แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ผมพูดด้วยความเป็นหญิงเป็นชายก่อน ไม่ได้เกี่ยวกับเพศหญิงหรือเพศชายนะ เกี่ยวกับความเป็นหญิงและความเป็นชาย แต่เราถือกำเนิดเกิดมาบนความเป็นเพศหญิงนะครับ ความเป็นหญิง เพราะฉะนั้นเวลาเราจะกลับไปสู่จุดเริ่มต้นของความเป็นเราเนี่ยนะ เราจึงกลับไปสู่ความเป็นหญิง ความรู้ที่จะหยั่งถึงจุดกำเนิดของชีวิตเนี่ยนะครับ เป็นความรู้เพศหญิงครับ
ทีนี้จากสิ่งที่ผมเคยคุย ตอนที่เราคุยกันครั้งก่อนใช่มั้ยว่า สมัยที่ผมบวชและไปเรียนภาษาบาลี ผมพบความยุ่งยากอย่างหนึ่งในภาษาบาลี คือภาษาไทยเราไม่มีเพศ คำทุกคำในภาษาไทยไม่มีเพศ แต่พอไปเรียนภาษาบาลีปุ๊บ คำในภาษาบาลีมีเพศ และผมงงว่าคือเวลาจะทำหนึ่งคำให้เป็นคำเนี่ยครับ เวลาเราเอาไปใช้ที่เขาเรียกว่าแกะคำวิภัตติหรือแกะศัพท์เนี่ย ต้องแกะให้ถูกว่าศัพท์นี้เป็นเพศไหนนะครับ และทีนี้ผมก็เลยงงว่า แล้วผมจะรู้ได้ยังไงว่าคำแต่ละคำ คำไหนเป็น เค้าเรียกว่าเป็น ปุงลิงค์คือเพศชาย อิตถีลิงค์คือเพศหญิง ถ้า นปุงสกลิงค์คือไม่มีเพศ ถ้าไม่มีเพศก็คือเช่นสิ่งของบางอย่างนี้ก็ไม่มีเพศ
ผมก็เลยไปถามครูที่สอนผมว่า แล้วผมจะรู้ได้อย่างไรครับว่า คำไหนเป็นเพศไหน ครูท่านก็ตอบให้ไม่ถูก ท่านบอกว่าต้องจำเอา ครับผมก็เลยต้องจำนะครับเพื่อจะท่องให้ถูก เพราะเวลาเราจำแน่นอนครับ เช่นคำว่า บุรุษ นี่เป็นเพศชายอยู่แล้วล่ะครับ ผมจะได้ท่องถูกก็คือเวลาไปใช้คำว่า บุรุษหรือปุริส เนี่ยนะครับ ก็ต้องท่องเป็น ปุริโส ปุริสา ปุริสํ ปุริเส ปุริเสน ปุริเสหิ อะไรก็ว่าไปท่องไปเรื่อยๆ จนมันนานแล้วก็ยังจำอยู่เลย ยังจำได้ไม่ลืม แต่ถ้าเป็นเพศหญิงอิตถีลิงค์ ก็ท่องไปอีกแบบนึงนะครับจะท่องไม่เหมือนกัน ทีนี้ผมก็เลยเก็บความสงสัยนี้ไว้นาน แต่ก็เมื่อครูสอบผมก็ต้องจำเอาเลยไม่ได้ครุ่นคิดอะไรต่อ
แต่ต่อมาเมื่อโตขึ้นได้เรียนอะไรมากขึ้น โดยเฉพาะตอนผมไปอยู่ที่อินเดีย ผมไปอยู่อินเดียไปอยู่ในต้นทางของการใช้คำ ซึ่งเป็นที่มาที่ทำให้มีเพศ ผมจึงพบว่ามันไม่ใช่เป็นเรื่องกำหนดมาลอยๆ มันมาจากธรรมชาติที่แท้จริง พอเป็นธรรมชาติที่แท้จริงเนี่ยนะครับมันเลยกลายมาเป็นว่า เป็นสภาวะความเป็นหญิงเป็นชายมันมีอยู่จริง
