แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
คำถาม : จะคู่ชีวิตจะเพื่อนร่วมงานจะเพื่อน หมายถึงว่า โอเคถ้าเผื่อเราเกลียดมันมากเลยปุ๊บ แต่วันรุ่งขึ้นเราเปลี่ยน เปลี่ยนความคิดว่า เราเปลี่ยนมวล เปลี่ยน energy เรา มันดีนะที่มีสิ่งนี้เกิดขึ้น เราเกิดมาเพื่อเรียนรู้สิ่งนี้ แล้วกลไกต่างๆ จะเปลี่ยนไปเองเมื่อเราเปลี่ยน เมื่อเริ่มที่เราอย่างนี้ใช่ไหมครับ
ตอบ : ใช่ คือกลไกที่เราพูดถึง มันไม่ใช่เรื่องของเราคนเดียวนะ กลไกนี้มันเป็นปฏิสัมพันธ์กับเรากับคนจำนวนมากมาย รวมกับคนคนนั้น ทีนี้กลไกเหล่านี้มันเป็นกลไกธรรมชาติมากๆ มันเป็นกฎของธรรมชาติเลยนะ เรานึกถึงภาพสิ ถ้าเราอยู่กับคนเห็นแก่ตัวและเราก็เห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวมันก็จะเพิ่มขึ้น แต่ถ้าเราอยู่กับคนเห็นแก่ตัว แล้วเราไม่เห็นแก่ตัว เราเสียสละให้เขา นึกถึงภาพสิ ถ้ามีคนมาชอบยืมเงินเราอยู่เรื่อยๆๆๆ “กูไม่ให้มึงๆ” ประมาณนี้ ต่างเห็นแก่ตัวกันทั้งคู่ใช่มั๊ย แต่ถ้าเรามีสัก เออ,ตอนแรก นึกถึงภาพนะครับว่าเวลาเราให้อะไรใครสักคนนึงเนี่ย มันไม่มีคนคนไหนที่จะรับอยู่ฝ่ายเดียวอย่างมีความสุข คนที่มันรับอยู่ฝ่ายเดียวนั้นแหละมันจะค่อยๆ “โอโห กูรับอยู่ฝ่ายเดียวไม่ไหวแล้ว กูเป็นทุกข์เหลือเกิน” ประมาณนี้
ผมมีเรื่องเล่าที่เป็นเรื่องตลกมาเลย คือผมนี่นะครับ มีชาวไทใหญ่ ชาวไทใหญ่ ก็คือหมายความว่า เขาเป็นสามีภรรยากัน แต่ว่าตัวภรรยาไม่มีงานทำ สามีนี่ไปทำงาน แต่ทีนี้จะให้ภรรยาอยู่ ผมก็เลยโอเคไม่มีปัญหา ผมพาเขาไปสำนักแรงงานอะนะ เพื่อจะได้มีผมเป็นนายจ้างไง เขาจะเป็นลูกจ้าง ผมบอกไม่ต้องมาทำอะไรให้ผมหรอกนะ เป็นเพียงเพื่อเขาจะได้บัตรที่จะอยู่ในเชียงใหม่ได้โดยไม่ผิดกฎหมาย เขาก็รู้สึกดีกับผม เขาจึงอาสามา ไม่มีอะไรเขาก็จะมา จะให้เขาทำอะไรได้บ้าง คือเขาก็รู้สึกละอายนะ ที่ว่าเราช่วยเขา ผมบอกไม่มีอะไร งานบ้าน บ้านเล็กนิดเดียว สองคนทำก็จะต้องทะเลาะกันเพราะแย่งงานอยู่แล้วเนี่ย ปรากฎว่าเราก็ให้อะไรเขา เราพาเขา บางทีเขามา ถ้าเขามาทำงาน เราก็โอเค ชวนไปกินโน้นกินนี้
