แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
คำถาม: มีคำถามหนึ่งที่น่าสนใจ ก็คือว่า ลักษณะที่ว่าเวลาที่ โอเค เข้าใจตามความหมายคำว่าแม่กับลูกนะคะ แต่เขาบอกว่าบางครั้งมันจำเป็นต้องปฏิเสธการช่วยเหลือเพราะว่าตัวเองเนี่ยมีศักยภาพไม่พอนะคะ เวลานั้นเนี่ยความเมตตากรุณาต่อตัวเองมันก็มี มีปรากฎขึ้นมา ก็จะทำให้รู้สึกว่า เอ๊ะ เป็นการเอาตัวรอดไหมถูกแทนที่ คือมันช่วยไม่ได้ในศักยภาพของตัวเองที่ถนัดนั้นค่ะ
คือประเด็นนี้เป็นประเด็นที่สำคัญนะครับ เพราะในสถานการณ์จริงเนี่ย พอไปถึงจุดๆ หนึ่งแล้ว พอยกตัวอย่างแม่ยกตัวอย่างต่อเลยนะ คือยกตัวอย่างแม่ ก็ยกตัวอย่างต่อเรื่อยๆ เลยนะครับ มันมีประเด็นปัญหาๆ หนึ่งที่เกิดขึ้นในแวดวงของชาวพุทธ
ในสมัยที่พระพุทธองค์ยังมีพระชนมชีพอยู่นะครับ ก็คือกรณีที่พระภิกษุจำเป็นต้องมีชีวิตอิงอาศัยชาวบ้านทั่วไป แต่ในสังคมอินเดียมีปัญหาเรื่องการทานอาหารที่ประกอบด้วยเนื้อสัตว์คือไม่ประกอบด้วยเนื้อสัตว์ ที่นี้เมื่อพระพุทธองค์ต้องการให้พระภิกษุมีชีวิตอยู่อย่างเรียบง่ายไม่สร้างเงื่อนไขให้เกิดเป็นปัญหาให้กับประชาชนที่อยู่ด้วย ก็เลยจึงเปิดประเด็นว่า อยู่กับบุคคลเช่นไรรับประทานอาหารที่เขาทานกัน
ที่นี้ประเด็นคำถามที่ถามว่า แล้วพระพุทธเจ้าไม่ห้ามหรือเท่ากับอนุญาตให้พระภิกษุทานอาหารที่มีเนื้อสัตว์ มิเท่ากับเป็นการส่งเสริมให้เกิดการฆ่าสัตว์หรือ ถ้าเป็นเช่นนั้น พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า ให้พระภิกษุนะครับ ทานอาหารที่ประกอบด้วยเนื้อสัตว์ประดุจดังมารดาทานอาหารที่ปรุงด้วยเนื้อบุตร โอ้โห เป็นเรื่องใหญ่เลยที่นี้
ก็เลยมีนิทานเลยทีนี้มีเรื่องหนึ่งนะครับ มารดาหรือแม่เนี่ยนะครับพาลูกจำนวนหลายคนต้องผ่านทะเลทรายที่แห้งแล้งยากลำบากและขาดอาหาร สถานการณ์บีบคั้นเป็นที่สุด เมื่อลูกคนหนึ่งตายลง ก็ต้องเอาเนื้อลูกคนนั้นนั่นนะครับ มาทำเป็นอาหารเพื่อให้ลูกคนอื่นๆ และตัวเองจะได้มีชีวิตต่อไป เพื่อจะพาลูก เพราะถ้าตัวเองไม่ทาน คือตอนที่แม่ทานอาหารที่มีเนื้อลูกผสมอยู่ มันเป็นความรู้สึกที่สุดแสนจะบีบคั้น แต่แม่ก็รู้ว่าถ้าแม่คือตัวท่านเองไม่มีอาหาร ชีวิตก็อยู่ต่อไปไม่ได้ ต้องจบชีวิตลง ลูกคนอื่นที่ยังเล็กอยู่เนี่ย