห้องนี้หรือห้องโน้น มีแต่ห้องนี้ห้องเดียว แต่บังเอิญว่าเค้าปิดห้องไว้นะครับ ทั้งที่จริง ๆ ตรงนี้นะครับ ก็เป็นฝาห้องเหมือนกันนะ ถ้าเกิดเราปิดตรงนี้ปุ๊บ ผมก็จะนั่งอยู่ในห้องนี้ ท่านจะนั่งอยู่ห้องโน้นนะครับ คนละห้องกันนะครับ แต่เพราะไม่มีฉากกั้น ไม่มีพรมแดนกั้นตรงนี้ เราจึงมาอยู่ในห้องเดียวกัน
อัปปมัญญาธรรม ที่เรามาพูดถึง เมตตา และกรุณาเนี่ย คือความหมายนี้ครับ ตอนที่เรายังมีสิ่งนี้นะครับ แต่ยังไม่สมบูรณ์พอ สิ่งนี้ก็ยังมีความหมายอยู่บนรากของความคิดถึง คำนึงถึงตัวเราเอง และคิดถึงคำนึงถึงผู้อื่น แต่เมื่อเรามีสิ่งนี้คือเมตตาธรรม การุณยธรรมที่เราพูดถึงเยอะมากพอแล้วเนี่ยครับ พรมแดนที่ว่านี้จะสลายไป พอสลายไปแล้วเนี่ยครับ มันจะกลับมาเป็นธรรม มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยครับ ที่เรามีบุคคลซึ่งเป็นบุคคลในตำนานในประวัติศาสตร์ที่ยอมสละทุกสิ่งทุกอย่างอันเป็นความหมายส่วนตัว แล้วเราก็ ถามว่าทำได้ยังไง ถ้าไปถามบุคคลผู้นั้น นึกถึงภาพสิ เราไปถามคุณแม่เทเรซ่าที่กัลกัตตา ว่าท่านทำได้ยังไงอ่ะ ท่านว่ามันแค่ความคิดไง ท่านไม่ใช่คนอินเดีย ท่านไปอยู่กับคนอินเดียได้ยังไง ท่านมาอยู่ตลอดทั้งชีวิตของท่าน แล้วท่านไม่ได้อยู่กับคนอินเดียที่มีความสะดวกสบาย ท่านอยู่กับผู้หญิงซึ่งเต็มไปด้วยปัญหา ท่านอยู่กับเด็กกำพร้า แต่ความหมายท่าน ไม่ได้มีตัวท่านและมีผู้หญิงเหล่านั้น แต่มันมีสิ่งหนึ่งซึ่งมันยิ่งใหญ่มาก และความหมายแบบนี้นะครับ ปรากฏอยู่ทั่วไป ไม่จำกัดว่าศาสนาใดศาสนาหนึ่ง
บุคคลคนหนึ่งเมื่อไปถึงจุด ๆ หนึ่งแล้วเนี่ย จะเข้าถึงความหมายนี้ สิ่งที่กำลังพูดถึงนี้ กำลังพูดถึงสิ่งที่จะใช้เพื่อตรวจสอบตัวเราเองนะ เพราะถ้าเรายังมีสิ่งที่เรียกว่า เมตตา กรุณา แล้วยังคิดถึงคนอื่น ผู้พูดเองยังคิดแบบนั้น แสดงว่ายังเป็นแค่ช่องทางเล็กๆ ไม่ก็เรากระโดดข้ามยังได้เลย นึกถึงภาพว่าเราสวมรองเท้าไปใช่มั้ย แม่น้ำปิงที่ผมพูดถึงเนี่ย ถ้าเราไม่อยากถอดรองเท้าแล้วเราจะข้ามจากฝั่งนี้ไปถึงฝั่งโน้นโดยไม่ต้องถอดรองเท้า ก็คือคร่อมได้อ่ะ แต่แม่น้ำสายนั้นมาถึงที่กรุงเทพเนี่ย ใครจะคร่อมได้อ่ะ ใครคร่อมได้ก็ยักษ์วัดโพธิ์ยักษ์วัดแจ้ง แต่ความหมายก็คือลำธารที่มันหลั่งออกมาจากใจของเรา ถ้ามันใหญ่และกว้างพอ มันจะกลับมาเป็นไม่มีเราและจะมีผู้อื่น ไม่มีตัวเองและไม่มีคนอื่น แต่ตอนนี้ถ้าเรายืนอยู่ก็จะเป็นคำถามว่า เราควรจะเมตตา แต่ที่สำคัญ ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ว่าตัวเราหรือตัวผู้อื่น มันมีหลายสถานการณ์นะที่เราจะคิดถึงสิ่งนี้