ผ่านไปเป็นปีๆ วันหนึ่งเขาสองคน สามีภรรยามาหาเราที่บ้าน แล้วบอกว่า “อาจารย์ครับ เราอยากเชิญอาจารย์ไปทานอาหาร” เขาจะเชิญไปทานสุกี้ MK ไม่ได้โฆษณา MK นะ แต่หมายความว่า ข้อเท็จจริงเขาบอกว่าเขาจะชวน ผมบอกว่า “เฮ้ย ทำไม เริญ (เขาชื่อเริญ กับ คำ) เริญ คำไม่ต้อง” “อาจารย์ครับ ไปทานเถอะครับ” “ทำไมล่ะ” “ผมถูกหวยครับ” คือหมายความเขาไปถูกหวย ผมก็คิดว่าเขาอ้าง เขาคงมีความรู้สึกเหมือนกับ เราให้เขา เราพาเขาไปเลี้ยงอาหาร คือเวลาเขามาทำงานให้เรา เราจะรู้สึกว่าอยากขอบคุณเขา เลยพาไปกินโน่นกินนี่เนี่ยนะครับ เขาเก็บเงินนะครับ เขาเก็บเงิน เขาส่งไปพม่า ส่งไปบ้านเขา แต่ผมรู้สึกว่า ผมเลยบอกไปบอกว่า “ไปเถอะ เราไปกินอาหารที่เขาเลี้ยง เขาจะได้มีความสุข” เพราะมันเป็นความรู้สึกอ่ะที่อยากจะเลี้ยงเราบ้าง เขาอยากจะเลี้ยง แล้วจริงๆ เลยนะครับ วันที่เราไปนั่งกินเขามีความสุขมากเลย ที่ได้เลี้ยงเรา ได้ควักสตางค์ออกมา นึกถึงภาพ โอโห, มันสุดยอดเลย ที่พอเขามาส่งบิลแล้วเขารับบิลไปแล้วเขาจ่ายเงินอ่ะ ความรู้สึกแบบนี้เป็นความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นในใจของคนที่มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันและกัน
ผมไม่เชื่อว่าใครคนใดคนหนึ่งจะทำความดีอยู่ฝ่ายเดียว แล้วอีกคนหนึ่งจะเลวลงไปเรื่อยๆ ไม่มีอ่ะครับ ไม่มีเลย ถ้าเราทำความดี มันจะแบ่งปันความดีนั้นไปให้อีกฝั่งหนึ่งจนกระทั่งมันกลายมาเป็นการเกื้อกูลกัน แล้วทำให้เกิดความหมายกัน แต่ที่มันมีปัญหามาก ก็คือยิ่งมีเห็นแก่ตัวในตัวเรา แล้วเราเห็นแก่ตัว เขาก็จะเห็นแก่ตัว นึกถึงภาพสิครับ คนเวลามันทะเลาะกันเนี่ย เพราะมันโกรธใส่กันใช่ไหม แต่ถ้าเราไม่โกรธเขาอ่ะ เราใจเย็นพอ แล้วเรามีความรักความเมตตาพอ เขาก็ เขาจะโกรธเราลงเหรอ นึกถึงภาพดูสินะ ผมไม่รู้อ่ะ ผมมีความเชื่อมั่นในกฎแห่งธรรมชาติ กฎแห่งธรรมชาติที่มีความหมายถึงว่าสิ่งที่มันเกิดปรากฎขึ้นนี้มันเป็นปฏิสัมพันธ์ เป็นปฏิสัมพันธ์ที่ทำให้เราต่างมีความสัมพันธ์ที่มันจะ ถ้าเรามีจิตใจที่แห้งแล้ง เขาก็จะแห้งแล้งกับเรา มันเป็นกฏธรรมชาติ ผมเชื่ออย่างนั้นนะครับ
แต่ผมไม่มีทฤษฎีที่จะอธิบาย เพราะผมไม่มีความสามารถในการสร้างคำอธิบาย แต่ผมมีความเชื่อมั่นอย่างนั้น แล้วความเชื่อมั่นแบบนี้นะครับจึงทำให้ผมมีความรู้สึกได้ว่า ขอให้เรามีความดีมากพอ คำว่ามากพอคือสามารถแบ่งปันให้เขาได้ เพราะว่าทุกครั้งที่เวลามีอะไร เจอคนที่เขาขาดแคลนสิ่งนั้น