แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ผู้ถาม : คือเราก็อดทนมากๆ เลย เราก็ต้องปล่อยให้เป็นไปอย่างนั้นหรือคะ
อ.ประมวล : ไม่ เราไม่ได้ปล่อยครับ เพราะขณะที่เราอดทน ถ้าเราอดทนเป็นนี่ เท่ากับว่าเราประคับประคองเขาไปแล้ว ปัญหาของเรานี่ เมื่อกี้ใช้คำว่าอดทนนะ คำว่าอดทนนี่ จริงๆ มันมีความหมายของมันเหมือนกันนะ เพราะเวลาเราอยู่ด้วยกันนี่นะครับ ที่เรากระทบกระทั่งกัน จนก่อให้เกิดความเบียดเบียนกันนี่นะครับ เพราะเราไม่มีความอดทนเพียงพอ ทีนี้ ความไม่สามารถจะอดทนอย่างเพียงพอนี่ละครับ มันเป็นภาวะที่คนในยุคปัจจุบันนี้นะครับ คือผม ผม.. เมื่อกี้ไม่ได้ตำหนิหรือไม่ได้บอกว่าดีหรือไม่ดีนะครับ แต่มันมีสิ่งหนึ่งซึ่งในความรู้สึกของผม ที่ผมสัมผัสกับคนอยู่ในช่วงวัยหนุ่มสาวในปัจจุบันนี้ มันเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ เมื่อเขามาอยู่ในโลกที่มีความรวดเร็วฉับไว ไอ้ความรวดเร็วฉับไวที่ว่านี้นะครับ มันเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความสะดวกสบาย ความง่ายที่จะเข้าถึงสิ่งต่างๆ เพราะความง่ายที่เข้าถึงสิ่งต่างๆ นี้ มันทำให้มีความหมายอันหนึ่งก็คือ ความหมายของการ เราสูญเสียความสามารถที่จะอดทนรอคอย โดยไม่รู้ตัวเลยนะครับ สูญเสียความสามารถที่จะอดทนรอคอย เรานึกถึงภาพสิครับ ถ้าเราใช้บริการรถลอยฟ้าทุกวัน แล้วมันมาตรงเวลา รอไม่เกิน 5 นาทีนะครับ แต่ถ้าเกิดวันหนึ่ง รถลอยฟ้าเกิดมาช้ามากกว่า 5 นาที เราจะรู้สึกมันแย่มากๆ เลย มันแย่มากๆ เลยนะครับ ทั้งที่ความจริง ในสมัยก่อนหน้านี้ สมัยเป็นรถเมล์ ขสมก. น่ะนะ เรารอ 30 นาทีนะ ถามว่าทำไมเราถึงไม่สามารถรอ เพราะมันมีความเร็วอะไรบางอย่างที่ทำให้เราเกิดความเคยชิน ทีนี้กรณีรอรถเมล์โอเค รอรถไฟฟ้านี่ไม่มีปัญหาหรอกครับ
แต่ผมเข้าใจว่าในชีวิตของเรานี่นะครับ เราต้องมีความสามารถที่จะอดทนรอคอย ผมใช้คำนี้ ผมประทับใจจากการอ่านสิทธารถะ สำนวนแปลของอาจารย์ฉุน ประภาวิวัตน์ เมื่อตอนที่สิทธารถะไปพบกมลา หญิงงามเมืองนี่นะ สิทธารถะ คล้ายกับเหมือนเป็นนักบวช เป็นสมณะ ออกมาจากป่าใช่ไหม ไม่มีสมบัติพัสถานอะไรเลย แต่พอไปเห็นกมลา ซึ่งเป็นหญิงงามเมือง โอ้โฮ มันช่างเลอโฉม เพราะฉะนั้นก็เลยอยากเข้าไปสัมพันธ์กับกมลา กมลาเธอเป็นหญิงงามเมือง ใครจะเข้าพบเธอได้ต้องมีทรัพย์ ต้องมีสิ่งที่แลกเปลี่ยนกันน่ะ คำว่าหญิงงามเมือง ก็คือ สถานะของเธอ คือเป็นดารา ต้องเสียค่าตัวประมาณนี้นะครับ
