แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ช่วงก่อนจะออกเดินทาง คุณแม่ผมก็เสียชีวิต แล้วผมก็เลยใช้ข้ออ้างเรื่องจะทำบุญอุทิศให้คุณแม่ ก็กราบนิมนต์หลวงพ่อคำเขียนไปที่จังหวัดเชียงใหม่ แล้วก็ได้ปฏิบัติธรรมกับท่าน ทั้งในส่วนที่ตัวเองปรารถนาจะปฏิบัติกับท่านอยู่แล้ว และก็ในส่วนที่จะได้อ้างว่าเป็นการอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้คุณแม่ และในการปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อคำเขียนครั้งนั้น
น่ะครับ ก็ได้ฟังวาจาที่กลายมาเป็นความหมายที่ผมถือว่าเป็นถ้อยคำสั้นๆ แต่ลึกซึ้ง ยิ่งใหญ่ กลายมาเป็นความหมาย ที่ทำให้ผมพลิกเปลี่ยนความหมายของการปฏิบัติธรรมที่เคยปฏิบัติอยู่เดิมๆ ได้เลย
ก็คือเมื่อตอนที่นั่งอยู่ต่อหน้าหลวงพ่อคำเขียนที่ศาลาอบรมคุณธรรมที่วัดอุโมงค์นะครับ จำภาพได้ไม่ลืมเลยครับ ผมชวนเพื่อนไปจำนวนหนึ่งนะครับ ด้วยความรู้สึกว่าจะปฏิบัติคนเดียวก็มันดูเป็นส่วนตัวไป ก็ไปชวนเพื่อนที่เป็นอาจารย์อยู่ ใครบ้างก็บอกเราไปปฏิบัติธรรม แล้วชื่อเสียงของหลวงพ่อคำเขียนท่านก็ดีอยู่แล้วเนี่ยครับ ก็เลยไปกันจำนวนหนึ่ง
หลวงพ่อไม่ได้สอนการสร้างจังหวะด้วยตัวท่านเองนะ ท่านให้พระอาจารย์ทรงศีลเป็นผู้สาธิต แต่ก่อนที่จะเริ่มต้นให้เราดูการสาธิตวิธีสร้างจังหวะ ท่านก็กล่าวเป็นการให้กำลังใจหรือเป็นการกล่าวทักทาย ท่านเริ่มต้นด้วยการถามขึ้นมาว่า ตอนนี้มือของเราวางไว้ที่ไหน ท่านพูดเสร็จท่านเว้นระยะนิดหนึ่งแล้วก็เว้นวรรค แล้วทันทีที่พอเว้นวรรคเสร็จแล้วท่านก็บอกว่า มือคือกาย จิตรู้กายได้โดยไม่ต้องคิด ทันทีที่ผมฟังคำพูดของหลวงพ่อสั้นๆ แค่นั้นน่ะครับ ผมรู้สึกได้ถึงความมหัศจรรย์ของความหมายที่เกิดปรากฏขึ้นในใจใช่ ใช่ เราเผลอคิดไปทุกเรื่อง แม้กระทั่งในเชิงปริยัติเราก็รู้อยู่แล้วว่าการปฏิบัติกรรมฐานหรือวิปัสสนากรรมฐานที่เราใช้ตามหลักสติปัฏฐานทั้ง 4 เนี่ยครับ ที่เราพูดถึงกาย เวทนา จิต และธรรม
ที่เป็นที่ตั้งของสติ ก็คือการที่ตั้งของจิตรู้สิ่งนี้ได้โดยไม่ต้องคิด จิตรู้กายได้โดยไม่ต้องคิด แต่เราก็เผลอคิดอยู่เรื่อย เพราะฉะนั้นสิ่งที่มันเป็นความหมายที่สำคัญตรงนี้น่ะครับ สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกตื่นขึ้นมากับคำพูดสั้นๆ อาจจะเป็นเพราะความพร้อมหรืออะไรก็ไม่แน่ใจนะครับ แต่ก็เล่าตรงนี้เพียงเพื่อจะบอกว่า คืนนั้นนั่งสร้างจังหวะตามที่พระอาจารย์ทรงศีลท่านเริ่มต้นให้ สาธิตให้เราดู และเมื่อเราทุกคนทำกันได้แล้วเราก็นั่งสร้างจังหวะ หลวงพ่อคำเขียนก็แค่นั่งให้กำลังใจ พระอาจารย์ทรงศีลก็เป็นเพียงแค่นั่งให้กำลังใจ ผมรู้สึกได้เหมือนกับว่า ผมใช้ภาษาของผม ผมใช้ความรู้สึกผมพบอุปกรณ์หรือเครื่องมือที่สำคัญ