ผมเข้าใจว่าเราให้เงินให้ทองให้สิ่งของที่เขาขาดแคลนไม่เท่าไหร่หรอก แต่ให้สิ่งที่มันเป็นความหมายที่ชุบชูใจของเขาสิครับ ที่จะชุบชูใจเขาเนี่ยครับ มันเป็นความหมายที่สำคัญ และความหมายที่สำคัญนี้นะครับ ผมเข้าใจว่าที่มันขาดแคลน แห้งแล้ง สภาวะอะไรบางที่เป็นคุณธรรม เพราะเราต่างไม่มีให้แก่กันและกัน และความที่เราไม่มีให้แก่กันมันจึงขาดแคลนไป แต่ถ้าเรามีให้กันมันจะเพิ่มพูนมากขึ้นๆ
ถ้าเราให้เงินไปเงินในกระเป๋าของเราจะลดน้อย แต่ถ้าเราให้ความเมตตา หรือให้ความรู้สึกที่ดีกับเขา ไม่ได้หมายความว่าเมตตาในใจเรามันจะน้อยลง มันจะยิ่งเพิ่มพูนขึ้น และในใจของเขาจะเพิ่มพูนขึ้นด้วย นี่เป็นความมหัศจรรย์ที่เมื่อเราให้ไปแล้วจะเพิ่มพูนขึ้น มากขึ้น แล้วความรู้สึกแบบนี้ ผมเชื่ออย่างสุจริตใจ เชื่ออย่างสุจริตใจไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ผมเชื่อว่านี้เป็นกฎของมนุษยชาติ เป็นกฎของธรรมชาติด้วย เป็นกฏของธรรมชาติด้วยไม่ใช่กฎของมนุษย์อย่างเดียว มนุษย์กับต้นไม้ มนุษย์กับสัตว์ มนุษย์กับอะไรก็ตามทีนะครับ
เมื่อตอนที่ผมเดิน ผมมีปัญหากับหมาหรือสุนัขมากเลย ต่อมาผมพบว่ามันมีความมหัศจรรย์ที่ผมสามารถพูดภาษาหมาได้ คำว่าพูดภาษาหมาได้นี่มันแปลกมาก มันไม่ใช่ภาษาที่เป็นถ้อยคำ ทุกครั้งที่หมาออกมาเห่าคือเวลาเดินผ่านหมู่บ้านนี่นะ หมามันจะมาไล่เห่า ไล่กัดเรา แต่ผมยืนนิ่งๆ และผมก็พูดกับมันด้วยภาษาใจ ถ้าจะแปลเป็นภาษาไทย ก็คือผมเดินออกจากบ้านมา ไม่ปรารถนาจะเบียดเบียนใครเลย เราอย่าเบียดเบียนซึ่งกันและกันนะ มาเป็นเพื่อนกันเถิด ผมเดินมาที่นี่เพื่อจะมาพบเขา เพื่อจะมารู้จักกัน ความรู้สึกแบบนี้นะครับ ทำไปทำมามันกลายเป็นว่าทุกครั้งที่มีหมาออกมาเห่า ผมรู้สึกดีมากที่มีเพื่อนมาต้อนรับ ผมไม่ได้รู้สึกว่าหมามาไล่ผมอ่ะ ผม โอ้โห, หมู่บ้านนี้มีเพื่อนเยอะเลยประมาณนี้นะ แล้วผมก็ยืนนิ่งๆ แล้วก็ยิ้มคุยกับมัน
ขอโทษ ผมเข้าใจที่เขาว่าผมบ้า บ้าจริงอ่ะ ตรงนี้นะ นึกถึงภาพสิ เดินไป หยุดคุยกับหมาก็ได้ อย่าพูดถึงกับหมาเลยกับมดผมยังหยุดคุยเลย เพราะผมเหนื่อย ผมเหนื่อย พอนั่งลงมดมันกำลังเดินผ่านหน้าผมไปพอดี ผมเลยคุยกับมัน แต่ความรู้สึกว่าคุยกับมด คุยกับสัตว์เหล่านี้นะครับ มันเป็นความหมายที่มหัศจรรย์ ที่พอสุดท้ายแล้วสิ่งหนึ่งที่อยู่รอบตัวเรามันมีความหมายที่ดีงามให้เราสัมผัสรู้ มันมีความหมาย ผมขอบคุณดอกหญ้า ที่มันบานรับผม พอผมขอบคุณดอกหญ้าที่มันบานรับผม โอ้โห,มันนานนักหนาแล้วที่เราไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นแบบนี้ ดอกหญ้ามันบานอยู่เสมอ แต่เราไม่เคยรู้สึกดีกับมันเลย
