แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
คำพูดขององค์ทะไลลามะ นานหลายปีมาแล้วผมอ่าน ผมอ่านข่าว มีผู้สื่อข่าวต่างชาติสัมภาษณ์องค์ทะไลลามะ เพราะตอนนั้นองค์ทะไลลามะมีปัญหากับจีน เพราะเนื่องจากมีประชาชนชาวทิเบตก่อความวุ่นวายขึ้นในลาซาแล้วถูกฆ่าตายไปมากเนี่ย ทีนี้พอชาวบ้านหรือพระถูกฆ่าตาย ก็มีองค์ทะไลลามะมองเหตุการณ์นั้นอย่างไรและก็ถามตอนหนึ่งว่า ท่านเคยโกรธรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนบ้างไหมที่เข้ามาทำเบียดเบียนกับชาวทิเบตอย่างนี้ องค์ทะไลลามะตอบดีมากเลย ท่านบอกว่าโกรธ โกรธบ่อย เป็นคำพูดที่เรา เราคิดว่าท่านน่าจะบอกไม่โกรธใช่ไหม โกรธบ่อยแต่ไม่เกลียดเขา โอ้โห..คำพูดนี้มันงดงามมากในทางธรรม เพราะทันทีที่เข้ามามีอารมณ์ที่มากระทบนึกถึงภาพ ท่านก็ปรารถนาที่จะให้ประชาชนคนทิเบตได้อยู่ที่ไหนอ่ะครับ อยู่อย่างดี สันติสุขมีเมตตากรุณาต่อกัน แต่เวลามีการเบียดเบียนกันชาวทิเบตก็มีการประท้วงมีการฆ่า ท่านก็รู้สึกเหมือนกับว่ามันเป็นอารมณ์ซึ่งเป็นไม่น่าพอใจ แต่ทันทีที่มันเกิดอารมณ์โกรธเนี่ยนะครับ พอท่านรู้ปุ๊บเนี่ย ท่านไม่ปล่อยให้มันตกตะกอนกลายเป็นความเกลียดชัง ไอ้ตรงนี้สิครับมันเป็นความหมายที่สำคัญมาก ๆ สำหรับนักปฏิบัติธรรม เพราะฉะนั้นเวลาเราพูดถึงการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวที่เราทำโดยกายก็จริงนะครับ แต่เมื่อเราทำไปถึงจุด ๆ หนึ่งแล้ว สิ่งที่มันเป็นไป มันไม่ใช่เป็นเพียงแค่รู้จังหวะของกายเท่านั้น แต่เรารู้จังหวะของอารมณ์ที่เข้ามากระทบจิต และอารมณ์ที่เข้ามากระทบจิต ไม่ว่าอารมณ์ที่เราปรารถนาหรือไม่ปรารถนา ขอโทษนะครับเรารู้อารมณ์ นึกถึงภาพที่เรามาปฏิบัติธรรมวันนี้ ถ้าแฟนโกหกเรา เราก็โกรธใช่ไหม แต่เราจะไม่เกลียดเขา เราจะเห็นใจเขา เราจะรู้เท่าทันเขา อย่างนี้นะครับ
และความหมายแบบนี้คือความหมายที่เรากำลังพูดถึงการปฏิบัติธรรม และความหมายแบบนี้ที่เราพูดถึงการปฏิบัติธรรม ที่สุดท้ายแล้วเราไม่ใช่เป็นเพียงแค่สร้างจังหวะ คือจังหวะของมือ แต่เรากำลังพูดถึงการสร้างจังหวะแห่งธรรมะในชีวิตปกติของเรา และสุดท้ายพอเราทำไปถึงจุดหนึ่ง ๆ แล้วเราจะอยู่กับโลกใบนี้ได้ แน่นอนมีคนมากมาย มีคนดี มีคนไม่ดี เราก็รับรู้อยู่ได้ ไม่ว่าคนดีหรือคนไม่ดี เราก็จะอยู่กับเขาได้ ขอให้อยู่กับเขาได้ก็คือเราไม่ได้ลุ่มหลงคนดี