แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อาจารย์ประมวล :
ถ้าใครมีอะไร ถือว่าเป็นโอกาสของการได้สนทนากันในพื้นที่อันเป็นมงคลของที่นี้นะครับ เรามาอยู่ในห้องที่มีพระพุทธรูปปางปรินิพพานอยู่เบื้องหลังเรา เป็นห้องที่เวลาผมนั่งไหว้พระเมื่อเช้า แล้วก็ตั้งแต่เมื่อวานรู้สึกดีมากเลย เพราะปกติไปที่ไหนก็จะมีพระพุทธรูปปางที่จะเรียกว่า ปางที่พระพุทธเจ้าทรงพระชนม์ชีพอยู่อ่ะนะจะในแบบไหน แต่พอมาที่นี่ทำดีมีพระพุทธรูปปางปรินิพพาน
คำถาม :
คือเป็นเป็นคำถามที่ ก็จะถามละกันเนาะ คืออันนี้ค่ะ ระหว่างว่าจะถามพระอาจารย์อยู่แต่ไม่เป็นไร ว่าที่พระอาจารย์สอนให้เราสวดมนต์แล้วก็เป็นแบบว่าดูเป็นขณะๆ พอลองฝึกทำในหลายวันๆ เนี่ย มันก็ มันก็รู้สึกว่าเราจะอยู่กับเป็นขณะๆ นี่ล่ะค่ะ มันทำให้เราเห็นความคิดที่วิ่งเข้ามาได้ดีมากขึ้น ถ้าเมื่อไหร่ที่เราไม่อยู่กับขณะนั้นมันก็จะมีความคิด แล้วถ้าเราไม่กลับมารู้ให้ทันมันก็จะต่อยาวไป แล้วทีนี้คือมันมีบางครั้งที่พอเราอยู่แค่ขณะๆ นั้นจริงๆ อ่ะ ไอ้คำแปลอ่ะ มันมันพูดเป็นคำๆ แต่ปกติเราจะมีแบบว่าอยากรู้ว่ามันแปลอะไรความหมายเอามาใช้แล้วมันจะคิด ว่าอะไรคืออะไร แต่มันคิดไม่ได้แล้วมันก็จำไม่ได้ ก็เลยทำไมมันจำไม่ได้ แม้จะแบบว่า มันคือความหมายยังไง ปกติจะต้องตีความตลอด แต่พอมันตีไม่ได้ เราอัลไซเมอร์หรือเปล่า แล้วแบบก็เลยจะถามถ้าเราทำฝึกอย่างนี้ไปเรื่อยๆ อ่ะค่ะ เราจะ พอเราอยู่ในโลกเราต้องใช้ความคิด มันจะทำให้เราคิดไม่ได้รึเปล่า หรือว่าไม่จริงหรอก เพราะว่าถ้าเราจะคิด ถ้าเราถอดออกมาคิดมันก็ต้องคิดได้อย่างนี้อ่ะค่ะ กลัวว่ามันจะจำไม่ได้
อาจารย์ประมวล :
คำปรารภนี้ มีคำจะชี้แจงนะไม่ใช่คำตอบ อันที่หนึ่งต้องเข้าใจก่อนนะครับว่าการสวดมนต์หรือการสาธยายพุทธมนต์เนี่ยนะครับ มันเป็นคนละส่วนหรือคนละอย่างกับการอ่านหนังสือ เพราะอ่านหนังสือเนี่ยเราต้องการจะรู้ความหมายของหนังสือนั้น ซึ่งมันถูกบันทึกไว้ผ่านสัญลักษณ์ของถ้อยคำประโยคภาษาอักษรเนี่ยครับ เพราะฉะนั้นในเป้าหมายของการอ่านหนังสือจริงๆ เพราะถ้าเราอ่านแล้วเราไม่เข้าใจเราจึงอ่านใหม่แล้วก็อาจจะ ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ อาจจะถามใครมันตกลงหมายความว่าไงกันแน่ เพราะมันเกิดข้อสงสัย