เมื่อไม่มีแม่ที่เป็นผู้ใหญ่คอยนำพาเนี่ย เค้าก็ต้องจบชีวิตลงเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นปัญหาที่มันสำคัญเกิดขึ้นเป็นโจทย์ในใจ ก็คือจะทำอย่างไร เพราะตัวเองก็ต้องมีภาระในการคุ้มครองปกป้องลูกที่ยังมีชีวิตเหลืออยู่ จึงทานอาหารซึ่งมีเนื้อของลูกผสมอยู่นั้น ด้วยความรู้สึกได้ถึงความหมายว่าต้องมีชีวิตอยู่ เพื่อดูแลลูกที่ยังมีชีวิตอยู่ให้รอดพ้นจากอันตรายครั้งนี้ให้ได้
เพราะคำพูดที่บอกว่า “ประดุจดังมารดาที่รับประทานเนื้อบุตร” เนี่ยนะครับ มันมีความหมายที่มันสะท้อนความรู้สึกอะไรบางอย่างที่ลึกซึ้งยิ่งใหญ่ และความรู้สึกแบบนี้นะครับ เป็นความรู้สึกที่ทำให้มันเกิดเป็นความหมายให้เราตระหนักได้ถึงค่าของชีวิตนะครับ ว่าขณะที่เรามีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน ถ้าเรารับประทานอาหารแล้วสำนึกได้ถึงความหมาย ว่ามีชีวิตหลายชีวิตโดยกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ อุทิศชีวิตเพื่อพยุงช่วยทำให้เรามีชีวิตอยู่ต่อไป ความรู้สึกแบบนี้ จะเป็นความรู้สึกที่บ่มเพาะให้เราเกิดเมตตาธรรมต่อสัตว์จำนวนหลากหลายอันไม่มีประมาณ
นึกถึงภาพสิครับ ชีวิตที่เรามีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน ณ ขณะปัจจุบันนี้ เรามีชีวิตของเราอยู่ได้ด้วยกฏของธรรมชาติที่มีชีวิตอื่นจบชีวิตลง ตามความรู้สึกที่มันอธิบายยากๆ มากๆ นี่ ผมเล่าเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้น แล้วก็มีอยู่ในหนังสือที่ผมเขียนไว้ด้วยนะครับ ว่าตอนที่ผมออกเดินทางมาจากเวียดนาม แล้วผมไปเดินอยู่ในอุทยานแห่งชาติแม่ปิง แล้วมันเกิดปรากฏการณ์ที่มหัศจรรย์มากที่ผมไม่เคยมีความรู้สึกที่มันชัดเจนแบบนี้มาก่อนเลย ก็คือ ตอนที่ผมเดินไปก็ทำสมาธิภาวนาไป ก็คือตอนที่เดินเนี่ยไม่มีใครมารบกวนผมเลย แล้วขณะที่ผมเดินไปวันหนึ่งแล้วผมเจอไส้เดือนที่ถูกมดกัด แล้วไส้เดือนที่ถูกมดกัดนี่มันดิ้นเพื่อเอาชีวิตรอด ผมหยุดดู ตอนที่หยุดจริงๆ ผมยืนดูนะ แต่ผมอินกับเรื่องมดกับไส้เดือนนี้มาก ผมนั่งลงตอนไหนก็ไม่รู้ รู้แต่เป็นว่า เมื่อสุดท้ายไส้เดือนก็ถูกมดลากไปจนสุดสายตาผม