จนกระทั่งว่าเรากลายมาเป็นปัญหา และเราก็ไม่ได้เกลียดชังคนที่ไม่ดี จนกระทั่งกลายมาเป็นความรู้สึกที่เราเป็นปัญหากับเขา แต่เรารู้สึกได้ถึงความหมายของการมีชีวิตอยู่ และรู้สึกเห็นอกเห็นใจกับทุก ๆ คนที่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ที่นี้ตรงนี้ล่ะครับผมเข้าใจว่าสิ่งที่มันเป็นความหมายแบบนี้คือความหมายที่แท้จริงของการที่เราปฏิบัติธรรม เพราะสุดท้ายเราสามารถอยู่กับโลกที่ผันผวนปรวนแปรนี้ได้ นึกถึงภาพคนปฏิบัติธรรมแล้วก็แก่นะ ผมนี่แก่มากเลยนะครับ ที่สำคัญไม่ใช่แก่ธรรมดานะครับ ปัจจุบันผมรู้เลยว่าสัญญานี่มันอนิจจังจริง ๆ เลย ผมไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย ไม่เคยแก่แบบนี้มาก่อนเลยนะ แก่แบบบางที เจอคน เมื่อวานผมเจอคนเป็นผู้ชาย 3 คนสูงอายุแล้ว เจอผมแล้ว เขาเข้ามาทักมาคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ คุยกันเหมือนกับว่าเราอยู่ ขอโทษด้วยความสัตย์จริง ผมไม่รู้นะว่า ว่าเรารู้จักกัน หน้านะคุ้นแต่ชื่ออะไรจำไม่ได้ แล้วเรามีกิจกรรมอะไรร่วมกันบ้างในอดีตผมก็จำไม่ได้ เป็นความเป็นความลืมเลือน ขอโทษนะครับบางทีผมขำหัวเราะ ผมเข้าไปในครัว ในครัวที่เมื่อตะกี้บอกว่าภรรยาเข้าไปพูด???เรื่อง พอเข้าไปในครัวเสร็จ ผมไปยืนหันซ้ายหันขวา เอ๊ะ เข้ามาทำไม ไม่รู้ว่าเข้ามาในครัวทำไม ก็เลยเดินกลับ เพราะข้างนอกห้องก็มีโต๊ะที่ผมนั่งทำงานของผมไปด้วย พอกลับมาที่โต๊ะจึงพบว่ามันมีถ้วยกาแฟ มีกาแฟทรีอินวันที่ผมเทใส่ถ้วยไว้แล้ว เอาน้ำร้อนเทใส่แล้ว แต่ยังไม่ได้คนน่ะ เพราะไม่มีช้อน
อ๋อ…เมื่อตะกี้เข้าไปในครัวด้วยหวังว่าจะไปหยิบช้อนมาคนกาแฟ ตอนที่มีความปรารถนาจะหยิบช้อนก็รู้ว่าช้อนอยู่ที่ไหนนะจึงเข้าไปในครัว แต่ช่วงขณะจิตที่เดินเข้าไปในครัวเนี่ย ลืม ไม่รู้ว่าเข้าไปทำไม ผมนั่งลงแล้วหัวเราะคนเดียว โอ้..ไม่เคยแก่แบบนี้มาก่อนเลย โอ้..มันช่างงดงามจริงความแก่เนี่ย มันช่างงดงาม ผมไปเดินที่ดอยแม่ตะมานนะครับ กับเพื่อนที่ไปเดินด้วยกัน มีคุณหมอท่านหนึ่งนะครับ ไปเดินด้วยกันตอนเย็น ๆ เมื่อเรามีเวลาว่างเราก็เดินชมบรรยากาศดอยแม่ตะมานและคุณหมอท่านนี้ท่านก็เลยจึงถือโอกาสช่วงที่เราเดินกันสองคนคุยเรื่องส่วนตัว ท่านก็คุยเล่าเรื่องชีวิตส่วนตัวท่าน ในปัญหาชีวิตของท่าน ปรากฏว่าท่านคุยผมก็รู้แล้ว ท่านมีปัญหาเรื่องความรู้สึกผิดหวัง เสียใจกับคนรัก