แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
แล้วจะหาอย่างนั้นจากไหนคะ?
อ่า เนี่ยฮะ มันไม่มี Know how ที่มันเป็น มันเหมือนขุมทรัพย์นะครับ มันมีรหัสอะไรบางอย่างที่ลึกลับซับซ้อนอยู่ภายใน แล้วรหัสแบบที่ว่านี้นะครับ มันเป็นรหัสที่คล้ายเหมือนกับเป็นเวทมนตร์ ผมไม่แน่ใจว่าเรียกยังไง เวทมนตร์คือหมายความว่า ถ้าเราไปคิดเชิงเหตุผลว่าจะทำอย่างนั้น ไม่ได้ครับ มันต้องเป็นพลังที่เกิดขึ้นภายใน ที่แปลกมากเลยนะครับ ว่ามันจะทำอย่างไร แต่มันจะมีแน่นอน ไม่เช่นนั้น เด็กหนุ่มคนหนึ่งคงจะไม่ยอมอดหลับอดนอน เดินข้ามภูเขาเพื่อไปยิ้ม ขอโทษ วันไหนที่สาวยิ้มให้ ผมนี่เดินกลับอย่างมีความสุขเป็นที่สุดเลย เหมือนกับภูเขานี่มันหายไปเลย มันสุขมากเลยประมาณนี้นะ รอยยิ้มที่ปรากฏมัน คนทั่วไปก็ยิ้มกันอยู่ทั่วไปนะ แต่มันไม่ใช่รอยยิ้มของทุกคนจะมีความหมายสำหรับเราใช่ไหม มันต้องรอยยิ้มของคนที่เรารัก ประมาณนี้ใช่ไหม มันจึงทำให้เกิด
นึกถึงภาพอะนะครับ ผมสมัยที่เป็นอาจารย์อยู่ มช. มีลูกศิษย์มานั่งร้องไห้ที่หน้าโต๊ะผม แล้วผมถามว่า ตอนร้องไห้นี่ผมจะไม่ถาม ผมจะให้เขาดื่มน้ำ ผมจะไปหยิบเอาน้ำเย็นมาวางให้เขา แล้วผมถามว่า มีอะไร มีอะไรที่จะให้ผมรับรู้บ้างไหม มีอะไร เขาร้องด้วยเสียงสั่นๆ ว่า เขาไม่ยิ้มให้หนู (เสียงหัวเราะ) เล่าละเอียดเขาก็บอกว่า เขาไปห้องสมุด สำนักหอสมุดของ มช. นี่นะ ที่นี้เพื่อนผู้ชายเดินลงมา เขาเดินสวนขึ้นไป แล้วเขาเดินเฉยไม่ยิ้มให้ สาวเจ้าเลยซึม ร้องไห้มาหาผม ผมบอก โอ้ นี่เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ นั่งลงก่อน นั่งลงก่อน ดื่มน้ำให้เย็น แล้วนั่งแล้วคุยกัน คุณกำลังมาถึงจุดหนึ่งที่กำลังจะได้เรียนรู้สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตแล้ว ถามว่าทำไม รอยยิ้มบนใบหน้าของเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งในมหาวิทยาลัยมีนักศึกษาหลายพันคน คนอื่นจะยิ้มหรือไม่ยิ้ม คุณก็เฉยๆ ใช่ไหม เขาบอก ใช่ แล้วทำไมเพื่อนคนนี้จึงมีความหมายสำหรับคุณมากเหลือเกิน
