แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ผู้สอบถาม : ค่ะ ขออนุญาตเรียนถามอาจารย์ค่ะว่า ปัจจุบันอาจารย์ปฏิบัติในรูปแบบยังไงคะ ใช้วิธีไหน
อ.ประมวล : ถ้าจะพูดในเชิงรูปแบบน่ะครับ เมื่อตะกี้ตอนที่นั่งคุย???อาหารเนี่ย ผมไม่ได้เจริญมรณานุสติ เมื่อกี้นั่งคุยกับผมเหมือนคนกำลังอ่านหนังสือ อยากจะรู้ว่าข้อความสุดท้ายของชีวิตนี้มันเป็นยังไง ตอนนี้ผมยังมีความรู้สึก ผมยังรอดูอยู่ว่า เอ๊ะ ความตายเข้าใกล้เข้ามาแล้วอะไรอย่างนี้ ปัจจุบันผมอยู่กับการ เหมือนกับ เจออะไรแล้วผมมีความรู้สึกผมรอดูว่ามัน มันจะมีความรู้สึกอะไรที่มันเป็นลักษณะที่มัน มันขุ่นมัว ลบ เกิดขึ้นมั้ยอย่างนี้ เพราะฉะนั้น เวลาผมเจออะไร เช่น ผมป่วย ผมจะรู้สึกดีมากเลยเวลามันป่วยเนี่ยนะ ผมบอกไม่ถูก รู้สึกดีก็มันพูดเล่นเป็นสำนวนโวหารไปนะ แต่ความรู้สึกของผม รู้สึกดีที่ได้ป่วย
แล้วเวลา.. เมื่อตะกี้ผมเผลอเล่าไปแล้ว ผมลืมใช่มั้ย ผมยืนขำอยู่กลางห้อง โอ้ ดูสิมันแค่เพียงเสี้ยววินาทีผมก็ลืมไปได้ คือ ขณะที่ผมมีอะไรที่เป็นกรณีที่มันเกิดขึ้นเนี่ย สิ่งที่ผมรู้สึกดีกับมันมากๆ คือได้เห็นสิ่งที่มันเป็นสภาวะที่จิตของผมไปรับรู้อารมณ์นี้แล้วมันเกิดความรู้สึกอะไร อย่างไรนะครับ เพราะฉะนั้น นี่คือสิ่งที่เป็นความหมายที่ผมรู้สึกดีกับชีวิตทุกๆขณะที่กำลัง กำลังดำเนินไปเนี่ยนะครับ
แล้วพอมาถึงปัจจุบันนี้พูดสำหรับผมนะครับ ผมเข้าใจว่าพวกเราคงไม่อยู่ในเงื่อนไขของผม ผมมีสภาวะของสังขาร คือ ขันธ์ 5 ของผมเนี่ย มันเสื่อมคุณภาพลงไปเยอะมากนะครับ เสื่อมคุณภาพ พอเสื่อมคุณภาพไปเยอะมาก ผมเลยก็อยู่เห็นมันนะครับ เวลาผมป่วย หรือเวลาผม เอ่อ มี มี มีบรรยากาศ คือ ปัจจุบันไม่รู้ว่าจะพูดว่ายังไงดี สิ่งที่ผมเคยทำได้ในอดีตทำได้ดีเนี่ย ปัจจุบันผมก็ทำไม่ได้ หรือบางทีผมเผลอไปนะ ขอโทษนะครับ บางทีผมก็อินอยู่กับเรื่อง คือตอนนี้ ผมระมัดระวังอยู่ คือเวลาผมนั่งอ่านหนังสือหรือเขียนหนังสือเนี่ย ผมจะอินกับมันแล้วผมเผลอไป ทีนี้เวลาผมนั่งนานๆ เนี่ย ผมจะรู้เลยว่าร่างกายผมมันไม่พร้อมที่จะให้นั่งนาน บางทีผมวูบไปเลยนะครับ ผมวูบไปเลย คำว่าวูบไปเลยหมายความถึงว่า ผมมีจิตรู้อยู่แต่ผมไม่สามารถกำหนดทิศทางหรือไม่สามารถกำหนดอะไรได้ ผมต้องปล่อยให้มันอยู่อย่างนี้ไปชั่วขณะหนึ่ง ทีนี้ เอ่อ แต่เวลาวูบมันไม่วูบตอนผมเดินนะ มันจะวูบตอนผมนั่งหรือผมนอน เพราะฉะนั้นผมก็เลยรู้สึกดีกับทุกครั้งเวลามันวูบอะไร ผมก็แอบสังเกตนะว่ามันเกิดอะไรขึ้นมาก่อนหน้าที่จะมาถึงภาวะนี้ ก็พบอะไรบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้ผมเป็นความรู้ ที่ค่อยๆ รู้ไปเรื่อยๆๆ