แต่ท่านกลับมาเถอะครับสุดท้ายเมื่อกลับมาถึงจุด ๆ หนึ่งเนี่ยนะครับ เราจะมีความหมาย 2 สิ่งนะครับ คือ เมตตาธรรม เพื่อจะทำให้ผู้อื่นไม่ใช่ผู้อื่น และที่สำคัญคือตัวเราเองก็ไม่ใช่ตัวเราเอง ซึ่งตรงนี้เป็นรายละเอียดที่ค่อนข้างจะชัดเจนสำหรับคนที่อยู่ในเงื่อนไข เช่น ผมยกตัวอย่างกรณีแม่เนี่ยครับ งั้นกรณีแม่ก็เลยไม่ใช่เรื่องแปลก ในหลาย ๆ กรณี นะครับ ผมไปเจอคนน่าสะเทือนใจเป็นที่สุด ที่ทัณฑสถานหญิงที่เขาบิน จังหวัดราชบุรี ผมไปเจอคุณยายท่านหนึ่งถูกจองจำอยู่ที่นั่น ถามว่า ติดมากี่ปีแล้ว ก็บอกท่านก็ไม่ตอบมาว่ากี่ปี โห นานมาก น่าสงสารมาก แม่ทำความผิดอะไรถึงมาอยู่ที่นี่ ท่านบอกแม่ไม่ได้ทำอะไร ไม่ได้ทำผิดอะไรแล้วทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ บอกว่าลูกทำ อ้าวลูกทำ ถ้าติดคดียาเสพติด พอติดคดียาเสพติดเนี่ยนะครับ แล้วปรากฏว่าหลักฐานมันเจอว่าที่บ้านมียาเสพติด ท่านก็เลยรับสารภาพ เพราะท่านมีเหตุผลบอกว่า ลูกมันต้องเลี้ยงดูหลาน ต้องทำงาน แม่ก็เลยมาติดแทน โอ๊ะ ติดแทน ท่านก็เลยสารภาพว่าท่านนี่ล่ะ เป็นของท่านเอง แล้วที่สำคัญผมก็เข้าใจว่าเค้าก็มีความไม่รอบคอบในอะไรหลายอย่าง แล้วอีกอย่างหนึ่ง กระบวนการเมื่อมีคนสารภาพว่าเป็นบ้านของตัวเอง เมื่อมีวัตถุต้องห้ามผิดกฎหมาย มันสารภาพมันก็จบ หาคนผิดได้แล้วใช่มั้ยครับ แต่ความหมายก็คือ ท่านยอมที่จะไปอยู่ในพื้นที่ถูกจำกัด ท่านรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ ที่ท่านไม่อยากให้ลูกของท่านต้องมาอยู่ในที่นี้
ความรู้สึกแบบนี้ผมเข้าใจว่า มันข้ามพ้นพรมแดนของตัวเองและผู้อื่น ถามว่าท่านไม่เมตตาตัวเองอย่างนี้ ผมว่านี่มันไม่ใช่เมตตาหรือไม่เมตตา มันมีความหมายว่าสิ่งที่มันเป็นผลที่เกิดขึ้นนั้นนะครับ ท่านมีความสามารถที่จะแบกรับ ท่านมีความสามารถที่จะรับได้ ดีกว่าที่จะให้อีกคนหนึ่งรับไว้ ทีนี้ความหมายแบบนี้ครับเป็นความหมายที่ถ้าจะพูดกันในเชิงภาษาที่ไม่ได้ต้องการพูดถึงตัวเองและผู้อื่น นี่คือสภาวะที่มีอยู่ในใจ แต่เราอยู่ในสถานการณ์บางทีมันก็มีตัวเราและผู้อื่นอยู่ด้วยที่ทำให้เราต้องตัดสินใจ ในกรณีอย่างนั้นผมเข้าใจว่า เราจะต้องใช้คำพูดว่า เราควรจะเมตตาตัวเองหรือเมตตาผู้อื่นอย่างนี้นะครับ เช่นประเด็นนี้ผมก็เข้าใจว่าเป็นอีกกรณีหนึ่ง แต่ในอีกความหมายหนึ่งนะครับ ไม่ต้องมีสถานการณ์ แต่เรามีความรู้สึกว่า ต้องเผชิญ เผชิญกับสิ่งที่เป็นความคิดของเราว่าจะทำอย่างไรดี พอจะทำอย่างไรดีปุ๊บ เราก็เลยมีความคิดว่า คุณทำแบบนี้เท่ากับไม่เมตตาผู้อื่นเลยนะ นึกถึงภาพสิ ถ้ามีผู้หญิงสักคนหนึ่งถูกผู้ชายหลอกและมานอนเจ็บปวดอยู่ในห้อง เพื่อนไปสอนว่าอย่าร้องนะ การร้องไห้แบบนี้ การไม่ออกไปทำงาน การไม่กินอาหาร เท่ากับไม่เมตตาตัวเองแล้ว อย่างนี้ก็หมายความถึงความหมายบอกว่าต้องไม่เมตตาตัวเองถ้าเราลงโทษลงทัณฑ์ตัวเองใช่มั้ย นี่คือภาษาสำนวนครับ แต่ในความหมายจริง ๆ เรากำลังจะพูด เพื่อให้เขาปรับเปลี่ยนความหมายเชิงความคิด เชิงความรู้สึกที่มีต่อตนเองให้มันมีความหมายที่ไม่ใช่กลายมาเป็นผลร้ายต่อตัวเอง ซึ่งประเด็นหลังนี้อาจจะเป็นสำนวนภาษาที่ผมเข้าใจว่าต้องทำความเข้าใจที่ว่า ไม่เมตตาตัวเองหรือไม่ทำสิ่งที่มันเป็นความหมายที่ดีกว่านี้ก็อาจจะเป็นสถานการณ์ที่ถูกสมมติขึ้นเปรียบเทียบครับ