จนกระทั่งกลายมาเป็นความรู้สึกที่ไม่ปกติ แม้กระทั่งที่มาเดินโดยหวังว่าจะคลี่คลายปัญหานี้ได้ประมาณนี้นะครับ ขณะที่ผมฟังแล้วผมเข้าใจแล้ว ผมเลยจึงเดินคุยกับท่านไปแล้วก็ยิ้มกับท่านไป ผมเลยเล่าเรื่องผมเข้าไปในครัว มันไม่เกี่ยวกันเลยนะ แต่ผมก็ทำให้เกี่ยวกันจนได้ ผมบอกเนี่ยผมนี่เข้าไปในครัว ไปยืนหันรีหันขวางอยู่ 2 รอบ กลับออกมา โดยไม่รู้ว่าเข้าไปในครัวทำไม ออกมาที่ข้างนอกก่อนถึงโต๊ะนั่งอ่านหนังสือจึงพบว่ามีกาแฟทรีอินวันเทใส่ถ้วยไว้แล้วไม่มีช้อนคนเนี่ยนะครับ จึงหัวเราะขำแล้วก็ไปหยิบช้อนขึ้นมาใหม่ ตอนนี้หยิบ ถือถ้วยกาแฟไปด้วยนะ กลัวลืม นะครับกลัวลืม ถือไปด้วยแล้วก็ไปหยิบช้อนมาคนเนี่ยแล้วลืม ท่านก็ฟังแล้ว ท่านก็ยังนึกไม่ออกผมจะเล่าเรื่องนี้ทำไม ผมบอกว่า เพียงเสี้ยววินาทีผมก็ลืมเรื่องเจตจำนงของการเข้าไปในครัว คุณหมอเองก็นานมากแล้วนะ อาจจะลืมว่าเรามีเจตจำนงที่จะมาสู่โลกใบนี้ทำไม นึกให้ดีสิครับ ก่อนจะมาอยู่โลกใบนี้ มาจากสวรรค์ไม่ใช่หรือ ตอนที่อยู่บนสวรรค์ได้พูดคุยสนทนากับเทพบุตรเพื่อนเทวดาบนสวรรค์ด้วยกัน ว่าเราอยู่บนสวรรค์ เป็นภพภูมิที่เราไม่มีโอกาสจะได้สัมผัสความรู้สึกเจ็บปวดจากความผิดหวัง เพราะบนสวรรค์เทวดาและเทพบุตรเทพธิดาทั้งหมดทั้งปวงไปเสวยวิบากกรรมส่วนที่เป็นความสุข เลยยังไม่มีโอกาสรู้ว่าความทุกข์จากความผิดหวังเจ็บปวดนั้นเป็นยังไง ก็เลยแอบนัดหมายหนีสวรรค์มาสู่โลกใบนี้ด้วยการบอกว่าจะมาเรียนรู้ความหมายนี้จึงนัดหมายกันจะมาเรียนรู้ นึกให้ได้นะครับ
เนี่ยมาสู่โลกใบนี้ เพื่อจะมาเรียนรู้ความเจ็บปวดจากความผิดหวังเนี่ยครับ เพราะฉะนั้นนี่คือภารกิจของการมาสู่โลกใบนี้ ขอบคุณเค้าหน่อยสิครับ เขาอุตส่าห์เสียเวลาบนเทว บนสวรรค์มาเพื่อจะมาเรียนรู้เรื่องนี้กับเรา ผมคุยไป คุณหมอท่านฟังผมไป ท่านคง ??? ผมก็เห็นท่านยิ้ม เออ คงได้ผล อย่างนั้น คำว่าได้ผลก็คือจริง ๆ แล้วเนี่ยนะครับเราต้องมีความหมายอะไรบางอย่างที่เป็นความหมายที่ก่อให้เกิดความรู้สึกได้ถึงความหมาย และความหมายแบบที่ว่านี้นะครับมันเป็นความหมายที่เราจะต้องทำให้มันเกิดปรากฏขึ้นมา เราไม่ได้เกิดมาบนโลกใบนี้เพื่อจะมาทุกข์ระทม เราไม่มาเกิดบนโลกเพื่อจะมาอยู่ในสภาวะที่เศร้าหมองนะครับ เรามาเพื่อจะเรียนรู้ เรามาเพื่อจะทำกิจของเรา เพราะฉะนั้นสิ่งที่มันเป็นความหมายแบบนี้ บางทีเราก็ลืมไป เพราะงั้นก็โปรดหัวเราะกับความหลงลืมนี้แล้วก็ยิ้มให้กับชะตากรรมนั้นเสีย