ทีนี้ความหมายที่ถามว่าผมใช้รูปแบบอะไร มันก็ไม่ถึงกับมีรูปแบบที่เป็นชัดเจนนักในปัจจุบันนะครับ ผมเป็นแต่เพียงแค่มีความถี่ถ้วนขึ้นกับการรู้สภาวะที่มันเกิดปรากฏอยู่ในจิตแต่ละขณะ แต่ทีนี้ความหมายเช่นที่ว่านี้นะครับ บางทีผมอยู่ในสังคมยากเหมือนกันนะ คำว่ายากเหมือนกัน คือ บางทีผมก็ไม่ได้คิดอะไร ใครถามอะไรผมก็พูดของผมไปเรื่อยเปื่อย การพูดไปเรื่อยเปื่อยมันก็เลยทำให้เกิดปัญหากับคนที่เขายังอยู่ในกรอบ เอ่อ เหมือนกันอย่างนี้นะครับ ผมก็เลย
ขอโทษสังคมไปทั่วนะครับว่าอย่าถือสาอะไรกับผมนะครับ ผมก็พูดอะไรของผมไปประมาณนี้นะครับ ทีนี้ความหมายเช่นที่ว่า เช่น เวลาใครจะเชิญผมไปพูดอะไรเนี่ยนะ ภรรยาผมนี่เขาจะบอกไปเลยว่าอย่าให้อาจารย์เขาพูดอะไรที่เป็นเรื่องหัวข้อเลยนะ เขาไม่พูดหรอกเพราะว่าเขาขี้เกียจคิด แล้วไม่ต้องบอกเขาด้วย นะครับ คือบางคนก็ต้องตั้งหัวข้อใช่มั้ย เขาก็พยายามจะให้ผมรู้หัวข้อว่าอย่างนี้นะ ช่วยเตรียมตัวมาพูดตามหัวข้อนี้นะ ถ้าเป็นอย่างนี้เนี่ย เอ่อ ผมก็ คือผมมีความรู้สึกเหมือนกันว่าไม่ต้องคิดหรอก จะไปคิดอะไรทำไมล่วงหน้า ผมจะตายก่อนก็ได้ ผมไม่ได้พูดก็ได้เรื่องนี้ละมั้งเนี่ยนะครับ
แต่ทีนี้ที่ผมพูดเช่นนี้ดูเหมือนจะไร้รูปแบบ แต่อยากจะบอกความหมายเท่านั้นเองนะครับ ว่าในชีวิตของผมในปัจจุบัน มันมีความรู้สึกอันหนึ่งที่เป็นความรู้สึกของคนที่มีความตระหนักได้ว่าชีวิต คือ เวลาเหลือน้อย ผมไม่ต่างอะไรจากนักฟุตบอลที่ลงไปวิ่งเล่นอยู่ในสนาม และรู้ว่านี่เป็นช่วงหลังแล้วนะไม่ใช่ช่วงครึ่งแรก ช่วงครึ่งหลังเนี่ยแม้ไม่ได้หันไปดูนาฬิกาหรือไม่มีใครตะโกนบอกเวลา แต่เวลามันใกล้จะหมด เพราะฉะนั้นอย่าไปสนใจว่าเวลาเหลืออยู่กี่นาที แต่ให้สนใจว่าลูกฟุตบอลอยู่ตรงไหนนะครับ แล้วเราทำหน้าที่อะไรนะครับ ผมเข้าใจว่ามันมีความหมายที่สำคัญ
ผมนึกถึงคุณคนหนึ่งนะครับ เอ่อ ผมไปที่โรงพยาบาลศิริราช แล้วอาจารย์หมอนพดล ซึ่งผมต้องขอบคุณท่านมากๆ เลยนะครับ ซึ่งเป็นอาจารย์หมอที่ทำให้ผมได้มีประสบการณ์ชุดนี้ ท่านเล่าให้ผมฟังว่า มีผู้ป่วยระยะสุดท้ายท่านหนึ่งนะครับ ท่านบอกเป็นผู้ป่วยที่น่าสนใจมาก ถ้าอาจารย์มีเวลาอยากให้อาจารย์ไปเยี่ยมเขาหน่อย อาจารย์หมอนพดลแจ้งให้ผมทราบเพียงว่าผู้ป่วยท่านนี้นะครับ เป็นผู้ป่วยซึ่งไม่ได้รับสิทธิในการที่จะดูแลรักษาอะไรเพราะท่านไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน มีเพียงแค่คนของวัดอมรินทร์ฯ ที่อยู่ใกล้ๆ โรงพยาบาลศิริราชเนี่ยครับ นำผู้ป่วยคนนี้มาส่ง เมื่อท่านช็อคจนหมดสติไปแล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อรับมาก็ต้องช่วยเหลือให้ท่านฟื้นรู้สึกตัวขึ้นมา และผู้ป่วยคนนี้นะครับ ป่วยเป็นระยะสุดท้ายแล้วนะครับ ลุกลามไปทั่วแล้ว ทีนี้ตอนที่รับมาใหม่ๆ ก็ให้ยาระงับปวดไป แต่พอท่านฟื้นรู้สึกตัวขึ้นมา ที่อาจารย์หมอนพดลสนใจมากคือ ผู้ป่วยท่านนี้ไม่มีบัตรประจำตัวแล้วก็ไม่มีประวัติว่าจะไปใช้สิทธิเบิกจ่ายได้อย่างไร ก็จึงถามในฐานะท่านเป็นหมอว่า