เมื่อตะกี๊เราพูดถึงของ แต่เราพูดถึงสภาวะอารมณ์จิตใจก็เหมือนกัน เช่น เราพูดถึงความรู้ ความรู้ที่เป็นระดับต้นๆ เนี่ย เป็นหญิงหรือชายก็ได้ แต่ความรู้ชั้นสูงต้องเป็นหญิงเท่านั้น เช่น เราไปเจริญปฏิบัติวิปัสสนา ความรู้ที่เกิดขึ้นจากการเจริญวิปัสสนา จะเป็นความรู้ที่เป็นหญิง ใช้คำว่า ญาณ เราจึงได้ยินคำว่า วิปัสสนาญาณ เวลาใครไปปฏิบัติธรรม แล้วมีพระวิปัสสนาจารย์ ท่านเทศน์เกี่ยวกับญาณให้เราฟัง ว่าหลังจากปฏิบัติแล้วจะมีญาณหนึ่ง ความรู้ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติวิปัสสนาทั้งหมดที่เรียกว่า ญาณ เนี่ยเป็นหญิง
แล้วเมื่อตะกี้ที่ถามว่าแล้วเราจะรู้ได้ยังไง เราจะจำคำนี้ได้ยังไง เราก็ต้องกลับมาเป็นหญิง คำว่ากลับมาเป็นหญิง คือจิตของเราจะต้องหยั่งลงสู่ความเป็นอิตถีลิงค์นะ หยั่งมาสู่ ความหมายก็คือ เขาบอกว่าความคิดนี่ ความรู้ที่เป็นความคิดนี่เป็นผู้ชายนะครับ จนปัจจุบันพวกเราไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือเป็นชาย ถูกทำให้ความรู้ทั้งหมดเป็นความรู้แบบชาย เพราะทันทีที่เราเข้าโรงเรียน ยิ่งเรียนในมหาวิทยาลัยเนี่ยยิ่งโคตรชายเลยเนอะ โคตรชายเนี่ยหมายความว่า ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือเป็นชายถูกทำให้มีความรู้แบบชาย เพราะความรู้แบบชาย ความรู้ต้องมีคำถามว่า เพราะอะไร ทำไมอยู่เสมอ เพราะอะไรทำไมอยู่เสมอ เช่น จะทำอะไรสักอย่าง ถามทำไมต้องทำ ทำไปทำไม ทำเพื่ออะไร อย่างนี้ เป็นต้น ถ้าเราตอบขึ้นมาได้คือเป็นความรู้แบบชายนะครับ
เมื่อตะกี้ผมจึงเอ่ยบอกว่า ถ้าไปถามว่าทำไมต้องเลี้ยงดูลูก แม่งงเลยนะว่าจะตอบว่ายังไง ถามว่าเลี้ยงไปเพื่ออะไร เลี้ยงแล้วจะได้อะไร ผมเข้าใจว่าแม่ตอบไม่ได้ ถ้าแม่จะตอบได้ แม่ต้องไปเรียนหนังสือ ต้องให้ไปเรียนหนังสือในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยจะตอบได้เป็นฉากๆ เลยนะครับ แต่ความหมายที่กำลังพูดถึงเนี่ย เรากำลังพูดถึงสิ่งที่มันมีความหมายบางอย่าง ความหมายบางอย่างที่เราพูดถึงเนี่ย เป็นความหมายที่หยั่งถึงด้วยสภาวะจิตที่ไม่ใช่เป็นการคิด เพราะการคิดคือการปรุงอารมณ์ความหมายขึ้นในใจของเรา และความหมายที่เราปรุงขึ้นมาเนี่ย ปรุงจากระบบคิดเชิงเหตุผล ระบบคิดเชิงเหตุผลเนี่ยครับจึงทำให้เราห่างจากต้นทางของชีวิตของเรามาก ความคิดเชิงเหตุผลเนี่ยนะครับที่ทำให้เรายากที่จะหยั่งลงไปถึงจุดกำเนิดเกิดความเป็นตัวเรา ซึ่งมันเป็นต้นทางที่เรียกว่า การ… (05.01 เสียงไม่ชัดเจน)