ผมเคยเปรียบเทียบว่า ผมเหมือนกับเป็นคนขับรถเก่าๆ อยู่นะครับ แล้ววันหนึ่ง มีรถคันใหม่ สมรรถนะดี และโอ้โหมันดีมาก มีความรู้สึกว่ารถดีขนาดนี้ไม่ควรขับวนเวียนอยู่ตามถนนในเมืองเชียงใหม่แล้ว ควรจะขับให้ไกลสุดๆ ไปเลยประมาณนี้ครับ ความคิดนี้ก็มาผนวกกับผมลาออกจากราชการ ก็เลยเริ่มต้นการเดินทางแล้วก็ได้ใช้สิ่งที่หลวงพ่อคำเขียนท่านสอนผมนะครับ ในการภาวนา ในการออกเดินทางเมื่อปลายปี 48 นะครับ
แล้วก็นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมานะครับ ผมก็ได้ใช้ความหมายนี้ในการที่จะบำเพ็ญภาวนาคือการที่ทำให้เราอยู่กับสภาวะที่จิตรู้อารมณ์ที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันขณะ โดยที่ไม่ต้องคิดปรุงแต่งความหมาย ฮู้ซื้อๆ นั่นคือความหมายที่กลายมาเป็นความหมายที่สำคัญ และผมก็ได้พบว่ามันมีความมหัศจรรย์ของความรู้
มีคนถามผมว่าที่ผมบอกว่าผมรู้ แล้วเมื่อก่อนนั้นไม่รู้หรือ เพราะว่าผมก็สอนวิชาทางพุทธศาสนา สอนพุทธปรัชญามานานมาก ก็ที่ผมบอกว่าผมรู้ ผมก็รู้อยู่ก่อนแล้วไม่ใช่หรือ ผมก็ไม่รู้จะอธิบายเขายังไงเหมือนกันนะ ด้วยความสัตย์จริง ด้วยความสัตย์จริง ด้วยความสัตย์จริง ไม่รู้จะอธิบายยังไง รู้เพียงแค่ว่าไอ้ที่รู้ก่อนๆ มันไม่ใช่ มันไม่ใช่ โดยเฉพาะเมื่อผมเดินไปจนถึงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แล้วเย็นวันหนึ่งเมื่อใกล้จะมืดแล้ว โดยปกติผมมีความลงตัวแล้วว่าทุกคืนจะนอนต้องนอนภายในวัด อย่าไปนอนในพื้นที่สาธารณะอื่นๆ เพราะจะทำให้คนเขากลัว แล้วก็เป็นภาระกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่จะต้องได้รับโทรศัพท์แล้วไปแจ้งให้จัดการเรื่องคนบ้าอะไรงี้นะครับ ซึ่งผมก็คิดว่ามันเบียดเบียนเขา ทีนี้นอนในวัดก็มีความหมายเพียงแค่ว่าอย่าไปนอนในพื้นที่ซึ่งมีของมีค่าให้ไปขอนอนใต้ต้นไม้ เพราะวัดที่ไหนก็ทุกวัดแหละ แม้กระทั่งอยู่ในเมืองก็ยังมีต้นไม้ให้เราขอนอนได้ ถ้าไปขอนอนใต้ต้นไม้นะครับ พระท่านจะไม่หวงเพราะเหตุว่าไม่มีทรัพย์สินมีค่าใดๆ เมื่อผมเข้าไปในวัดวัดหนึ่ง ก็มองเห็นพระภิกษุรูปหนึ่งอยู่ไม่ไกล ก็เดินไปในจุดที่ท่านอยู่