แต่การสวดมนต์มีมิติของความหมายที่มากไปกว่านั้นนะครับ การสวดมนต์มันมีความสำคัญมากยิ่งกว่าการอ่านหนังสือในความหมายที่ว่า บทสวดมนต์นั้นน่ะครับต้องการให้ใจของเราเนี่ยครับมาอยู่กับมนต์ มาอยู่กับมนต์นะครับ คำว่ามาอยู่กับมนต์เนี่ยนะครับความสำคัญที่สำคัญที่สุดเลยเนี่ย มนต์แปลว่าเครื่องปกป้องไม่ให้จิตตกต่ำไปสู่ที่ชั่วหรือจิตที่ตกต่ำไปสู่อกุศลเนี่ยครับ เพราะในบทมนต์ทั้งหมดนะครับ โดยที่แม้เราจะไม่เข้าใจความหมาย แต่เราก็มีความหมายอยู่ในใจของเรามันเป็นความหมายที่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะเวลาพูดถึงบทมนต์เนี่ยนะครับมันมีความหมายที่อยู่ในที นึกถึงภาพนะครับว่าเวลาพระภิกษุไปสาธยายพุทธมนต์ในพิธีกรรมต่างๆ และผู้ฟังบางทีเราก็ไม่เข้าใจนะ ว่าความหมายของมันคืออะไร แต่เรามีความรู้สึกได้ว่ามันมีความศักดิ์สิทธิ์ คำว่าความศักดิ์สิทธิ์คือมันมีพลัง มันมีพลานุภาพอะไรบางอย่างที่มากไปกว่าการที่มีใครมานั่งพูดนั่งบ่นอะไรและเราก็จะน้อมใจฟัง แล้วเราก็จะเปิดใจของเราสัมผัสความหมายนี้
ที่นี้ที่พระอาจารย์ท่านพูดเนี่ยนะครับ ท่านบอกเนี่ย ผมเข้าใจว่าก็คือการใช้บทมนต์เนี่ยครับ เป็นกลวิธีหรือเป็นวิธีที่จะทำให้เราเนี่ยกับอยู่กับปัจจุบันและการอยู่กับปัจจุบันก็คือการที่ปกป้องไม่ให้จิตของเราตกหล่นไปร่อง สู่ร่องของการคิดที่ปรุงแต่งและก่อให้เกิดสภาวะที่เป็นอกุศลได้ เพราะฉะนั้นเวลาทำสิ่งนี้นะครับอย่าไปปริวิตกกังวลว่าเราไม่เข้าใจความนะครับ ว่าเราไม่เข้าใจความ เพราะสุดท้ายแล้วสิ่งที่มันเป็นความหมายของมนต์เนี่ยนะครับ ความหมายก็คือมันประคับประคองจิตของเราให้อยู่ในครรลองที่ๆ ไม่ตกต่ำอ่ะนะ เพราะฉะนั้นความหมายนี้นะครับจึงเป็นความหมายสำคัญ
แต่เวลาเราบอกว่าถึงจุดๆ หนึ่ง มนต์ที่เราสวดสาธยายไปเรื่อยๆ เนี่ยนะครับ มันมีความหมายของมันขึ้นมาโดยอัตโนมัติด้วยนะ เพราะความหมายของมนต์เนี่ยมันเปิดเผย ไม่ใช่ผ่านความคิด แต่เปิดเผยผ่านการที่เราสวดสาธยายอยู่บ่อยๆ และอยู่ถี่ๆ นึกถึงภาพสิครับ ว่าเวลาเราสัมผัสความหมาย เวลาสัมผัสความหมายนี้ให้สัมผัสคล้ายๆ เหมือนกับเราฟังเพลงอ่ะครับ พวกเราเวลาฟังเพลงไม่ใช่ฟังเพลงเพราะอยากรู้ความหมายของเพลงสักเท่าไหร่นะ แต่ฟังเพลงเพราะเพลงมันมีความไพเราะไงครับ พอบางเพลงมีความไพเราะ เพราะฉะนั้นเพลงที่มันไพเราะเนี่ยนะครับ เราฟังซ้ำแล้วซ้ำอีกซ้ำแล้วซ้ำอีก ถามว่าฟังไปทำไม ก็รู้อยู่แล้วในเนื้อหามันเนี่ย มันไม่ใช่เพียงแค่สักว่ารู้นะครับ เพลงมันมีความหมายของมันคือความไพเราะ มันก่อให้เกิดความรู้สึกที่มันเป็นความเบิกบาน ทำให้เกิดความรู้สึก นึกถึงภาพสิผมไม่รู้จะพูดยังไงดี ทุกเพลงที่มีเนื้อบางทีอาจจะยังไปติดข้องอยู่กับเนื้อ เพลงที่เป็นเพลงคลาสสิคซึ่งมันเป็นเพียงแค่เมโลดี้ท่วงทำนองและเราชอบฟังอ่ะนะ ถามว่าฟังทำไม มันให้ความไพเราะไงครับ ให้มันมี คำว่าไพเราะคืออะไร ไพเราะคือสภาวะจิตของเราที่รู้สึกดีเบิกบาน เมื่อได้สดับตรับฟังท่วงทำนองเสียงนั้น ทั้งที่เสียงนั้นถามว่ามันบอกอะไร มันไม่ได้มีความหมายที่ต้องไปถามว่าเพลงบอกอะไร เพราะว่าเพลงที่ไพเราะก็พูดซ้ำๆ อยู่เนี่ยใช่ไหมครับ แต่เราชอบอ่ะ คำว่าชอบเนี่ยคือความหมายของความรู้สึก
บทสวดมนต์นะครับมันมีมิติหลายมิติ แต่มิติหนึ่งมันก็มีลักษณะคล้ายๆ เพลง คือ พอได้สดับตรับฟังแล้วมันจะก่อให้เกิดความเบิกบานแช่มชื่นขึ้นภายในใจของเรา มันเป็นความรู้สึกถึงความหมายที่มันทำให้เกิดพลังและความรู้สึกแบบนี้นะครับ มันเป็นความรู้สึกที่เราต้องการให้มันเกิดขึ้นภายในตัวเราและความรู้สึกแบบนี้นะครับที่พอเราสวดมนต์และเราก็ทำซ้ำๆ ซ้ำๆ ไม่ใช่ต้องการจะทราบความหมาย มันเหมือนกับเวลาเราฟังเพลง เราก็ไม่ต้องการจะไปทราบข้อความที่เป็นความหมายอยู่ในเพลงซึ่งเป็นการเราฟังแล้วมันมีความเพราะ คำว่าเพราะเนี่ยนะครับ เราไม่ต้องการให้ข้อเท็จจริงข้างนอกเลยนะ คำว่าเพราะเราไม่ต้องการข้อเท็จจริงข้างนอก ว่ามันบอกข้อเท็จจริงข้างนอกคืออะไร แต่คำว่าเพราะคือมันกำลังเปิดเผยความหมายอะไรบางอย่างที่มีอยู่ในใจเราแล้วรู้สึกดีที่ได้ฟังเพลง เพราะฉะนั้นเวลาเราฟังเพลงเพราะๆ มันฟังแล้วฟังอีกฟังแล้วฟังอีก ถ้าฟังเพลงเพื่อรู้ฟังแล้วมันก็จบ รู้แล้ว มันไม่ได้ปัญญาอ่อนถึงกับต้องฟังเป็นร้อยจึงค่อยรู้ ไม่ใช่ แต่มันมีความรู้สึกว่าเรากำลังเสพรสชาติอะไรบางอย่าง
ที่นี้มนต์ที่เรากำลังพูดถึงเนี่ยนะครับ จริงๆ มันมีลักษณะที่คล้ายเพลง แต่มันมีนัยยะมากกว่าเพลง มันมีความหมายที่ไม่ใช่เป็นความไพเราะเฉยๆ แต่มันมีความศักดิ์สิทธิ์ แต่นี่คำว่าศักดิ์สิทธิ์นี่เราไม่ได้แปล คำว่าศักดิ์สิทธิ์นั้นมันมีความหมาย คำว่า มันมีพลังอำนาจนะครับ ที่จะนำให้เกิดผลของการบรรลุผลทางจิต บรรลุผลทางจิตของอะไร เราต้องการข้ามพ้นความรู้สึกคับแค้น