แต่ความรู้สึกอันหนึ่งที่มันเกิดขึ้นในใจผม มันเหมือนกับผมได้หยั่งเห็นอะไรบางอย่างที่มันเป็นความหมายของโลกใบนี้ โลกใบนี้ที่เราที่มีชีวิตอยู่ต่างอิงอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนที่ผมยกมือขึ้นไหว้ท่วมหัวนั้น ไม่ได้ไหว้ใครคนใดคนหนึ่ง ไม่ได้ไหว้มด ไม่ได้ไหว้ไส้เดือนเป็นการจำเพาะ แต่มันเกิดความตระหนักขึ้นมาได้ว่า ไส้เดือนตัวนี้ก็อุทิศชีวิตเพื่อให้เป็นอาหารสืบต่อชีวิตของมด และมดตัวนี้ก็ต้องจบชีวิตลงเพื่อสืบต่อห่วงโซ่แห่งอาหาร สุดท้ายก็ต้องมาเป็นห่วงโซ่แห่งอาหารที่ผมเข้าไปอยู่บริโภคเพื่อจะมีชีวิตอยู่ต่อไป นี่คือความหมายอันแปลกมหัศจรรย์ที่เรายังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ด้วยห่วงโซ่แห่งอาหารที่เกี้อหนุนจุนเจือกันเป็นที่สุด ขณะที่เรามีชีวิตอยู่เช่นนี้ เราจะมีชีวิตอยู่อย่างไรที่จะก่อให้เกิดการเกื้อหนุนจุนเจือซึ่งกันและกัน ผมเข้าใจว่าความหมายนี้เป็นความหมายที่สำคัญ
ความหมายที่สำคัญเมื่อตะกี้ตอนเริ่มต้นประเด็นนั้น ประเด็นเรื่อง 13 ชีวิตที่ติดถ้ำเห็นไหมครับ และคำถามว่าจริงๆ แล้วทำไมเราไม่คิดถึงชีวิตอื่นๆ คือจริงๆ ที่มันเป็นข้อบีบคั้น ก็คือช้าไม่ได้ ปัญหาว่าช้าไม่ได้คือหัวใจสำคัญนะครับ เพราะชีวิตที่ไปติดอยู่ในถ้ำเนี่ยนะครับ ถ้าช้าไปเพียงแค่สักวินาทีหนึ่งอาจจะหมายถึงชีวิตของคุณจบลง ทุกคนกุลีกุจอ ทุกคนจึงทำสิ่งที่เป็นภารกิจอย่างไม่มีเวลาต้องมานั่งตั้งคำถามกัน ทำไมถึงทำ ทำๆๆ นี่เป็นปรากฏการณ์ที่สำคัญ และปรากฏการณ์ที่สำคัญจึงแสดงให้เห็นความหมายที่มีอยู่ในจิตใจของมนุษย์แต่ละคนนั้น ว่าแม้แต่ที่ไหน นับถือศาสนาใด แต่พอรู้ว่ามีชีวิตๆ หนึ่ง กำลังจะจบชีวิตแต่เรามีสิทธิ์จะช่วยได้ เรามีโอกาสที่ช่วยได้ เรามีอำนาจจะช่วยได้ ทุกคนจึงไม่ลังเลที่จะมาช่วยกัน
แต่แน่นอนนะครับ พอเรามีปัญหาบางปัญหาในประเทศบางประเทศที่เราเห็นเด็กอดอยาก แต่เรารู้สึกเหมือนกับว่า ความรู้สึกอะไรบางอย่างทำแค่ไหนอย่างไรนะครับ ผมเข้าใจว่ากรณีสถานการณ์ชีวิตที่บีบคั้นแบบนี้มันทำให้เกิดพลัง และพลังแบบนี้มีอยู่ในใจเรา ผมเข้าใจว่าทุกวันขณะที่เรามีชีวิตปัจจุบันนี้ ถ้าเราเกิดความสำนึกแบบนี้ได้ เราจะมีชีวิตอยู่อย่างมีชีวิตชีวา เราจะมีศรัทธา ศรัทธาที่เมื่อตะกี้เราพูดกันแล้ว ศรัทธาในความเหมือนการมีชีวิตอยู่