แล้วจะทำยังไง เนี่ยมันปวดก็ต้องใช้ยาระงับปวด ต้องการมั้ยยาระงับปวด ผู้ป่วยคนนี้ก็บอกว่าต้องการ แล้วคุณหมอถามว่าแต่ถ้าไม่มีค่ารักษาพยาบาล ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ จะไม่มีสิทธิที่จะได้รับยาระงับปวดนี้จะทำไง คนป่วยก็บอกไม่ต้องทำยังไง ก็ผมอยู่กับมันมานานแล้ว ก็คือหมายความว่า ถ้าได้ยาระงับปวดก็ดี แต่ถ้าไม่มียาให้แก ก็ไม่ต้องทำอะไร แกก็อยู่กับมันมานานแล้ว ปรากฏว่าอาจารย์หมอนพดล แกก็เห็นว่าพูดอย่างนี้มันไม่ธรรมดานะ ก็เลยคุยอะไรกับแก พอคุยกับแกแล้วบางเรื่อง อาจารย์หมอนพดลก็ไม่เข้าใจว่าแกพูดปริศนาธรรมหรืออย่างไรอย่างงี้นะ แกเลยชวนผมไป พอชวนผมไปผมก็เลยได้สนทนากับแก โอ้โห พอไปคุยแล้วจึงรู้เลยว่าแกเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมมากๆ เลย ป่วย ผอมโทรม
ผมไปตอนนั้น มันเป็นเวลาซึ่งเขาเอาอาหารไปให้ผู้ป่วยทานในช่วงเที่ยงอ่ะนะ แล้วแกทานเสร็จแล้ว แต่แกคงทานอะไรไม่ลงหรอก แกพยายามจะดื่มน้ำ เพราะว่าน้ำก็มีแก้วคล้ายๆ อย่างนี้นะ แล้วก็มีหลอด มีหลอดให้ดูด แต่แกคงไม่มีกำลังที่จะดูดให้น้ำขึ้นไป เพราะกำลังแกน้อยมากแล้ว แต่แกมีมือสั่นๆ แล้วแกแหงนคอ แหงนหน้าขึ้นแล้วแกก็พยามเอาแก้วน้ำไปเทแล้วมันก็หก หกเข้าไปในปากบ้างออกมาข้างนอกบ้าง ทีนี้พอตอนแรกพอเห็นแก พอเห็นผมกับอาจารย์หมอไปแกคงคิดว่าจะหยุดกินข้าวแล้วล่ะนะ ก็กินน้ำซะหน่อยแล้วจะได้คุยอะไรกัน ทีนี้พอแกหกแกก็หันมาพูดเป็นเชิงบอกผมแล้วบอกอาจารย์หมอนพดล บอกว่า “เมื่อก่อนมันเคยทำได้ ตอนนี้ทำไม่ได้แล้ว แกบอก” แล้วทีนี้ก็เลย อาจารย์หมอนพดลก็เลยจึงถามแกเป็นเชิงถามนำ ว่าที่ลุงบอกว่าลุงเป็นนายช่างขมังธนูน่ะ มันเป็นยังไงนะ เพราะแกเล่าเรื่องช่างขมังธนู แต่อาจารย์หมอตีความไม่ได้ แกบอก “ก็ปัจจุบันผมต้องทำตัวเหมือนนายขมังธนู คนจะยิงธนู ตาต้องไม่วอกแวกไปมองสิ่งอื่น ต้องลงที่เป้าเท่านั้น ปัจจุบันจิตของผมก็ไม่ไปคิดวอกแวกเรื่องอื่นอีกแล้ว” โอ้ว แกพูดเป็นธรรมเลยทีนี้นะ ผมก็เลยถามแกว่าได้ปฏิบัติธรรมมาในรูปแบบไหนบ้าง แกตอบว่า “ตอนฝึกปฏิบัติฝึกมาหลายรูปแบบ ตอนนี้ลงสู่สนามแล้วไม่ต้องมีรูปแบบ” คือหมายความว่าตอนนี้แกเผชิญกับความตาย มันไม่มีรูปแบบ มันไม่มีรูปแบบอีกแล้ว ทำยังไงที่จะให้จิตของแกนี้นิ่ง มองไปที่เป้าเนี่ยเหมือนกับนายขมังธนู ผมฟังแล้วโอ้โห ไม่ใช่ธรรมดานะ
สุดท้ายไม่อยากรบกวนแกมาก เพราะแกก็แย่แล้วเนี่ยครับ แต่จากการพบกันในครั้งนั้นเนี่ย แล้วผมก็ยืนยันกับอาจารย์หมอนพดล บอกว่าเป็นผู้ป่วยที่มหัศจรรย์มาก น่าเป็นแบบอย่าง น่าเป็นตัวอย่าง สุดท้ายอาจารย์หมอนพดล ก็ไม่มีค่าใช้จ่ายเบิกได้ แกควักเงินส่วนตัวแกเลยนะครับ สั่งในแผนกนั้นบอกว่าให้จ่ายมอร์ฟีนให้ลุงแกเพื่อไม่ให้แกปวด แล้วถ้าหากว่าแกปรารถนาจะกลับไปที่วัดอมรินทร์ ก็ให้กลับไป ให้พาแกกลับไป แล้วก็ตามไปดูแลแกนะครับ
