แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มนุษย์เรามีธรรมชาติอย่างหนึ่งนะครับ ที่เป็นธรรมชาติที่วิเศษมาก ที่ทำธรรมชาติจัดสรรมาให้ ผมเชื่อในใจแบบเนี้ย คือมันมีธรรมชาติของความหมาย แต่เป็นความหมายที่มันไม่ใช่ถูกยึดครองเป็นส่วนตัวของเรา เป็นความหมายที่มันเกิดปรากฏขึ้นในใจเรา ที่เราก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่มันเป็นความหมายของความรู้สึกดี คำว่าดีเนี่ยนะครับ มันไม่ได้มีความหมายเป็นเอกเทศนะ มันดีในสัมพันธ์กับผู้อื่น นึกถึงภาพสิครับ ถ้าโลกใบนี้มีเราอยู่คนเดียวเนี่ย ปัญหาเรื่องความดีมันจะมีมั้ย ไม่มีหรอก แต่เพราะมันมีคนอื่นด้วย และทุกครั้งที่เราคิดเรื่องความดี มันคิดในมิติที่มีเรากับผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา
แม้กระทั่งเรื่องความสวย ผมเข้าใจว่าตอนเราอยู่ในห้องคนเดียว เราไม่คิดถึงเรื่องความสวยเท่าไหร่นะ ตอนก่อนนอนอ่ะนะ แต่เวลาจะออกจากบ้านสิ โห, คิดหนัก ดูแล้วดูอีกในกระจกนี่นะ ว่าสวยพอหรือยัง เพราะเรากำลังคิดในมิติของความหมายที่เราสัมพันธ์กับผู้อื่น ทีนี้ในความหมายที่สัมพันธ์กับผู้อื่นเนี่ย และโดยธรรมชาติโดยที่เราไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผลอะไรเลย เรามีความรู้สึกเป็นธรรมชาติเช่นไร เราก็จะรู้สึกว่าผู้อื่นก็มีความเป็นธรรมชาติเช่นนั้น ไอ้ตรงนี้แหละครับ มันจึงทำให้เกิดประเด็นที่เรากำลังพูดถึงเรื่องการใคร่ครวญ ที่มันเกิดภาวะของการทำให้เรารู้สึกว่าควรหรือไม่ควร และสุดท้ายเราก็มีการยับยั้งชั่งใจ สุดท้ายเรามีการทำให้มันเกิดวิถีของเราที่เราจะต้องดำเนินไป และสิ่งนี้ผมเข้าใจว่านี้คือกฏเกณฑ์ในธรรมชาติ
ในธรรมชาติที่เมื่อก่อนนะครับ ขณะที่ผมยังอยู่ในโลกของความคิด โลกของความคิดมันบอกผมหมดเลย ว่าอะไรดีอะไรชั่ว เฮ้ย, ผมยากเย็นแสนเข็ญเลย จะทำสิ่งที่มันดีตามที่ความคิดบอกเนี่ยนะ หรือแม้กระทั่งที่ความคิดบอกว่าชั่วเนี่ยนะ แต่ผมรู้สึกแย่มากเลยที่ผมยังทำมันอยู่ ถ้าพวกเราอ่านหนังสือเล่มนี้ มันจึงมีข้อความที่ผมพูดในตอนต้นว่า ตอนที่ผมคุยกับนักศึกษาของผมว่าขอได้โปรดให้พรผมเถอะ อย่าขัดขวางห้ามปรามผมเลย ครูของคุณคนนี้ ด้วยความคิดรู้ว่าอะไรดีแต่ก็ยังทำมันยากเหลือเกิน รู้ว่าอะไรชั่วแต่ก็ยังทำสิ่งนั้น ขอให้ครูคนนี้ได้ออกไปสู่โลกแห่งการเรียนรู้ ที่จะได้รู้ว่าดีว่าชั่วและมีความสุขมีความสามารถที่จะทำได้ นึกถึงภาพสิครับ ตอนนี้เรารู้นะ ผมบอกว่า ผมรู้ว่าความรักความเมตตาอาทรเป็นความดี แต่ผมก็ยังไม่สามารถรักคนบางคนได้ ผมยังไม่สามารถเมตตาอาทรคนบางคนได้