และที่สำคัญคือตรงนี้ล่ะครับคือความหมายที่ผมกำลังพูดถึงความศรัทธา ความศรัทธาที่ในความหมายที่ผมพูดถึงก็คือความหมายที่ทำให้ใจของเราเนี่ยครับมีสมรรถนะที่เข้มแข็ง และใจของเราเนี่ยนะครับพร้อมจะเรียนรู้ ปัจจุบันที่มันมีความหมายสำหรับคนที่ไม่มีศรัทธาคือเขาไม่พร้อมที่จะเรียนรู้ พอเขาไม่พร้อมที่จะเรียนรู้ก็คือเราไปบังคับให้เขาเรียนรู้หรือเขาบังคับตัวเองให้เรียนรู้ นึกถึงภาพนะครับ เราไม่พร้อม เราไม่พร้อมแล้วเราบังคับตัวเองนะครับ ประมาณนี้ครับ การเรียนรู้ก็เลยไม่เกิดผล มันเหมือนกับเราไม่อยากอ่านหนังสือ แต่เราต้องอ่านเพราะเราต้องเตรียมตัวสอบ ประมาณนี้ แล้วเราก็เลยต้องฝืนใจอ่าน โปรดทำความรู้สึกเสียให้ใหม่นะครับว่ามันมีข้อความบางอย่างซึ่งเป็นรหัสนัยที่เราอยากรู้อยู่แล้ว เราถึงต้องอ่านหนังสือเล่มนั้น
เพราะอย่างนั้นเวลาอ่านหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งที่เราอยากอ่านแบบนี้นะครับ มันจะทำให้เรารู้สึกตื่นตาตื่นใจและตรงนี้นะครับคือความหมายของชีวิตที่ผมอยากจะพูดในช่วงเช้าวันนี้ ว่าเรามีความหมายของชีวิตที่ซุกซ่อนอยู่ในหัวใจของเราและเราต้องการที่จะเรียนรู้สิ่งที่เป็นความลี้ลับ ไม่ใช่โลกข้างนอกนะครับ สิ่งที่เป็นความลี้ลับอยู่ในใจของเราเอง ที่เราเก็บสะสมไว้นานแล้วและเราต้องการจะกลับเข้าไปรับรู้ แล้วเรากลับเข้าไปเรียนรู้ เพราะงั้นสิ่งที่เรากำลังพูดถึงการออกจากความคิดมาสู่ของการรู้สึกตัวก็คือกลับเข้ามาสู่การรู้สภาวะภายในตัวของเราเอง บัดนี้ได้เวลาแล้วครับ ยิ่งถ้าใครรู้เรื่องแบบนี้เร็วขึ้นเท่าไหร่ เร็วขึ้นเท่าไหร่นะครับ ยิ่งจะทำให้ชีวิตที่เรามีอยู่เนี่ยนะครับมีโอกาสจะได้สัมผัสความหมายจะได้ทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างหมดจดงดงามมากขึ้นเท่านั้น เพราะงั้นศิลปะอันนี้ซึ่งพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้นะครับและนำมาเปิดเผย ครูบาอาจารย์ได้นำมาบอกกล่าวกับพวกเรานะครับ เป็นชุดความรู้ที่วิเศษมหัศจรรย์ เป็นพิเศษมหัศจรรย์ที่พระพุทธองค์ครั้งสมัยเมื่อเป็นสิทธัตถะก็ตกใจตื่นตระหนกตกใจกลัวเมื่อรู้ว่าตัวเองต้องแก่ ต้องเจ็บ และต้องตาย แต่วันหนึ่งเมื่อพระองค์เข้าถึงสภาวธรรมที่กล่าวว่าตัวเองเป็นคถาคตแล้ว พระองค์กลับมีความรู้สึกที่ดีกับชีวิตที่มีอยู่ แม้กระทั่งตอนที่พระองค์ชรามากแล้วนะครับ ได้กล่าวกับพระภิกษุในช่วงปลงอายุสังขารว่าสังขารของตถาคตเก่าแก่คร่ำคร่าประดุจดังเกวียน เกวียนที่มันชำรุดมากแล้ว ที่ยังเคลื่อน ขับเคลื่อนไปได้เพราะเอาไม้มาผูกเอาเชือก เอาไม้มานาบทาบไว้แล้วเอาเชือกผูกไว้ ถ้าไม่มีเชือกผูกไว้มันจะหลุดกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วเพราะฉะนั้นสังขารที่ตถาคตใช้มานานแล้วเนี่ยจะต้องถึงเวลาที่จะต้องดับสลาย พระองค์พูดเหมือนกับ พูดเหมือนกับจะบอกว่าจะไปประชุมหรือจะบอกจะไปทำอะไร ไม่ได้พูดถึงความ ที่สำคัญพูดให้เห็นถึงความหมายที่สำคัญ แม้กระทั่งถึงวาระสุดท้ายก็กล่าวมาเป็นปัจฉิมวาจาที่เรานำมาสวดเป็นทำวัตรเช้ากันอยู่ทุกวี่ทุกวัน กล่าวกับพระภิกษุที่อยู่รอบตัวพระองค์เองนะครับ ด้วยคำพูดว่าดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราจะขอเตือนท่านทั้งหลายว่าสังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
ขอท่านทั้งหลายจงยังประโยชน์หรือทำจิตให้มันเกิดประโยชน์ให้ถึงพร้อมเถิด ผมเข้าใจว่านี้เป็นถ้อยคำที่มีความหมดจดงดงามยิ่งใหญ่มาก เพราะฉะนั้นขอให้พวกเราน้อมนำเอาความหมายนี้นะครับเข้ามาสู่ตัวเราและทำตัวเราให้มันเป็นบุคคลผู้มีความเชื่อมั่นว่าเราจะมีสภาวะที่เข้าไปถึงความจริงนั้นได้ดังเช่นที่พระองค์ได้ตรัสแสดงไว้ ณ ปัจจุบันขณะที่เรามานั่งทำนี้นะครับ ดูเหมือนกับยังไม่มีผลอะไรมากมาย ก็ทำตัวให้เหมือนกันประหนึ่งว่านี้คือมะม่วงที่รอเวลาที่จะสุกนะครับ แล้วเราก็เชื่อมั่นว่ามันจะสุก เราจึงไม่ทำอะไรเลยตอนนี้นะครับ แค่เอาผ้าห่อไว้หรือเก็บไว้ในที่เหมาะสม ไม่เอาแช่ตู้เย็นนะครับ ??? ต้องไม่เอาแช่ตู้เย็น ต้องเอาไว้ในที่ที่เหมาะสมเพราะฉะนั้นพวกเราปัจจุบันนี้ก็กำลังบ่มเพาะสิ่งเหล่านี้อยู่ ผมรู้สึกดีมากนะครับที่ได้รับเกียรติให้มานั่งคุยอะไรกับพวกเรา ภาคเช้านี้คุยกันเป็นการเอาเปรียบนิดหน่อยที่ผมคุยฝ่ายเดียว แต่ทั้งหมดที่คุยมานี้ก็ได้หวังว่าเดี๋ยวตอนบ่าย ๆ ถ้ามีเวลาเราจะได้คุยกันในประเด็นที่ทุกท่านมีความรู้สึกสนใจ สนใจแล้วผมจะได้มีโอกาสสนทนาด้วยนะครับ บัดนี้ได้เวลาแล้วครับ ก็ถึงเวลาที่ผมจะต้องยุติการพูดคุยในภาคเช้าเรื่องการออกจากความคิดมาสู่การรู้สึกตัวเพียงแค่นี้นะครับ ขอขอบพระคุณทุกท่านนะครับที่ให้เกียรติผม ขอบพระคุณมาก แล้วก็กราบนมัสการ ขอบพระคุณพระอาจารย์ที่ให้เกียรติมานั่งให้เกียรติกับพวกเราในที่นี่นะครับ