เราก็คุยกันนะครับ ถามว่าคุยกันก็คือหมายความว่านั่งพูดกันสู่ฟัง ว่านี่คือปรากฏการณ์ที่สำคัญในชีวิต ปรากฏการณ์ที่สำคัญในชีวิต คือปรากฏการณ์ที่รอยยิ้มของคนคนหนึ่ง มีคุณค่า มีความหมายประดุจดังดวงอาทิตย์ทั้งดวง ดวงอาทิตย์ที่เคยส่องโลกให้สว่างไสว มันก็ส่องของมันไป แต่วันหนึ่งเมื่อเขาหุบยิ้ม มืด โลกมันมืด โลกมันไม่มืดหรอก ใจเรามืดเลย มืดอับเลยอะนะ ความหมายแบบนี้เป็นความหมายที่เรากำลังพูดถึงคือความหมายของการสร้างสรรค์พลัง สร้างสรรค์พลังที่มันยังมีอยู่อย่างไม่รู้จักหมดสิ้น และกระบวนการสร้างสรรค์พลังนี้นะครับ มันจึงเป็นกระบวนการที่สำคัญที่เราจะต้องเรียนรู้ เพื่อจะทำให้เรานี้มีพลังที่จะเป็นอยู่ ที่เราพูดถึงศรัทธา ซึ่งผมไม่ต้องการจะเอาเรื่องศาสนามาพูดเลยนะครับ แต่บังเอิญว่าคำนี้ถูกบัญญัติไว้ในทางศาสนา เราจึงต้องมีกระบวนการบ่มเพาะให้เกิดการเชื่อมโยง ให้เกิดความหมายที่มันมีปรากฏขึ้นในใจเราใช่ไหมครับ
เวลาเราพูดถึงศรัทธา ที่เราบอกว่าเพื่อนชาวมุสลิมที่เขามีความศรัทธาในพระองค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อเกิดอะไรขึ้นเขาจึงบอกว่าเป็นพระประสงค์ของพระองค์ แม้จะไม่ได้ไปนครเมกกะ เพื่อจะทำพิธีฮัจญ์ เขาก็ไม่โกรธเคืองใคร เพราะเขารู้สึกว่านี่เป็นพระประสงค์ของพระองค์ ความรู้สึกแบบนี้มันถูกบ่มเพาะ ถูกบ่มเพาะ ทีนี้กระบวนการบ่มเพาะแบบนี้นะครับ จริงๆ มันมีกลไก ในศาสนามันมีกลไกของมันอยู่ใช่ไหมครับ ในมิติทางสังคมก็มีกระบวนการบ่มเพาะ สิ่งหนึ่งที่มันเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในใจเราปัจจุบันที่เรามองย้อนกลับไปว่า เราขาดแคลนการบ่มเพาะอะไรในวิถีที่เราผ่านมาใช่ไหม จึงทำให้เราไม่มีความสามารถที่จะมีความสุขอยู่ในสังคมโลกปัจจุบัน ที่มีเครื่องมือเครื่องใช้มากมาย มากมายเหลือเกิน ทั้งที่ความรู้สึกของเรา ถ้าเรามีเครื่องมือเครื่องใช้ที่ดี เราน่าจะมีชีวิตอยู่อย่างมีความสะดวกสบาย และมีความหมายที่ดีในชีวิตใช่ไหมครับ แต่ประเด็นที่มันสำคัญที่สุดก็คือ กระบวนการบ่มเพาะส่วนนี้ แน่นอน ผมพูดแต่ผมก็ตอบไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่ Know How แบบง่ายๆ แต่มันเป็นกระบวนการที่จะต้องบ่มเพาะสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในตัวเรา สิ่งต่างๆ ที่พูดถึง เมื่อตะกี๊เราพูดถึงอะไร เราพูดถึงความเพียร เราพูดถึงความอดทนใช่ไหม ซึ่งสิ่งเหล่านี้บางทีเราก็ลืมเลือนไปเลยนะ ผมจึงสงสัยว่าในหลวงคงเห็นอะไรสักอย่างนึง จึงลงทุนลองนั่งลงนิพนธ์ คัมภีร์ชาดกที่เรียกว่าพระมหาชนก ถึงกับไปขอศิลปินให้ช่วยวาดด้วย กลัวเขียนหนังสืออย่างเดียวจะไม่มีคนอ่านอีก