ผมรู้ว่าความโกรธ ความเกลียดเป็นความชั่ว แต่ผมก็ยังโกรธเกลียดคนอยู่เต็มไปหมดเลย นี่เป็นความจริงที่ผมพูดออกมาจากใจของผม และความจริงอันนั้นแหละน่ะครับ ผมรู้ว่าจริงๆ แล้วนั่นเป็นความรู้ที่มาจากคิด ??? (นาทีที่ 3:12) คิดขึ้นมาจากการคิดมันจึงทำไม่ได้ ผมอยากจะออกไปสู่ความรู้สึกที่ทำให้เรารู้สึกได้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว และเรารู้สึก เหมือนเมื่อตะกี้ที่ผมพูดบอกว่า ไม่มีใครเลยที่สมควรเกลียด นี่เป็นความรู้สึกของผมจริงๆ ในปัจจุบันนี้นะ ไม่มีเลย เวลาในชีวิตของผมสั้นเหลือเกิน เหลือน้อยเต็มทีแล้ว ผมไม่มีเวลาที่จะไปเกลียดใคร ไม่ได้เป็นเสแสร้งแกล้งพูดให้มันดูดีนะ
แต่มีความรู้สึกเหมือนกับว่า เฮ้ย, เขาน่าสงสารอ่ะ นึกถึงภาพดิ เวลามีใครสักคนหนึ่ง เวลาผมดูข่าวทีวี แล้วเขาถูกประณามนะ คนที่มันทำอะไรชั่วๆ ในความรู้สึกของสังคมแล้วเขาประจาน เขาประณาม โอ๊ย, น่าสงสาร ถ้าเขาอยู่ใกล้บ้านผม ผมจะ ถ้าเขาอยู่ใกล้บ้านผมเหมือนกับลุงคนที่ว่านี่นะ ผมจะยอมที่จะไปเคาะประตู แล้วก็ทำอะไรสักอย่างหนึ่งเพื่อให้รู้ว่าผมเห็นใจเขานะ ประมาณนี้ ทีนี้ไอ้ความรู้สึกที่ผมกำลังพูดถึงนี้ มันมีกฏเกณฑ์อะไรบางอย่างที่เป็นกฎเกณฑ์ธรรมชาติที่งดงามมากเลย เป็นกฎเกณฑ์ธรรมชาติที่อยู่ในใจผม ผมสัมผัสความหมายนี้ได้ เมื่อตอนที่ผมออกมาสู่ความหมายที่ว่านี้
เมื่อก่อนนะครับ ตอนที่ผมเรียนธรรมะและศึกษาปฏิบัติธรรม ผมไปท่องว่ามีสิ่งที่เป็นกุศลธรรม เป็นสิ่งที่เป็นอกุศลธรรม สิ่งเป็นกุศลธรรม ผมควร พะ-เว-ตะ-พะ ???(นาทีที่ 4:33) ทำให้มันงอกงามขึ้น พะ-วี-ตา???(นาทีที่ 4:35) ทำให้มากขึ้นเนี่ยนะ ไอ้สิ่งที่มันเป็นอกุศลธรรม ปะ-หา-นะ???(นาทีที่ 4:38) ละมันไปเสียเนี่ยนะครับ รู้หมด แต่มันละไม่ได้
แต่พอมาถึงวันหนึ่ง ผมกลับพบว่าสิ่งที่มันเป็นความหมายแบบที่ว่าเนี่ย มันไม่ใช่เรื่องการฝืนใจที่จะละเลย มันเป็นความรู้สึก ความรู้สึกที่ ผมเลยประทับใจความหมายของคำว่า ประดุจดังมารดาปฏิบัติต่อบุตร ไม่มีกฏหมายมาตราไหนบังคับให้แม่ต้องทำสิ่งนั้น หนึ่ง สอง สาม ต่อไปนี้กับลูก ไม่มี ไม่มีกฏหมายซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญ ไม่มีกฏหมายลูก ไม่มีกฏหมายที่เป็นเทศบัญญัติของเทศมนตรีคนไหน แต่มันเป็นกฏในใจ แล้วเราเติบโตขึ้นมาภายใต้กฏในใจนี้นะครับ กฏในใจเนี่ย และความรู้สึกแบบนี้เป็นความรู้สึกที่ทำให้ผมเชื่อมั่นโดยที่ไม่มีความเคลือบแคลงสงสัยใดๆ ว่าถ้าเรากลับไปสู่การเคารพกฏเกณฑ์เหล่านี้ภายในตัว