ผมสนใจมากนะครับ พอดีไปคุยกับพระที่วัดอมรินทร์ฯ ว่าลุงคนนี้เป็นใคร เขาบอกอาตมาบวชมา 13 พรรษาแล้ว ตอนบวชมา ลุงแกก็กวาดขยะอยู่ที่วัดแล้ว แกสนิทกับหลวงพ่อเจ้าอาวาส ผมสันนิษฐานว่าแกน่ะเคยบวชเป็นพระแล้วพอสึกออกมาแกไม่ไปทำบัตรประจำตัวประชาชน แล้วความที่สนิทกับหลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดอมริทร์ฯ แกเลยไปอาศัยวัดอมรินทร์ฯ ดูแลวัดให้ แล้วต่อมาแกป่วย พอป่วยแล้วมันก็ ปัจจุบันแกเสียแล้วล่ะนะ เพราะว่าตอนที่พบแกเนี่ยแกก็แย่เต็มทีแล้ว แต่ที่พูดก็คือจิตแกนิ่ง สงบ เพราะสิ่งที่มันเป็นความหมาย ผมประทับใจของแกที่บอกว่า ตอนที่ฝึก ฝึกมาหลายรูปแบบ ตอนนั้นเหมือนกับเป็นสนามฝึกนะ ทหารยังไม่เกิดการรบกันเนี่ย แต่ตอนนี้มันไปอยู่ในสมรภูมิ คือ รบแล้ว รบแล้วคือจิตต้องอยู่กับสิ่งที่มาบีบคั้นแล้ว เพราะฉะนั้นตอนนี้นะครับ ไม่ต้องมีรูปแบบ ต่อสู้ข้าศึกก็คือสภาวะจิตฝ่ายที่มันจะตกต่ำเนี่ยนะครับ ไม่ให้มันเข้ามาครอบครองพื้นที่ในหัวใจได้
ผมก็ประมาณๆ ว่าคล้ายๆ กับลุงท่านนี้ ตอนนี้แม้จะไม่ถูกเบียดเบียนโดยโรคภัยไข้เจ็บอะไรมาก แต่ความเสื่อมของขันธ์เนี่ยนะเห็นชัดเจน เห็นชัดเจนมากนะครับ เห็นชัดเจนจนกระทั่งผมมีความรู้สึกเลยว่าที่เราเคยสวดมนต์ทำวัตร รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่เราเข้าไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวกูอย่างนี้นะครับ ปัจจุบันมันเห็นจนกระทั่งกลายมาเป็นความรู้สึกได้เลยว่า โอ้ ช่างเป็นโอกาสทองที่แสนวิเศษที่ผมได้มีโอกาสเช่นนี้ ผมไม่เคยมีโอกาสเช่นนี้มาก่อนเลยในชีวิต ก็รู้สึกดีกับโอกาสที่เกิดขึ้นแล้วก็ใช้ ใช้ความหมายของการอยู่กับสิ่งนี้นะครับ ที่เป็นเรื่องที่ผมรู้สึกดีกับมันครับ
พระสงฆ์ : เดี๋ยวอาตมาลองสรุปตรงนี้ให้ฟังหน่อยนะ ถ้าไม่ถูกอาจารย์ประมวลค่อยบอกนะ มีคำพูดสองคำสั้นๆ คุณเอาทุกอย่างมาฝึกให้มันเป็นครู หรือเอาทุกอย่างมาฝึกเป็นศัตรู อาจารย์ประมวลเอาทุกอย่างมาฝึกเป็นครู คำพูดนี้ก็เหมือนกัน ที่ถาม แค่เนี่ย คุณเอาทุกสิ่งทุกอย่างมาฝึกเป็นครูที่จะมาเรียนรู้เรา หรือเราจะเป็นศัตรูกับสิ่งที่เกิดขึ้น ถูกมั้ย
อ.ประมวล : คือเป็นคำถามที่ดีมาก แต่ผมเป็นคนไม่มีความสามารถในการพูดตอบ แต่อยากจะพูดอย่างนี้ครับ คือ เมื่อก่อนผมมีความสามารถในการพูดอะไรเป็นทฤษฎีเยอะนะ ตอนที่สอนหนังสืออยู่ ผมสามารถพูดธรรมะข้อเดียว ผมพูดได้เป็นหลายๆ ชั่วโมงก็ได้นะ มันมีเรื่องมันมีราวเยอะ พอปัจจุบันผมสูญเสียความสามารถที่จะพูดเช่นนั้นไปหมดเลยครับ แปลกมากเลย คือ ไม่รู้จะพูดอะไร มันเหมือนกับสิ่งที่มันเคยพูดได้มากๆ มันหายไปหมดเลย เหลือแต่ความหมายว่างๆ อะไรบางอย่าง