ไปเที่ยวเรียกร้องต้องการให้ศิลปินต้องระดมเวลามานั่งวาดภาพพระมหาชนกอะไรแบบนี้นะครับ มานั่งทำอะไร ทีนี้กระบวนการเหล่านี้คือกระบวนการที่พวกเรา ถ้าเราทำความเข้าใจกับสิ่งเหล่านี้ เพราะสิ่งเหล่านี้มันไม่ใช่เรื่องใดเรื่องหนึ่งเพียงเรื่องเดียว มันยึดโยงสัมพันธ์กันทั้งหมดทั้งสิ้น มันเริ่มต้นจากภายในใจเรา ในใจเรานะครับ ต้องวางไว้อย่างไร ทำอย่างไร
เมื่อตะกี๊ที่ผมพยายามพูดว่า ถ้ามีเพื่อนคนหนึ่ง ที่เขามีความคิดที่ไม่ตรงกับเรา เขามีความเป็นไปในชีวิตของเขา ซึ่งเรารู้สึกว่ามันแย่เหลือเกินคนคนนี้ ความรู้สึกว่ามันแย่เหลือเกินที่เราเจอคนคนนี้นะครับ มันจึงทำให้เรากับเขารู้สึกเป็นปัญหา มันทำให้เรากับนี่เขารู้สึกเหมือนกับว่า แย่ แย่จนกระทั่งมันเกิดคำถามในใจเราและเกิดข้อคิดในใจเราว่า ทำไมกูซวยขนาดนี้ ทำไมต้องมีเพื่อนร่วมงานแบบนี้ ไอ้ความคิดว่ามัน ทำไมต้องมาเจอเพื่อนแบบนี้ ความคิดว่ามันซวยอะไรนักหนาต้องมามีคนแบบนี้อยู่ใกล้ๆ เนี่ยครับ นั่นแหละครับ คือเครื่องทำลายความมั่นคง เครื่องทำลายพลัง เราต้องหมุนกลับไปสู่สิ่งที่มันตรงกันข้าม สิ่งตรงกันข้ามที่ นึกถึงภาพดูว่า เฮ้ย ฉันเกิดมาก็เพื่อเจอเพื่อนคนนี้แหละ เพื่อนคนนี้แหละ เพื่อนคนนี้แหละ ประมาณนี้นะ
ผมชอบเล่าเรื่องๆ หนึ่ง มีเพื่อนผู้ร่วมเดินทางคนหนึ่ง ที่เขาไปเดินในที่หนึ่งกับผม แล้ววันหนึ่งเมื่อเขาเล่าถึงเรื่องชีวิตที่มันเจ็บปวด เพราะความผิดหวัง อกหัก และขณะพูดก็ขณะที่เราพูดกันนี่ เราเดินกันไปนี่ เขารู้ว่าเขาต้องการจะปรึกษาผม แต่จะไปปรึกษาแล้วผมจะบอก Know How อะไรมากนักก็ไม่ได้ เพราะว่าเรากำลังเดินกันไป ผมจึงพูดกับเขา ให้เขาได้ยินว่า อย่าลืมสิครับ ว่าก่อนที่จะมาสู่โลกใบนี้ เราอยู่บนสรวงสวรรค์ ตอนที่อยู่บนสวรรค์ เราซึ่งเป็นเทพธิดาและเทพบุตรอยู่นั้น บนสรวงสวรรค์อิ่มเอมไปด้วยความสุขสม ไม่มีโอกาสที่จะได้สัมผัสรู้ถึงรสชาติของความความผิดหวัง ไม่มีโอกาสได้สัมผัสความเจ็บปวด จึงแอบปรึกษากันว่า อย่ากระนั้นเลย เราไปเกิดบนโลกมนุษย์เพื่อจะเรียนรู้สิ่งเหล่านี้กันดีกว่า เทพบุตรและเทพธิดาคู่หนึ่งจึงมาเกิดบนโลกมนุษย์ เพื่อต้องการจะเรียนรู้รสชาติความรู้สึกเจ็บปวดจากความผิดหวัง โอ้โฮ...ช่างมหัศจรรย์ ที่วันหนึ่งเพื่อนเทพบุตรคนนั้นเขาอุตสาห์เสียสละเวลาบนสรวงสวรรค์ มาช่วยเราให้ได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้แล้ว ขอบคุณเขาเสียเถิด แล้วเจอกันที่บนสวรรค์อีกครั้งก็แล้วกัน