แต่ที่เราสับสนในปัจจุบัน มันมีภาวะความปั่นป่วนมากมายอยู่ในใจเรา มีเมฆ ผมใช้คำว่ามีเมฆหมอกคลุมเครือจนกระทั่งท้องฟ้าไม่แจ่มใส กรุงเทพวันนี้ท้องฟ้ามืดมัวไม่แจ่มใส แต่ถ้าเรานั่งเครื่องบินการบินไทยหรือสายการบินแล้วบินสูงๆ ขึ้นไปนะฮะ เรามองลงมา พอเราไปอยู่เหนือนี่นะ เมฆมันอยู่ระดับผิวเหนือกรุงเทพ เครื่องบินบินเหนือเมฆนี่นะ ท้องฟ้าข้างบนนี่แจ่มใสนะครับ แต่ก็ไม่ต้องกังวลครับ เมฆหมอกนี่ สักพักเดี๋ยวก็จะพัดผ่านไป มันไม่ได้สถิตย์สถาพรอยู่เหนือน่านฟ้ากรุงเทพตลอดไป และก็ให้เชื่อมั่นแบบนี้ในใจของเราว่าสิ่งที่เป็นเมฆหมอกแห่งความคลุมเครืออะไรบางอย่างก็จะพัดผ่านไปเช่นเดียวกัน อดทน รอคอยนะครับ แต่ไม่ใช่ว่ารอคอยในความหมายซื่อๆ นะครับ คือหมายความว่าเรากำลังทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ แล้วเราจะทำสิ่งนั้นต่อไป
คำถาม : อาจารย์เชื่อว่ามันยังมีคนเห็นแก่ตัวแล้วมันก็สามารถเห็นแก่ตัวได้มากกว่า มันยังมีเพื่อนที่แบบยืมตังค์เราแล้วไม่คืน มันยังมีคนที่แบบว่า อุ๊ย, ออกไปข้างนอกแล้วแบบฉันยังเอาเปรียบคนได้ อาจารย์เชื่อว่า
ตอบ : ผมเชื่อว่ามันมีคนอย่างนั้นจริงๆ ผมเชื่อครับ ผมเชื่อ แต่ผมเชื่อว่าในธรรมชาติของคนคนนั้นน่ะนะครับ ก็เปลี่ยนแปลงจากความเห็นแก่ตัวให้เป็นความเสียสละได้ครับ
ถาม : แต่อาจจะไม่ได้เกิดกับเรา
ตอบ : อาจจะไม่ได้เกิดกับเรา คือพูดกันตรงๆ สิ่งที่มันเกิดปรากฏขึ้นเนี้ยอ่ะนะครับ โดยโครงสร้างโลกใบนี้ พื้นเพมันมีความสลับซับซ้อนแต่เราไปเป็นเพียงจุดเล็กๆ เล็กมากๆ โลกใบนี้มีอายุที่ยืนยาวมาก แต่เราเป็นเพียงชั่วขณะสั้น ๆ สิ่งที่มันเกิดการเปลี่ยนแปลงมันมีห่วงโซ่หรือว่าวงจรของมันที่มันยาวกว่านั้นบางที เราจึงไม่ได้เห็นความเปลี่ยนแปลง ไม่มีใครที่ชั่วถาวร และไม่มีใครที่จะเป็นคนเห็นแก่ตัวตลอดไปครับ แต่บังเอิญว่าเราพบกันในเวลาอันแสนสั้น พบกันในช่วงที่เขากำลังเห็นแก่ตัวครับ
ถาม : เขาจจะลำบาก มีประเด็นที่ต้องใช้ชีวิตอย่างนี้
ตอบ : ใช่ ๆๆๆๆ ถ้าเราไปถามคนที่มันเป็นฆาตกรเนี่ย มันจะมีเหตุผลดีมากเลยนะ ที่จะอธิบายให้เรารู้ว่าคนที่มันฆ่าสมควรถูกฆ่า สมควรถูกฆ่า สมควรถูกฆ่า เรานึกถึงภาพสิ ฆ่าคนคนเดียวทำไมจะอธิบายไม่ได้ ก็ฆ่าคนทั้งโลกมันยังอธิบายได้เลย เวลามีผู้นำประเทศใดประเทศหนึ่งใช่ไหม ที่จะไปทำอะไร ทำร้ายชีวิตของคนอีกกลุ่มหนึ่ง เขาอธิบายจนกระทั่งเราเคลิบเคลิ้มว่าฆ่ามันเร็วๆ ประมาณนี้