ทีนี้กรณีที่พูดถึงนี้มันเป็นสิ่งที่ดีมาก คือ จริงๆ แล้ว หัวใจสำคัญนะครับของพวกเราทุกๆ คนแต่ละคนนะ คือ การกลับมาสู่มิติของการดูสภาวะภายใน คำว่าดูนี้ดูด้วยใจของเราเนี่ยนะครับ แล้วมันจะเห็น มันจะเห็นสิ่งที่เกิด ปรากฏเปลี่ยนแปลงไปนะครับ อยู่ตลอดเวลาเลยนะครับ ขอโทษเถอะครับ แม้กระทั่งที่ผมบอกว่าเวลามีอะไรเข้ามากระทบ ถ้าเราจะรู้สึกเสียใจ จริงๆ มันก็เป็นความเสียใจวูบเดียวเท่านั้นเองนะครับ แต่บางทีที่มันไม่ยอมวูบเดียวแล้วมันสถิตอยู่สถาพรเนี่ย เพราะเราพยามจะไปยึดเหนี่ยวมันไว้เหมือนกัน ปรุงแต่งมันอะไรอย่างนี้นะครับ
ผมมีความรู้สึก มีความรู้สึกที่อยากจะบอกคือ ถ้าเรากลับมาสู่ประเด็นนี้เนี่ยนะครับ คำพูดถ้อยคำในเชิงเทคนิคเกือบไม่มี คือ บางทีผมพูดไปแล้วก็เหมือนกับผมเล่นสำนวนนะ เหมือนกับที่ผมเล่าให้ฟังว่า ผมต้องกลับไปที่ เอ่อ พบปะกับนักศึกษาจิตตปัญญาศึกษาของมหาวิทยาลัยมหิดลเนี่ย ที่กลับไปนี่เนื่องจากว่า ผมรู้สึก คือตอนที่ผมเดินทางในปี 48 ถึงต้นปี 49 เมื่อผมจบการเดินทางแล้ว ประมาณกลางๆ ปี 49 เนี่ย อาจารย์หมอประเวศ วะสี ซึ่งเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญนะ ตอนนั้นท่านตั้งกลุ่มจิตวิวัฒน์ขึ้นมา แล้วพอท่านรู้ข่าว คือ มีอาจารย์อีกท่านหนึ่ง ชื่ออาจารย์ชลนภา อนุกูล ซึ่งเป็นผู้ประสานงานให้กับกลุ่มจิตวิวัฒน์ อาจารย์ชลนภา อนุกูล เนี่ย ท่านรู้จักผม เพราะเคยทำกิจกรรมในสมัยผมเป็นอาจารย์ ทีนี้พอแกขึ้นไปเชียงใหม่ แกก็ไปรู้จากเพื่อนๆ ที่เราสนิทกันเนี่ยว่าผมลาออกจากราชการ แล้วก็เพี้ยนไปแล้วไปเดินทางอะไรประมาณนี้นะ อาจารย์ชลนภาแกก็สนใจว่า เอ๊ะ ผมเพี้ยนไปจริงรึเปล่า แล้วแกก็ไปพบผมแล้วคุยกัน พอคุยกันแล้วแกรู้สึก เฮ้ย ไม่เพี้ยนนี่ แกก็มาเล่าให้อาจารย์หมอประเวศฟัง ว่าแกมีเพื่อนคนหนึ่งเป็นอาจารย์สอนปรัชญาที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เขาลาออกจากงานราชการ เขาไม่สอนปรัชญา แต่พอไปคุยดูแล้วเขามีความรู้อะไรที่แปลกๆ ดีมากเลย อาจารย์หมอประเวศบอกว่าไปช่วยเชิญอาจารย์คนนี้มาพบหน่อยสิ อาจารย์ชลนภาก็ขึ้นไปพบผมที่เชียงใหม่แล้วบอกเอ่ยถึงอาจารย์หมอประเวศ วะสี อาจารย์หมอประสาน ต่างใจ อาจารย์สุมล อมรวิวัฒน์ ซึ่งเป็นผู้อาวุโสอยู่ในกลุ่มจิตวิวัฒน์ โอ๊ย ถ้าคนระดับนี้เชิญ จะให้ผมไปวันไหนบอกมาประมาณนี้ ผมจะไป สุดท้ายผมก็เลยลงมากรุงเทพฯ ก็มีกลุ่มจิตวิวัฒน์ที่พบปะสนทนากันอยู่ที่มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ ที่พหลโยธิน 22 ผมเลยไปที่นั่น