แต่วันหนึ่งเมื่อผมเดินไปอย่างคนจรจัดหมดเรี่ยวหมดแรง ทรุดตัวนั่งลงและมีดอกหญ้าอยู่ใกล้ๆ ตัวผม แล้วผมขอบคุณมันที่บานรับผม มันเป็นความรู้สึกที่งดงาม แล้วความรู้สึกที่งดงามนี้ดอกหญ้าจะรู้หรือไม่รู้ก็ไม่ใช่ประเด็น แต่ประเด็นคือมันมีความรู้เกิดขึ้นในใจผม
ตอนนั้นเองผมจึงยังเข้าใจว่าทำไมพระพุทธเจ้าเมื่อตรัสรู้ต้องยืนเพ่งต้นโพธิ์อยู่ 7 วัน ที่เกิดอนิมิสเจดีย์อ่ะนะ พระพุทธเจ้ายืนขอบคุณต้นโพธิ์ โอ้โห, ผมเรียนมาตั้งนานทำไมไม่มีความรู้ชุดนี้ พระพุทธเจ้ายืนขอบคุณต้นโพธิ์ ต้นโพธิ์ที่พระองค์นั่งลงแล้วพระองค์ตรัสรู้ภายใต้ร่มเงาของต้นโพธิ์นั้น มันเป็นสิ่งที่ปรากฎอยู่ในคำภีร์ทางศาสนา แต่เราไม่เคยใส่ใจที่จะเกิดความตระหนักได้ รู้สึกได้ถึงความหมาย ความหมายที่ทำให้ผมต่อมา ไม่ว่าไปอยู่ตรงไหน ที่ไหน ยังไง ผมจะรู้สึกขอบคุณ ขอบคุณร่มไม้ ขอบคุณอะไรก็ไม่รู้ ถ้าไม่มีหญ้าไม่มีพืชพรรณเหล่านี้ เราจะมีชีวิตเป็นมนุษย์อยู่ได้อย่างไร
โลกใบนี้มีวิวัฒนาการยาวนาน เพราะมีหญ้า มีสิ่งมีชีวิตเล็กๆ เหล่านี้ก่อน จึงค่อยๆ หนุนให้เกิดมนุษย์ซึ่งมีความสลับซับซ้อน และความรู้สึกแบบนี้เป็นความรู้สึกที่ละเอียดละอ่อน และความรู้สึกแบบนี้มันเป็นความรู้สึกละเมียดละไม และความรู้สึกแบบนี้เอง ผมรู้สึกเหมือนกับว่าไม่มีใครบนโลกใบนี้ที่น่าเกลียด ไม่มีใครบนโลกใบนี้ที่น่ากลัว และไม่มีใครบนโลกใบนี้ที่จะต้องเป็นศัตรูกัน เราอยู่บนโลกใบนี้ เป็นเวลาอันแสนสั้นเราไม่มีเวลาที่จะมาโกรธกัน เราไม่มีเวลาที่จะมาตำหนิอะไรกันมากมายนัก เรามีเวลาที่จะมายิ้มให้กัน ขอบคุณนะที่เห็นแก่ตัว ประมาณนี้นะ นึกถึงภาพถ้าเขาไม่เห็นแก่ตัว เราจะรู้สึกอย่างนี้ได้อย่างไง ประมาณนี้นะครับ แล้วผมเข้าใจว่าตรงนี้นะครับ ขอให้พวกเราโปรดนำมาสู่การใคร่ครวญพิจารณากับคนเพื่อนร่วมงานไม่เท่าไร แต่คนใกล้ชิดมากกว่านั้นสิครับ โปรดรู้สึกได้ถึงความหัศจรรย์ที่เราจะได้มีความรู้สึก ถ้าเขาจะทำอะไรผิดพลาดเล็กน้อยบ้างก็เห็นใจเขาเถอะ