ที่นี้ความหมาย แต่ไม่ได้หมายความคิดไม่ดีนะครับ แต่ผมหมายความหมายว่าถ้าเราไปคิดปุ๊บเนี่ยนะครับ มันทำให้เราปรุงความหมายจากความคิด และความหมายจากความคิดเนี่ยเป็นความหมายที่สร้างสรรค์ขึ้นมาภายในชีวิตของคนใดบางคนแล้ว เพราะฉะนั้นเวลาเรามีความหมายภายในใจอะไรบางอย่าง จึงเป็นความหมายที่ถูกปรุงรสขึ้นมาแล้ว และพวกเราเนี่ยนะครับ เสพติดรสชาติชีวิตที่ปรุงขึ้นใหม่ ซึ่งเป็นการปรุงโดยวิธีคิดแบบชายละ เพราะฉะนั้นจึงทำให้เกิดคำถามว่า แล้วการ… (05.41 เสียงไม่ชัดเจน) คืออะไร หรือกรุณาคืออะไร เพราะมันเป็นสิ่งที่เรา เราใช้ความคิดเข้าไปกำกับว่าเป็นอะไร
นึกถึงภาพเวลาเราตำหนิแม่บางคนน่ะที่จะรักลูก ทำไมเข้าข้างลูกเหลือเกิน เพื่อนบ้านรู้หมดแล้วว่าลูกคนนี้เด็กคนนี้ชั่วนะครับเนี่ย มีแต่แม่คนเดียวที่ยังไม่รู้ เพราะความชั่วความดีเป็นผลของรสชาติชีวิตถูกผลิตขึ้นด้วยความคิดเชิงเหตุผล ไม่ยากเลยที่เราจะตัดสินว่าใครคนหนึ่งชั่วหรือดี แต่ยากมากที่จะตัดสินว่าตัวเองชั่วหรือดี เพราะตัวเราเองเป็นความรู้สึกภายในที่ลึกๆ แล้ว มันไม่ใช่เรื่องความคิด ทุกครั้งที่เราทำอะไรมีคนบอกไม่ดีหรอก เรามีเหตุผลที่จะอ้างเค้านะ แต่ถ้าวันใดที่เราไม่มีเหตุผลที่จะอ้าง เราก็เงียบแล้วก็เงียบ
เพราะฉะนั้นในระหว่างที่เป็นประเด็นที่ผมเข้าใจว่านี่คือ สิ่งที่เป็นโครงสร้างที่สำคัญที่ทำให้เกิดความหมาย เพื่อจะตอบคำถามว่า หญิง ชาย ที่พูดถึงเนี่ยนะ มันหมายเพียงแค่สภาวะนะครับ ที่เป็นกลไกอยู่ในใจของเรา สภาวะที่เราหยั่งลงไปในความหมายที่เป็นต้นทางต้นกำเนิดนั้นเป็นหญิงครับ สภาวะที่ส่งออกไปเพื่อหาความหมายข้างนอกนั้นเป็นชาย เพราะฉะนั้นเวลาเราพูดอะไรที่เป็นสิ่งที่มันเป็นฐานของความหมายนี้นะครับจึงเป็น เป็นหญิง