ผมพูดไปประมาณนี้ครับ เฮ้ย เขายิ้มได้นะ ยิ้มจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่รู้สึกว่าเขายิ้มนะ เฮ้ย มันใช่อะ ใช่ไหม ความรู้สึกที่มัน มันไม่ใช่เรื่องเกี่ยวข้อเท็จจริง เวลาเราฟังนิทานแล้วมันตลก มันสนุกอะ แต่ตรงนี้เรากำลังพูดถึงนิทานชีวิต นิทานชีวิตที่เวลาเราพูดถึงสิ่งที่เวลาเราหวั่นไหว หวั่นกลัว มันก็ไม่ใช่จริงบางที แต่มันทำให้เราสูญเสียความเบิกบานแช่มชื่นไปในชีวิต เพราะในทางกลับกันเนี่ยครับ ในทางกลับกันเนี่ยนะครับ มันบอกไม่ถูก ผมขอเล่านิทานอีกเรื่องหนึ่ง นี่เป็นนิทานอีกแล้วนะครับ
นิทานนี้เป็นนิทานโบราณในประเทศอินเดีย ผมไปอยู่อินเดีย นิทานมันเลยต้องเป็นอินเดียนะ เมื่อกี้นิทานชาวเกาะแต่ฟังมาแล้วเรื่องมันก็แค่วิดน้ำทะเล นิทานเรื่องนี้มีรายละเอียดลึกลับซับซ้อนขึ้นไปนิด นิทานเรื่องนี้มีอยู่ว่า มันมีกองคาราวานซึ่งมีคาราวานสินค้าไปค้าขายในต่างแดน ทีนี้ในกองคาราวานสินค้าที่ค้าขายนั้น เป็นกองคาราวานซึ่งต้องไปกันมากๆ เพื่อป้องกันไม่ให้โจรมาปล้น จะได้มีกำลังตอบโต้โจรได้ ทีนี้เวลาจะมีกองคาราวานแบบนี้ไปก็ต้องมีพระภิกษุติดตามไปด้วย เพื่อว่าพระภิกษุที่ต้องการไปเผยแพร่ธรรม ต้องรับการบิณฑบาต ท่านต้องเดินผ่านภูเขา ป่าไม้ ซึ่งหลายๆ วัน ไปคนเดียวไม่ได้ จึงต้องไปกับกองคาราวาน ทีนี้คืนวันหนึ่งที่มันมีปัญหาก็คือ นายกองพ่อค้าเกวียนคนหนึ่งทำเชือกหล่นหาย เชือกที่ผูกโคที่ลากเกวียนนี่นะมันหายไป ทีนี้ปกติเวลาถึงที่พักคนก็ต้องปลดแอกออกจากคอโคแล้วก็เอาเกวียน แล้วก็พักผ่อน แล้วก็เอาเชือกมาล่ามไว้แล้วก็ปักหลักผูกไว้เพื่อไม่ให้โคมันหนีไปไหน ทีนี้พอทำเชือกหาย พ่อค้าคนนั้นก็เลยจึงเอ๊ะไม่รู้จะทำอย่างไร มันไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว เพราะเชือกมันมีพอดีเลยจะไปขอใครก็ไม่ได้ ก็เลยขอความเมตตาด้วยเชื่อว่าพระภิกษุจะมีเวทมนตร์คาถาที่จะสะกดไม่ให้โคหนีออกไปจากฝูง จึงไปขอพระท่านช่วย พระท่านก็บอกว่า ท่านจะช่วย อย่างนั้น ไปทำเหมือนกับที่ทำทุกๆ วันนะ ปกติเคยทำอย่างไรก็ให้ทำอย่างนั้น เช่นเคยปลดแอกออกจากคอโค ปักหลักลง เอาเชือกผูกที่คอไปผูกที่หลัก อะไรแบบนี้นะครับ บอกให้ทำประหนึ่งว่ามีเชือก แล้วท่านจะร่ายมนตร์สะกดให้ ปรากฏว่าโอเคทำเสร็จ โคก็นอนนิ่งไม่ไปไหน รุ่งเช้าตื่นขึ้นมา