เมื่อท่านรู้ตัวว่าผมเดินตรงเข้าไปหาท่าน ก็เดินไปหาใกล้ท่านเนี่ยนะครับ ท่านหยุดมองผม ผมเข้าใจว่าภาพของผมที่ปรากฏในสายตาของท่านเนี่ย ท่านคงมีข้อสรุปแล้วล่ะ เพราะเรานึกถึงภาพนะครับ ผมเดินไปเดือนกว่าจะสองเดือนแล้วตอนนั้น เนื้อตัวของผมเนี่ยสกปรกเต็มที กลิ่นตัวเหม็น ระหว่างนอนแต่ละคืนก็นอนอยู่กับหมากับอะไรงี้ กลิ่นตัวคนกลิ่นตัวหมาผสมเป็นเนื้อเดียวกันแล้วครับ น้ำก็ไม่ค่อยได้อาบ ผมเผ้าก็รกรุงรัง ก็คือคนบ้าเราดีๆ เนี่ยครับ ตอนแรกผมก็ไม่รู้ตัวนะผมเป็นคนบ้าไปแล้ว จนกระทั่งเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจขี่รถสายตรวจมาสกัดผม แล้วก็ให้ผมหยุด ตอนแรกเขากลัวๆ กลัวผมจะทำร้ายเขา เพราะเขาได้รับโทรศัพท์แจ้งจากประชาชนที่ไหนก็ไม่รู้ แจ้งไป 191 อะไรประมาณนี้นะ
ว่าให้มาจับคนบ้าเดี๋ยวจะมีอันตรายต่อเด็กอะไรงี้นะครับ เมื่อเขาจะมาจับผม เขาก็ยังกลัวๆ ผม แต่พอสุดท้ายเมื่อเขาคุยกับผม เอ๊ะ ผมไม่บ้านี่ คุยรู้เรื่องดี ไม่ใช่รู้เรื่องดีธรรมดา ถามอะไรตอบได้นะครับ สุดท้ายเขาก็เลยทำอะไรไม่ได้ ได้แค่บ่นว่า เนี่ย บ้านเมืองมันวุ่นวายก็มีอาการเพี้ยนๆ อย่างนี้แหละ (หัวเราะ) ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงนะครับ เพราะตอนที่ตำรวจพูดก็ยืนสงบสำรวมใจนิ่งนะครับ แล้วก็ตั้งใจว่าถ้าชีวิตยังมีอยู่ก็จะใช้ชีวิตนี้ไม่ให้มันวุ่นวายตามที่ตำรวจท่านว่าอะไรงี้นะครับ แต่ที่เล่าตรงนี้ให้ฟังก็คือเพื่อจะบอกว่า ภาพของผมตอนนั้นที่ปรากฏต่อสายตาของพระภิกษุ ก็คือคนบ้า เพราะทันทีที่ผมนั่งลงพนมมือ คุกเข่าและพนมมือระยะประชิดท่านแล้วเนี่ยครับ ท่านไม่ถึงกับถอยหนี ความรู้สึกก็ผมก็คงไม่ได้เข้าไปใกล้ตัวท่าน เพราะนั่งคุกเข่าลงพนมมือเสียก่อน แล้วผมก็กล่าวถ้อยคำ ผมไม่แน่ใจว่าผมจะกล่าวได้กี่คำนะครับ แต่คิดว่าอาจจะจบประโยคหรือไม่จบประโยค ด้วยความหมายว่าผมต้องการจะกล่าวถ้อยคำประมาณว่า ขอความเมตตา ถ้าท่านอนุญาต ขอนอนใต้ต้นไม้สักต้นหนึ่งนะครับ ประมาณนี้
แต่ปรากฏว่าท่านฟังผมไม่จบประโยค หรือฟังไปแล้วท่านก็จับความได้ว่าพอแล้วประมาณนี้ ท่านจึงโบกมือนะครับ แล้วท่านส่งเสียงค่อนข้างดัง ออกไป ออกไป ไม่ให้คนจรจัดมาอยู่ในวัด เมื่อท่านพูดเสร็จ ท่านก็หันหลังเดินจากไป เพราะรู้แล้วว่าผมมาทำอะไรใช่ไหมครับ ช่วงขณะนั้นผมไม่ได้คิดปรุงแต่งอะไรเลย ด้วยความรู้สึกเพียงแค่ว่าตัวเองนั่งคุกเข่า มือก็พนมอยู่ ก็เลยก้มลง แล้วก็กราบ ผมยังจำสภาวะตอนนั้นได้ดี แม้กระทั่งผ่านมานานมากแล้วนะครับ ผมจำได้แต่ว่าเมื่อผมก้มลงกราบ มือผมไปราบอยู่กับแผ่นดินวัดซึ่งเป็นทราย เพราะวัดนั้นเป็นวัดที่อยู่ไม่ไกลทะเลนะครับ ทรายทะเลที่ถูกขนมาเกลี่ยไว้ในวัดมันจึงสะอาดและเป็นทรายที่สะอาด