ทีนี้พอคุยกับอาจารย์หมอประเวศจนกระทั่งวันนั้นจบนะครับ ในตอนช่วงนั่งกินข้าวตอนเที่ยง อาจารย์หมอประเวศก็ปรารภขึ้นมาว่า “อาจารย์ พวกเรากำลังจะคิดที่จะทำให้มีการเรียนรู้รูปแบบนี้ขึ้นในมหาวิทยาลัย ผมไปเสนอที่มหาวิทยาลัยมหิดลแล้ว ตอนนี้สภามหาวิทยาลัยมีมติรับหลักการ และกำลังจะทำหลักสูตรขึ้นมา อาจารย์กลับมาช่วยพวกเราหน่อยได้มั้ย มาทำมาช่วยกันรับผิดชอบร่างหลักสูตรหรือทำกระบวนการเรียนรู้แบบนี้นะ” ผมบอก “อาจารย์ ผมหันหลังออกจากมหาวิทยาลัยมาแล้ว อย่าให้ผมต้องกลับไปอีกเลย แต่ถ้าจะให้ผมรับใช้อะไรอาจารย์ ซึ่งเป็นเรื่องที่รับใช้ได้ในฐานะส่วนตัว อาจารย์บอกมาเถอะครับ” สุดท้ายอาจารย์หมอประเวศก็บอกว่า “ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ไม่กลับมาช่วยพวกเรา แต่ถ้าผมทำหลักสูตรนี้ได้รับการอนุมัติเปิดสอน อาจารย์ต้องมาเป็นครูให้กับลูกศิษย์ในหลักสูตรนี้นะ”
พอผมรับปากอาจารย์หมอประเวศ พอเขาเปิดหลักสูตรจิตตปัญญาศึกษา ผมก็เลยไม่ อาจารย์ประเวศใช้ภาษาดีกับผมมาก ใช้ว่า “ผมนิมนต์อาจารย์” ผมเลยตามคำนิมนต์ก็เลยต้องมา ทีนี้พอมาแล้วทำให้ผมต้องพบ แต่ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไรกับนักศึกษา พูดไม่ออก เขาก็เป็นผู้รู้ดีๆ กันทั้งนั้น ที่ผมทำได้ต่อมาภายหลัง มาหาทางออกง่ายๆ ว่าทุกรุ่น ผมจะชวนเดินสองวัน ไปเดินกันเฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร เดินกันเนี่ย เดิน ผมขอเพียงอย่างเดียว ขอเพียงอย่างเดียว ขณะที่เดินไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเหมือนที่พระอาจารย์พูดเมื่อตะกี้เนี่ย นั่นคือบทเรียน อย่าตัดสิน อย่าไปปฏิเสธ ให้น้อมใจที่จะเรียนรู้สิ่งเหล่านั้น แค่นี้เอง เพราะฉะนั้นที่เราเดินกันสองวันไม่ได้เรียนรู้อะไรครับ เดินไป แต่ปรากฏขณะเดินไปๆ บางทีก็มีความรู้ดีๆ เกิดขึ้นนะ บางคนนี่ก็มาบอกผมว่า “อาจารย์ ตั้งแต่ผมใช้ชีวิตมาในกรุงเทพฯ ผมไม่เคยรู้ว่าการข้ามถนนมันยากอย่างนี้” เคยนั่งขับรถตลอดเวลา ไม่เคยข้ามถนนด้วยความรู้สึก คือ ข้ามก็ในจุดที่มันเป็นข้าม แต่ว่าที่จะไปข้ามในที่ซึ่งมัน นึกถึงภาพถนนบางสายมันไม่มีไฟแดงที่ให้เป็นจุดให้เราข้าม เราต้องพยามกระโดดข้าม แล้วมันยาก พอมันยากแล้วมันเป็นปัญหา แล้วที่สำคัญผมบอกว่าอย่าไปตัดสินอะไรนะ ทำอะไรก็ทำแต่อย่าไปตัดสินใคร ปรากฏว่ากระบวนการแบบนี้ มันก็เลยกลายเป็นว่าผมไม่ได้สอนอะไรแต่เขาก็เกิดความรู้ดีนะ
เพราะอย่างที่ผมเล่าเมื่อเช้าว่าผมไปกัน เพราะว่าเขาจบแล้วไง จบไปแล้วก็บอกว่า เนี่ยเรียนมาเป็นขั้นพื้นฐานอยากจะเรียน advance แล้วทีนี้ ผมบอกถ้างั้นเราไปไกลมากกว่าเดินในกรุงเทพฯ ก็แล้วกัน ก็เลยไปเดินที่แคว้นลาดักที่ว่าเนี่ยนะครับ เพราะตอนที่ไปที่นั่นมันจึงได้เกิดความรู้สึกอะไรบางอย่างเหมือนกัน
บางคนเดินลงไปจากรถเพื่อจะไปเข้าห้องน้ำแล้วกลับมาบนรถไม่ได้เพราะกำลังหมดเนี่ยนะครับ ความตายรออยู่เบื้องหน้า ผมบอกว่าเนี่ยเป็นสิ่งที่ผมอยากจะให้ทุกคนได้สัมผัสความหมายนี้ มันไม่ใช่สิ่งที่เราคิดเอานะ ไม่ใช่สิ่งที่คิดเอา ตอนที่ผมเอาออกซิเจนในกระป๋องให้เขา แล้วผมก็พูดไปให้เขาฟังบอกว่า ตอนที่ผมนอนแล้วต้องมีหน้ากากออกซิเจนสวมไว้ เพราะคนนำทางบังคับให้ผมทำ ไม่งั้นเขารู้ว่าผมจะตาย และผมจะเป็นภาระกับเขา ตอนที่ผมเอาออกซิเจนมาสวมแล้วก็นอนกลางคืน เพราะกลางวันผมเดิน