และผมก็พบว่าจริงๆ พวกนี้ไม่ใช่เฉพาะอินเดียนะครับ สายสกุลของพวกอินโด-ยูโรเปียนเนี่ย ภาษาที่ใช้เนี่ยนะครับ ไม่ว่าจะเป็นภาษาที่เป็นอยู่ในยุโรป เรากลับพบว่าเค้ามีความเป็นหญิงเป็นชาย พวกเราที่ไปเรียนภาษาอังกฤษมาคงทราบดีใช่มั้ย ว่าเวลาเราใช้คำบางคำ เช่น ถ้าคำว่าประเทศอย่างเนี้ย ประเทศไทยเนี่ยนะครับ คำว่าประเทศคือแผ่นดินก็เป็นหญิงนะครับ เพราะฉะนั้นเวลาที่เราต้องการจะบอกว่า เกิด เกิดตามที่ประเทศเพื่อนบ้านเราเนี่ย ประเทศลาวเนี่ยนะครับ เขาพูดกันเป็นภาษาอังกฤษใช้ เออ คำว่าเออ ในที่นี้ คำว่า เออ นี่ก็เป็นหญิงนะครับเพราะฉะนั้นนี่คือ นี่คือความหมายของความหมายว่ามันมีความหมายเดียวกัน เพราะฉะนั้นคำว่า แผ่นดินหรือธรณี ในภาษาบาลี-สันสกฤตก็เป็นหญิงอย่างนี้นะครับ แม่น้ำอะไรอย่างนี้นะครับ
เพราะฉะนั้นนี่เป็นความหมายที่สำคัญในฮินดู ในตำนานธรรมฮินดูจึงมีเพศ ทั้งที่เป็นเพศผู้ชายและเพศผู้หญิง แต่เพศเหล่านี้นะครับเวลาเราพูดถึงมันก็เลยกลายมาเป็นเรื่องราว เพราะฉะนั้นในพุทธศาสนาในเวลาต่อมา ในเวลาต่อมานะครับไม่ใช่ในเบื้องต้น เพศหรือพระโพธิสัตว์หรืออะไรก็แล้วแต่ในพุทธศาสนาก็เป็นหญิง เพศเดียวกับที่เป็นญานความรู้ชั้นสูง เช่น เรามีพระแม่ปรัชญาปารมิตา เรามีพระแม่ตารา อะไรอย่างนี้นะครับ สิ่งเหล่านี้เป็น เป็นเรื่องทีเดียวอาจจะคุยกัน แต่คิดว่า จะสามารถช่วยให้เราเข้าใจกับความหมายของการ… (08.40 เสียงไม่ชัดเจน) ได้
แต่ขอคุยตรงนี้ก่อนที่ว่า คำว่าเพศที่เราพูดถึงนี้ไม่ได้หมายความ ในความหมายในเพศที่ เพราะจริงๆ แล้วในความหมายก็คือ ทันทีที่ไปถึงจุดๆ หนึ่งเนี่ยครับ ไม่ว่าหญิงหรือชายครับ ถ้าปฎิบัติหรือบรรลุถึงสภาวะๆ หนึ่ง ก็จะมีสภาวะของความเป็นหญิง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกนะครับ ที่หลวงพ่อ พระเกจิอาจารย์ที่เราเคารพบูชาจำนวนมาก ลองเข้าไปใกล้ทุกท่านดู ท่านจะมีลักษณะคล้ายๆ แม่ คล้ายๆ แม่ คือหมายความว่า เย็นสงบ เวลาเข้าใกล้แม่นี่เราจะไม่ค่อยรู้สึกกังวลใจนะ แต่เวลาเข้าใกล้พ่อนี่จะอธิบายเหตุผลยังไง นึกถึงภาพสิถ้าเกิดเราเผลอไปทำอะไรผิด เช่น กลับบ้านไม่ตรงเวลานะครับ เราจะนึกถึงตอนเป็นเด็กๆ นะครับ มีความรู้สึกเลยว่า ถ้าไปเจอพ่อนี่ โหว เอาละ นึกถึงภาพสิ เยาวชนไปติดถ้ำ จะถามว่ากลัวอะไร คนค่อนข้างกลัวสารพัด กลับบ้านพ่อถล่มแน่ เพราะฉะนั้นความหมายที่เราพูดถึงนี่ เราพูดถึงธรรมชาติที่มันเป็นธรรมชาติลึกๆ อยู่ในตัวเรา เป็นธรรมชาติลึกๆ อยู่ในตัวเราเนี่ยผมเข้าใจว่า ถ้าเรากลับมาภายในแล้วเราใช้ความเป็นหญิงมันจะเป็นความหมายนี้