ผมจำได้เพียงแค่ว่ามือกางลงและหน้าผากไปสัมผัสทรายที่อยู่ระหว่างมือ สภาวะที่มันปรากฏให้ผมรู้สึกได้จนถึงวันนี้ก็คือ ผมตัวสั่น น้ำตาไหล ด้วยความรู้สึก รู้สึก ที่มากๆ เป็นความรู้สึกที่มันเป็นความรู้ ความรู้ที่ไม่สามารถพรรณนาเป็นถ้อยคำได้ แต่เป็นความรู้ที่ไม่ใช่เกิดจากความคิด เป็นความรู้ที่เกิดปรากฏขึ้นในจิตของเรา เป็นความรู้ที่ผมอยู่ในท่านั่งคุกเข่าเป็นเวลานานพอสมควร จนกระทั่งว่าเมื่อความรู้สึกปีติสงบระงับแล้วจึงค่อยลุกขึ้น แล้วความรู้สึกนั้นๆ ผมมีความรู้สึกได้เลยว่านี้เป็นความรู้ใหม่ ที่มันไม่ใช่เป็นการคิดปรุงแต่ง มันเป็นความรู้ที่ทำให้ผมรู้สึกได้ว่าการเดินทางออกมาเพื่อบำเพ็ญภาวนามีผลนะครับ เป็นความรู้ที่ดีมากๆ
เดี๋ยวยังไงอาจจะคุยกันทีหลัง แต่อยากจะบอกเพียงแค่ว่า ความรู้ซึ่งถ้าจะเอาไปเทียบเคียงกับฝ่ายปริยัติที่ผมเรียนมาก็คงประมาณๆ เหมือนกับว่านี้มันเป็นเพียงแค่โลกธรรมที่เราจะต้องพบทั้งฝ่ายอิฏฐารมน์และอนิฏฐารมณ์ใช่ไหมครับ แต่ในสมัยเมื่อเรียนปริยัติธรรมหรือศึกษาปริยัติอยู่นั้น รู้ได้ว่ามีอารมณ์ 2 ประเภท คือ อิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์ รู้เพียงแค่ว่าเมื่อเราเสพเสวยอารมณ์ที่เป็นอิฏฐารมณ์ เราก็เกิดความยินดีพอใจถ้าเสพเสวยอารมณ์ที่เป็นอนิฏฐารมณ์เราก็เกิดความรู้สึกอึดอัดขัดข้องขัดเคืองนะครับ รู้ไปเสียอีกนะครับว่าถ้าเป็นฝ่ายพอใจก็จะเกิดราคานุสัย ถ้าเป็นฝ่ายไม่พอใจก็จะเป็นปฏิคานุสัยอะไรงี้นะครับ รู้มากไปเลยเถิดไปไกลเลย
เพราะฉะนั้นเราควรจะรู้เท่าทัน ไม่ควรตกอยู่ในวิสัยของโลกซึ่งเป็นโลกียธรรมแบบนี้นะครับ แล้วก็รู้สอนคนอื่นไป แต่วันนั้น มันไม่ได้คิดอะไรถึงอนาคต ไม่ได้คิดอะไรมากมาย รู้เพียงแค่ว่าจิต ตอนที่ได้ยินเสียงพระภิกษุท่านบอกว่าออกไป ออกไป ไม่ให้คนจรจัดมาอยู่ในวัด กริยาที่พระภิกษุโบกมือไล่ให้ออกไปจากวัด มันเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้ได้ถึงความหมายของเส้นทางการเรียนรู้ที่เราใช้เวลานานมาก นานมาก นานมาก นานมาก กว่าจะมาถึงสภาวะที่เรารู้และจิตของเราไม่ตกหล่นไปสู่สภาวะของความยินดีพอใจที่จะหน่วงเหนี่ยวมันไว้หรือไม่พอใจขับไสไล่ส่งมันไปอย่างนี้นะครับ ผมเอาตรงนี้มาพูดกับทุกท่านเป็นเบื้องต้นส่วนนี้ เพื่อจะเล่าให้ฟังว่าสิ่งที่มันเป็นการก้าวออกมาจากความคิดมาสู่การตื่นรู้นี้ บางทีพูดง่ายแต่ว่าเส้นทางมันค่อนข้างจะยากที่จะพูดแบบใช้คำง่ายๆ นะครับ จนถึงปัจจุบันนี้ผมก็ยังตื้นตันบอกไม่ถูกว่าผมจะใช้คำพูดว่ายังไง