ผมเล่าให้อาจารย์ที่กำลังสูดออกซิเจนฟัง ผมน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัวเลย ตอนที่เราสูดออกซิเจนเข้าไปแล้วจิตของเราอยู่กับลมหายใจเนี่ยนะ ออกซิเจนที่เรารู้โดยความคิด โดยหลักวิทยาศาสตร์ที่เราเรียนมาว่ามันจำเป็นมันหล่อเลี้ยงชีวิต แต่เรารู้ด้วยความคิด แต่วันที่ผมสูดออกซิเจนเข้าไปขณะที่นอนเนี่ยนะ ผมน้ำตาไหล เพราะตอนที่ผมจะนอนผมต้องเจริญอานาปานสติ จะบอกไม่มีรูปแบบก็ไม่ได้นะ ก่อนจะนอนทุกคืน เมื่อผมถึงเวลาว่าจะนอนแล้วเนี่ยนะ ผมก็ไม่ส่งจิตไปคิดถึงอะไรอีกแล้วครับ ผมจะอยู่กับลมหายใจที่มันเข้าออกเนี่ยครับ แล้วก็หลับไปเลยนะครับ เพราะฉะนั้นตอนที่ผมส่งจิตให้ไปอยู่กับลมหายใจเนี่ย มันไม่ใช่เป็นเพียงแค่สัมผัสรู้ลมหายใจนะ มันสัมผัสรู้ความเป็นชีวิต ความเป็นชีวิตที่มีออกซิเจนเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง ที่มันลึกซึ้งเกินกว่าที่เราจะคิดโดยปกติได้ ผมน้ำตาไหลออกมาด้วยความรู้สึกตื้นตัน กับความรู้สึกที่ว่า โอ้ว เรามีชีวิตมาถึง 60 ปี ออกซิเจนมีคุณกับเราทุกขณะ ทุกวินาที ทุกลมหายใจ แต่เราไม่เคยตระหนักรู้ได้อย่างนี้มาก่อนเลย และทันทีที่เราตระหนักรู้ได้อย่างนี้ มันไม่ใช่เป็นเพียงแค่เราตระหนักรู้ถึงค่าของชีวิตเราซึ่งเป็นส่วนเดียว ส่วนแยกออกมานะ มันตระหนักได้ถึงความหมาย
ขอโทษเถอะถ้าเราจะพูดในภาษาของชาวพุทธนะ ที่พระพุทธเจ้าตรัสเป็นพุทธวจนไว้เลยว่าในการเกิดมาเป็นมนุษย์มันแสนยากใช่มั้ยครับ การเกิดมาได้พบพระพุทธศาสนา การเกิดมาได้ปฏิบัติธรรมรู้แจ้งธรรม แต่ขอโทษเถอะคำพูดเหล่านี้มันพูดกันจนกระทั่งเราก็ฟังแล้วก็เฉยๆ แต่พวกเราจะรู้สึกอย่างนี้จริงๆ รู้สึกได้จริงๆ ถ้าวันใดเราปฏิบัติธรรม แล้วเรารู้สึกได้ถึงค่าของชีวิตที่เราถือครองอยู่ และชีวิตที่เราถือครองอยู่เนี่ยมันเป็นสภาวะที่สามารถทำให้สิ่งที่มันเป็นเมฆหมอกขุ่นมัว อันเป็นมลทินอยู่ในใจจางคลายไปได้จริงๆ เป็นความมหัศจรรย์และความรู้สึกแบบนี้นะครับ ถ้าเรากลับมาสู่ใจของเราที่อยู่ภายในและดูสิ่งนี้จริงๆ ครับ คำว่าเทคนิค คำว่าวิธีบางทีก็ค่อยๆ เลือนหายไป มันเป็นเนื้อเป็นตัว มันเป็นสภาวะที่อยู่กับเราแล้ว แล้วเราจะรู้สึกอะไรบางอย่างกับเพื่อนมนุษย์ กับคนที่เราอยู่ด้วยกัน ผมบางทีผมรู้สึก รู้สึกได้เลยนะที่ผมพูดด้วยความใจ เหมือนกับผมอยู่กับภรรยาแล้วผมเล่าเรื่องเมื่อเช้าว่าผมยืนน้ำตาไหล ผมไม่ได้น้ำตาไหลในความหมายเพียงว่าภรรยาพูดแค่นั้น แต่ผมมีความรู้สึกว่าความหมายของการมีชีวิตคู่ ซึ่งผมอยู่นานมาเป็น 20 ปี วันที่ผมนั่งลงพนมมือรับน้ำสังข์จากญาติผู้ใหญ่ วันที่นั่งพนมมือรับพรจากพระภิกษุที่ไปสวดชัยมงคลคาถา