พ่อค้าเกวียนคนนี้เมื่อเสร็จภารกิจก็ต้องการจะเทียมคบเทียมเกวียนกับคอโคเหมือนเดิม จึงไปส่งเสียงให้โคลุกขึ้น ปรากฏโคไม่ยอมลุก พอโคไม่ยอมลุก เอ๊ะ แสดงว่าเออลืมไปเมื่อวานไปขอให้พระร่ายมนตร์ เพราะฉะนั้นต้องขอให้พระไปร่ายมนตร์ใหม่ เพื่อสลายมนตรานั้นนะ พระก็บอกว่าไปทำเหมือนเดิม เดิมเคยทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น เพราะจริงๆ มันไม่ใช่เวทมนตร์วิเศษศักดิ์สิทธิ์อะไรที่ไหน โคมีสัญชาตญาณแห่งความทรงจำ ว่าเคยปฏิบัติกับมันอย่างไร ก็วันนี้ไปปลุกให้มันลุกขึ้น แต่ยังไม่ได้แก้เชือกให้มันน่ะ เพราะฉะนั้นไปทำ แก้เชือกให้มัน ทำเหมือนประหนึ่งมีเชือก เมื่อไปแก้เชือกแล้ว ถอดหลักแล้ว จึงค่อยให้มันลุกขึ้น แน่นอนนี่เป็นนิทาน
แต่ความหมายที่ผมเอามาเล่าก็คือ มันมีกลไกภายในใจของเรา กลไกภายในใจของเรา ที่จริงๆ เราก็ผูกปมของเราขึ้นมาเองเหมือนกัน ปมที่มันทำให้เราสูญเสียพลัง ปมมันทำให้เราเกิดความหวั่นกลัว ปมของมันที่ทำให้เราเกิดความหวั่นไหว เพราะฉะนั้นถ้าเราจะต้องการสร้างความมั่นคง ปราศจากความหวั่นไหว เราก็ต้องคลายปมที่มันจะก่อให้เกิดความหวั่นไหวให้ได้ ที่นี้ความรู้สึกที่ผมพูดถึงนี้นะครับ มันเป็นความหมายที่คนแต่ละคนต้องกลับไปแก้ ทีนี้ไอ้การจะแก้สิ่งนี้มันต้องมีเครื่องมืออะไรบางอย่าง ที่เป็นเรื่องภายในจิตใจของเราที่เราจะต้องสร้างสรรค์ขึ้นมา
เหมือนเมื่อตะกี๊ที่เราบอกว่า ปัจจุบันเมื่อเราอยู่ในโลกที่มีความรวดเร็วเป็นความดี มันทำให้เราสูญเสียความสามารถที่จะอดทนและรอคอย ถ้าเราต้องการสร้างสิ่งที่มันเป็นความสามารถที่จะอดทนและรอคอยได้ เพราะฉะนั้นเมื่อเราจะเผชิญกับสิ่งใด ก็อย่าไปหวั่นไหวสิครับ นี่คือกระบวนการสร้างสรรค์ความสามารถที่อดทนและรอคอย เพราะฉะนั้นเราจึงยิ้มให้เพื่อนที่เห็นแก่ตัวคนนั้น และบอกว่า ขอบคุณ ไม่ต้องบอกก็ได้เดี๋ยวเขาจะหาว่า หมั่นไส้เราใช่ไหม นึกในใจว่า ช่างวิเศษมหัศจรรย์เหลือเกินที่ได้มีพบเธอ เพราะเขามาเป็นผู้ซึ่งช่วยให้เราได้สร้างความสามารถที่จะอดทน เขาทำให้เรามีความสามารถที่จะรอคอยได้ ประดุจดังที่บอกว่าขอบคุณเขาสิ เขาเป็นเทพบุตรจากสวรรค์ที่ยอมสละเวลาบนสรวงสวรรค์ มาให้เราได้เรียนรู้ความรู้สึกเจ็บปวดที่มันจะเกิดขึ้น ความรู้สึกแบบนี้ผมเข้าใจว่าเป็นความรู้สึกที่ดูเหมือนกับเป็นกลไก แต่สิ่งนี้คือสิ่งที่เราต้องพยายามสร้างสรรค์ขึ้นมาให้ได้ครับ