เราจะไม่มีคำถามว่าทำไมๆ คนๆ นี้ มาอยู่กับลูกน้องคนนี้ มาอยู่คู่ชีวิตคนนี้ แต่เราจะมีความรู้สึกว่าเราเกิดมาเพื่อจะอยู่กับคนๆ นี้ มาทำงานเป็นเจ้านายของลูกน้องคนนี้ มามีชีวิตอยู่เพื่อจะเป็นสามีของผู้หญิงคนนี้ มาเป็นภรรยาของผู้ชายคนนั้นอย่างนี้นะครับ และความรู้สึกแบบนี้เป็นความรู้สึกที่มัน มันเป็นพลัง เพราะอะไรครับ เพราะจริงๆ พอเราทำแบบนี้ เราไม่ได้เป็นเพียงแค่ทำให้เรามีชีวิตอยู่นะครับ แต่เรากำลังเกื้อหนุนจุนเจือเค้า กำลังช่วยเค้าออกจากถ้ำ เพราะว่าทุกคนติดถ้ำ ติดถ้ำแห่งความเคลือบแคลงสงสัย ติดถ้ำแห่งความหมายที่มันมืดอับอยู่ในชีวิตของเรา
และผมก็เข้าใจว่าพวกเราแต่ละคนนี่ก็คือทีมกู้ชีพ เราเกิดมาเพื่อกู้ชีพ แล้วเราจะไปกู้ชีพใคร ก็กู้ชีพคนที่อยู่ข้างหน้าเราเนี่ยนะครับ กู้ชีพเค้าฟื้นฟูศรัทธาเค้า เพราะเค้าจะศรัทธาก็ต่อเมื่อเรามีศรัทธาของเราเองที่มั่นคง ศรัทธาในการมีชีวิตอยู่ ศรัทธาในการกระทำกิจทำหน้าที่ ผมอยากให้ทุกท่านที่นั่งในที่นี้นะครับ กลับมาดูประเด็นนี้ อย่าทำให้เกิดเป็นคำถาม จะลดทอนพลังในการมีชีวิตอยู่ จะทำให้เกิดความรู้สึกมั่นคงที่จะมีกิจกรรมเหมือนกับที่แม่ที่ไม่เคยมีคำถามกับลูกอ่ะครับ และเราจะไม่มีคำถามกับการเป็นสามีของเราที่มีกับภรรยา กับความเป็นภรรยาของเรา
นึกถึงภาพสิครับ ถ้ามีสามีคนหนึ่งหรือภรรยาคนหนึ่งที่ไปเจอคู่ชีวิตที่โอ้โหมัน มันทำให้เราต้องถามว่า ทำไมกูซวยขนาดนี้เหรอ มันไม่เปลี่ยนใจหน่อยเหรอ ทำไมกูโชคดีขนาดนี้ กูโชคดีที่ได้ดูแลเค้าเพราะถ้าไม่เราไม่มีใครดูแลเค้าเลย นี่เป็นโอกาสของเราแล้วที่จะได้ดูแลผู้ชายคนหนึ่ง ผมกำลังพูดถึงที่จะทำให้ความหมาย ได้มั่นคงขึ้นให้มีความหมายขึ้น และความรู้สึกแบบนี้นะครับ ผมเข้าใจว่านี่คือความหมายที่มหัศจรรย์มาก เป็นความหมายที่ยิ่งใหญ่มาก และสิ่งที่เป็นความหมายเช่นที่ว่านี้ เราจึงไม่ต่างอะไรจากใครก็ไม่รู้จากทั่วโลกที่มุ่งหน้ามาจะช่วยเหลือ 13 ชีวิตโดยไม่รู้จักกัน ไม่ได้มีความผูกพันสัมพันธ์อะไรกัน ในความหมายเชิงโครงสร้างสังคม แต่มันมีความหมายความสัมพันธ์เชิงมนุษย์ และความสัมพันธ์เชิงมนุษยธรรมตรงนี้นะครับผม