ความรู้สึกขุ่นมัว ความรู้สึกซึ่งมันกดทับเรา เราข้ามมันไปให้พ้น ไอ้มนต์เนี่ยก็จะมีพลังอันนี้ก็จึงบอกว่าศักดิ์สิทธิ์ เพราะฉะนั้นเวลามนต์มันศักดิ์สิทธิ์ มันจึงอธิบายไม่ได้ว่ามันคืออะไร แต่รู้สึกเหมือนกับว่าพอได้สวดสาธยายได้เปล่งเสียงหรือได้สดับ แล้วมันรู้สึก รู้สึกได้ถึงความหมายนี้
เพราะฉะนั้นบทมนต์แต่ละบทที่เราพูดถึงกันเนี่ยนะครับ มันจึงไม่ได้อยู่ดีมันจะเกิดนะครับ มันถูกทำให้เกิดขึ้นในมิติที่สำคัญมาก แม้กระทั่งที่เราเชื่อว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าเนี่ยครับ เป็นคำสอนพระพุทธเจ้าแล้วก็ถูกเรียบเรียงโดยความหมายให้มันมีความหมายที่ไพเราะด้วยนะครับ เพราะฉะนั้นบทมนต์ถ้าเราเข้าใจประเด็นนี้เนี่ยครับ บางทีก็พูดไม่ได้นะมีคนถามว่าสวดมนต์ดียังไง หรือพอสวดมนต์แล้วรู้อะไรเข้าใจอะไร แต่มันๆ เป็นความหมายที่เป็นความรู้อยู่ภายใน เพราะฉะนั้นที่พระอาจารย์บอกให้เราอยู่กับบทมนต์นะครับ เพราะบทมนต์จะปกป้องเราไม่ให้ไปตกสู่จิตที่ตกต่ำ สู่สภาวะตกต่ำ บทมนต์ช่วยยก ยกนะครับ ยกจิตของเราให้สู่สภาวะที่มันสูงขึ้น คำว่าสูงขึ้นคือมีพลังมากขึ้น มีความสดชื่นมากขึ้น มีความสว่างแจ่มแจ้งมากขึ้นนะครับ นั่นคือความหมายที่เป็นสิ่งที่เรียกกันว่ามนต์นะครับ
เพราะฉะนั้นเวลาเราสวดสาธยายมนต์จึงมีสิ่งนี้อยู่ในที อย่าปล่อยให้เกิดความคิดสงสัยมาตัดรอนในนี้นะ เพราะถ้านึกถึงฟังเพลง เอ๊ะ มันจริงไหมที่เพลงบอกเนี่ย ไม่เพราะนะครับถ้าเป็นอย่างนั้น เวลาเราไปดูภาพที่มันสวยๆ งามๆ ถ้าไปยืนดูแล้ว เอ๊ มันจริงไหม มันก็แค่กระดาษนี่เองไม่เห็นมีอะไร อย่างนี้แสดงว่าไม่สวยแล้วจะเป็นอย่างนี้ แต่ที่มันสวยคือพอไปดูแล้วมันเกิด เกิดสภาวะจิตของเราที่สัมผัสความงามและรู้สึกว่ามันมีความงามปรากฏขึ้นในใจ ความงามความไพเราะที่เราพูดถึงเนี่ยนะครับมันไม่ได้อยู่ที่ข้อเท็จจริงข้างนอก แต่มันอยู่ที่สภาวะจิตภายใน บทมนต์ก็มีความหมายเช่นนั้นครับ
พระอาจารย์ :
ขอตอบสั้นๆ แบบนี้นะ สมมุติ หนึ่ง ไอ้นี่มันยังกินมะม่วง ยังไม่ทันมะม่วงยังไม่ทันหวานเลยมันจะกินก่อนแล้ว นี่มันเพิ่งเริ่มทำเมื่อกี้นี่นะ 2 วันนี่นะอาจารย์ มันสรุปแล้วนะว่าจะเป็นอะไรต่อ ดูมันสิ อาจารย์ฟันหัวเลย ศรัทธามันไม่แน่นอน อันที่ 2 นะ ในชีวิตน่ะ หัดมีพื้นที่ๆ ไม่มีความคิดบ้าง แค่เนี้ยะ จบ