ผมกำหนดจิตให้นิ่งเป็นสมาธิ แล้วผมบอกว่าผมจะรับใช้ผู้หญิงคนนี้ให้ดีที่สุด ผมจะรักษาใจของผมจิตของผมไม่ให้เกิดความรู้สึกตำหนิติโทษในผู้หญิงคนนี้เกิดขึ้นในเนื้อในตัวผม ผมใช้เวลานานขนาดนี้เชียวหรือกว่ามันจะเกิดสิ่งนี้ได้จริงๆ นะ เพราะก่อนหน้านี้ ก่อนหน้านี้เป็นแต่เพียงแต่การข่มใจตามกรอบความคิดที่ผมปรุงแต่งขึ้นเท่านั้นเอง มันไม่ใช่เป็นความหมายที่แท้จริงอะไรเลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่มันเป็นความหมายแบบนี้มันจะทำให้เรารู้ว่า ถ้าเราทำสิ่งนี้ซึ่งเป็นเรื่องของการภาวนาหรือปฏิบัติได้ มันจะเข้าถึงความหมาย ความหมายที่มันไม่ใช่เป็นเพียงแค่การคิดปรุงแต่ง แต่มันจะเป็นเนื้อเป็นตัวเป็นชีวิตจิตใจ
แล้วพอมันเป็นเช่นนี้ได้นะครับ ผมรู้สึก รู้สึกเห็นอกเห็นใจเป็นที่สุด ถ้าใครมีคู่ชีวิตแล้วเรามาทะเลาะกันหรือมาอะไรกันนี่มัน มันน่าเสียดายโอกาสนะครับ น่าเสียดายความเป็นไปในชีวิต หรือแม้กระทั่งเราอยู่กับเพื่อนฝูง พี่น้องอะไรอย่างนี้ครับ ผมอยากจะบอกเลยนะครับว่า พอมาถึงจุดๆ นึง ไม่มีใครเลยที่เราควรจะโกรธเขา ไม่มีใครเลยที่เราควรจะทำให้เกิดความรู้สึกแย่ เพราะเขาน่าสงสาร เขาน่าเห็นใจ และความรู้สึกแบบนี้ไม่ใช่ความคิดเลยนะครับ เป็นความรู้สึก เป็นความรู้สึกที่มันเกิดปรากฏขึ้นในเนื้อในตัวเรา ในใจเรา และความรู้สึกแบบนี้นะครับ มันเป็นความรู้สึกตัว มันเป็นความหมายที่เรากำลังพูดในมิติของการปฏิบัติ
ผมอาจจะพูดในประเด็นที่มันเป็นนามธรรมมาก แต่ว่ามันก็ไม่มีความสามารถจะใช้ภาษาอะไรให้มันเป็นรูปธรรมได้มาก แต่ว่าผมเชื่อว่าพวกเราทุกคนที่ได้ฝึกปรือฝึกฝน แล้วก็ได้มีครูบาอาจารย์ที่คอยชี้แนะอยู่เนี่ย ทำเถอะครับ อย่างน้อยวันนี้สิ่งที่ผมอยากจะพูดก็คือ นี่คือโอกาสที่ประเสริฐมากๆ ไม่ใช่ง่ายนะครับที่ใครคนใดคนหนึ่งจะหันมาสนใจแล้วใช้เวลาเพื่อทำสิ่งนี้ ขอโปรดเชื่อเลยนะครับ ขอโปรดเชื่อไม่ใช่เชื่อผมนะครับ เชื่อตัวเองนั่นหละครับ ว่าเราจะสามารถทำให้เกิดความหมายที่ผมพูดถึงแบบนี้ขึ้นในตัวท่านเองได้ครับ
คุณเอ๋ : ขอโอกาสสั้นๆ แลกเปลี่ยนเรียนรู้นะคะ คำถามที่คุณผู้หญิงถามเนี่ย เอ๋ก็เคยสงสัยติดตามอาจารย์ประมวลหลายๆ ปี เราก็อยากจะเดินตามรอยท่านนะคะ จริงๆ ในหนังสือเล่มนี้นะคะ ภาวนาเริ่มต้นกิโลเมตรที่ศูนย์ อาจจะมีหลายๆ คำตอบที่ทุกคนอยากรู้นะคะว่าเส้นทางการภาวนาของอาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ เป็นอย่างไรบ้างนะคะ ตั้งแต่เป็นศิษย์สวนโมกข์ ตั้งแต่มาสนใจแนวทางหลวงพ่อเทียน เจออาจารย์คำเขียน มีการบริกรรมหรืออะไรอย่างนี้ แต่สุดท้ายอาจารย์ก็ประยุกต์จนอาจารย์ใช้คำว่าไร้รูปแบบนะคะ เป็นนักภาวนาไร้รูปแบบ ประยุกต์จนลงตัวอะไรอย่างนี้นะคะ ในนี้มี ในนี้มีนะคะ ก็ถ้าสนใจ หนังสือชื่อ ภาวนาเริ่มต้น ณ กิโลเมตรที่ศูนย์