อันนี้คือเรื่องที่เป็นปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้นพวกเราก็ต้องไม่รีรอที่จะเป็นหน่วยกู้ชีพ เพื่อกู้ชีวิตคนที่อยู่ใกล้ชิดเราที่สุด เพราะตอนนี้เขาติดถ้ำอยู่ ถ้ำนี้คือมืดอับน่ากลัว และคนจำนวนมากนี่ติดถ้ำจำไว้เลยนะครับ เพราะฉะนั้นเราต้องช่วยกัน เราจะต้องดำน้ำ เพราะชีวิตปัจจุบันมันขาดออกซิเจน คลำทางด้วยออกซิเจนเนี่ย มีออกซิเจนน้อย ชีวิตเกิดขึ้นพลาดไป
ตอนที่ผมไปเดินทางอยู่บนหิมาลัยที่รอบภูเขาพระสุเมรุ และผมไม่มีออกซิเจนพอ ชีวิตมันๆ จะจบ ผมไม่เคยจินตนาการออกเลยนะครับว่า วันหนึ่งเมื่อผมนอนพักค้างคืนในขณะที่เดินอยู่บนที่สูง อากาศหนาวเย็น และผู้นำทางของถังออกซิเจน เพราะตอนเดินต้องใช้ออกซิเจนแบบเป็นกระป๋อง แต่ตอนนอนต้องใช้ออกซิเจนที่มากพอจึงมีถังวางไว้ข้างที่นอนผม แล้วก็ให้ผมสวมหน้ากากออกซิเจนครอบเอาไว้ แล้วผมก็ปฏิบัติตามคนแนะนำเมื่อเค้าบอกไม่ต้องถอดนะโอเคละประมาณนี้นะ ให้ผมทำหน้าที่แค่เปิด-ปิดวาล์วให้มันเบาหรือมากเท่านั้นเองนะครับในขณะผมนอน ให้ผมถอดพรุ่งนี้เช้าผมก็เชื่อเค้า แต่มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีความรู้สึกอะไรที่ลึกซึ้งแบบนี้เลย เพราะแบบนี้คือแบบที่ใช้ออกซิเจน ผมต้องสวมหน้ากากออกซิเจนแล้วก็นอน ทีนี้โดยคติของผมเวลาจะนอน ผมทำเป็นปกติมาก็คือจะต้องยุติกิจกรรมในวันนั้นลงด้วยการเจริญอานาปานสติ และทุกครั้งที่ผมจะนอนหลับผมก็จะกลับมาสู่การเจริญอานาปานสติ
คืนนั้นเป็นคืนที่วิเศษมาก เมื่อผมนอนหลับตาลงแล้วอยู่กับลมหายใจเข้าออก มันเกิดสภาวะตื่นรู้ที่มหัศจรรย์มาก ลมเย็นๆ เข้าไป ลมสดใสถึงความเย็น แต่ที่มากกว่าความรู้สึกได้ถึงความเย็น รู้สึกได้ถึงพลัง พลังชีวิตที่มันเกือบจะมอดดับไปเมื่อตอนที่เราเดินมาทั้งวันและออกซิเจนมันน้อย พอเราสูดเอาออกซิเจนเข้าไป พลังชีวิตมัน พูดเป็นพลังที่มันพูดเป็นเปลวไฟที่ตะเกียงที่เราใช้น้ำมันอย่างเนี้ยนะ พอน้ำมันจะหมดเปลวมันก็จะมอดลง พอไปเพิ่มน้ำมันเติมน้ำมันเปลวมันก็ลุกโชนขึ้นมา ความรู้สึกตอนนั้นมันเกิดภาวะของความสว่างอะไรอย่างนี้ ขอโทษ ผมนอนขณะที่ทำแบบนี้ไปประมาณสักเช่นเข้าสู่นาทีที่ห้าที่หกขึ้น ทั้งที่เป็นเวลา 5-6 นาที น้ำตาผมไหลออกมาด้วยความปิติตื้นตัน มันมีความรู้สึกได้ถึงความหมายของชีวิต ชีวิตที่เราถือครองอยู่
เราสูดดมเอาอากาศที่มีออกซิเจนเข้าไปหล่อเลี้ยง นับตั้งแต่วินาทีแรกที่เราลืมตาดูโลกใบนี้ ผ่านชีวิตมาถึง 60 ปี ไม่เคยมีความรู้สึกถึงคุณค่าของออกซิเจนได้ดีถึงเพียงนี้เลย การที่เราไม่เห็นค่าของออกซิเจนมันหมายถึงเราไม่เห็นค่าของสิ่งที่หล่อเลี้ยงเรา ไม่เห็นค่าของสิ่งที่รวมมาเป็นชีวิตเรา ปัจจุบันที่เรากำลังพูดถึงเนี่ย เราก็เหมือนอยู่กับการที่มีชีวิตอยู่และมีสิ่งที่เกื้อหนุนจุนเจือเราให้เราได้มีชีวิตอยู่
เหมือนเมื่อตะกี้ที่เราพูดถึงสัตว์จำนวนมากมาย สลายชีวิตไปเพื่อเจริญให้เรามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ เรามีเพื่อนมนุษย์จำนวนมากมายที่เรามีชีวิตอยู่ได้ด้วยการอิงอาศัยเขา เขาเอื้อเกื้อหนุนเราอยู่ ความรู้สึกแบบนี้เป็นความรู้สึกที่มหัศจรรย์มาก เป็นความรู้สึกที่ทำให้เราฟื้นฟูสิ่งที่เราเรียกกันว่า ศรัทธา เกิดขึ้นมาในใจเรา ศรัทธาไม่ได้เป็นความเชื่ออย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เป็นความหมายจำเพาะ แต่ความรู้สึกที่ทำให้รู้สึกได้ถึงความมายของการมีชีวิตอยู่และเป็นชีวิตอยู่ที่อิงอาศัยเกื้อหนุนจุนเจือซึ่งกันและกัน เราไม่ได้เกิดมาเพื่อเบียดเบียนซึ่งกันและกัน โลกใบนี้ใช้เวลานานไม่รู้กี่ล้านๆ ปี เพื่อสร้างเครือข่ายของการอุดหนุนจุนเจอกัน และเราทุกคนต่างมีสิ่งที่เรียกว่า เมตตาธรรมและการุณยธรรมอยู่ในใจของเรา
เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีคนจากทั่วโลกมาช่วย 13 ชีวิตที่ติดถ้ำหลวง เพราะฉะนั้นเราจะต้องไม่ทำตัวแปลกนะครับที่จะต้องช่วยเหลือกัน ใครก็ตามทีที่เรามีโอกาสจะช่วยก็คือคนที่ใกล้ชิดเราเป็นที่สุด และความรู้สึกแบบนี้เนี่ยครับ ถ้าเราทำให้มันเกิดความหมายขึ้นในใจเราแล้ว นั่นแหละครับคือต้นทางที่มันทำให้เกิดการหล่อเลี้ยงชีวิตเรา ที่เราพูดถึงต้นทางที่ก่อให้เกิดแม่น้ำสายกว้างนั้นมาจากลำธารเล็กๆ จากจุดตรงนี้นะครับผมเข้าใจว่านั่นคือการที่เรากลับไปสู่ต้นทาง และเราจะดูแลต้นทางนี้ให้มาหล่อเลี้ยงชีวิตจิตใจเราให้กลับมาเป็นชีวิตที่เป็นคนๆ หนึ่งที่มีอะไรมากมายขึ้นมาในชีวิตนี้ มันมาจากจิตตรงนี้อ่ะนะครับ ซึ่งตรงนี้นะครับคือหัวใจสำคัญของสิ่งที่เราคุยกันในวันนี้