เพราะฉะนั้น ตอนที่สิทธารถะเข้าไปพบกมลา กมลาบอก คนที่จะมาพบเธอต้องมีของรางวัล ท่านมีทรัพย์อะไรที่จะมาให้กับเรา สิทธารถะบอกว่าเราเป็นสมณะ ไม่มีทรัพย์อันเป็นสิ่งภายนอก แต่เรามีทรัพย์อันเป็นสิ่งภายใน ประมาณถ้าเป็นภาษาพุทธก็คงบอกเรามีอริยทรัพย์ ประมาณนี้น่ะนะ กมลาเธอก็งงๆ ว่าอริยทรัพย์ของท่านคืออะไร สิทธารถะ บอกว่า เรามีความสามารถที่จะอดทนและรอคอย โอ้โฮ ผมอ่านแล้ว ผมประทับใจมากเลยนะนี่ ความสามารถที่จะอดทนและรอคอย ภาษานี้คือหมายความว่า อยากพบกมลา จะให้รอคอยนานเท่าไหร่ก็ได้ประมาณนี้น่ะนะ แต่โอเค กมลาบอกว่า แล้วของอื่นที่มีอีกล่ะ เรามีความสามารถที่จะร่ายกวี กมลาจึงบอกว่า ทรัพย์ครั้งแรกมันยังไม่รู้ว่าคืออะไร อันที่ลองเอามาหน่อยสิ ปรากฎว่าสิทธารถะ ก็เลยร่ายบทกวียลโฉมกมลา โอ้โฮ บทกวีเพียงสั้นๆ เท่านั้น ทำให้กมลาสั่นไหว รีบเรียกสาวใช้ คนรับใช้มาบอกว่าช่วยเอาผ้าและน้ำมันทาผมมาให้ผู้ชายคนนั้น แล้วให้เขาไปพรุ่งนี้มาใหม่ เพราะคนที่จะมาหาเธอต้องมีผ้าที่มีราคา ต้องมีน้ำมันทาผม ประมาณนี้น่ะนะ พูดว่าออกทรัพย์ให้ก่อน จัดให้ จัดให้ จัดให้ประมาณนี้ แล้วสุดท้ายก็โอเค
นี่เราพูดถึงนิยายน่ะนะ แต่ผมประทับใจคำว่าความสามารถที่จะอดทนและรอคอย เพราะสิทธารถะบอกว่า สิ่งนี้เป็นทรัพย์ที่มีค่า ที่เมื่อใครครอบครองไว้ได้แล้ว มันจะทำให้คนๆ นั้นน่ะเหมือนกับมีสิ่งที่ประเสริฐ และผมเข้าใจว่าในปัจจุบันนี้ พวกเราสูญเสียทรัพย์ส่วนนี้ไปเกือบหมดสิ้น เราไม่ความสามารถที่จะอดทนรอคอย และความสามารถที่อดทนรอคอยที่มันเป็นทรัพย์นี่นะครับ มันยิ่งกว่าทรัพย์อื่นๆ นะ นึกถึงภาพสิ เวลาเรามีชีวิตคู่ หรือเรามีการงานที่มันทำ เราเก่งนะ ไม่ใช่ไม่เก่ง มีความรู้เยอะ แต่บางทีที่ไม่ประสบความสำเร็จเพราะไม่มีความสามารถที่จะอดทนและรอคอย ไอ้ความสามารถที่อดทนและรอคอยได้ มันเป็นอะไรบางอย่าง
ทีนี้ที่ผมพูดตรงนี้ คือกำลังพูดถึงว่า เมื่อเราอยู่กับเพื่อนหรืออยู่กับผู้ร่วมงาน หรืออยู่กับใครก็แล้วแต่นี่นะครับ ไอ้ความแข็งแกร่งที่เราจะอยู่กับเขา เพราะมันต้องมีกระทบกระทั่งกันอยู่แล้ว อย่าพูดถึงเพื่อนที่เป็นเพื่อนร่วมงานเลย แม้กระทั่งเพื่อนร่วมชีวิตคือคู่ชีวิตเรานี่นะครับ มันมีคู่ชีวิตไหนบ้างที่จะไม่กระทบ ไม่กระแทกเสียดสีกัน แต่ที่มันยังอยู่กันได้ไม่แตกร้าวแตกหัก เพราะมันมีความมั่นคง ความอดทนได้ รอคอยให้เวลาที่มันผ่านไป แล้วมีเวลาหวานชื่นกลับคืนมาได้ ความสามารถแบบนี้นะครับเป็นสิ่งที่เราต้องบำเพ็ญ ทีนี้เวลาที่เราบำเพ็ญสิ่งนี้ เวลาที่เราบำเพ็ญของเราเองได้ มันไม่ได้ผลเฉพาะเราเองนะ มันกำลังหมายถึงว่าเรากำลังบ่มเพาะให้เกิดความอดทนรอคอยแบบที่ว่านี้ขึ้นในตัวของคนที่เรากำลังพูดถึงอยู่ด้วย ไอ้ที่มันอยู่กันแล้วมันมีปัญหามากก็คือมันแตกทันที และตรงนี้มันเป็นปัญหาที่เป็นปัญหามากๆ นะครับ เพราะฉะนั้น ทันทีที่เราสามารถสำแดงความสามารถหรือความรู้ชุดนี้ขึ้นมาในตัวเราได้ เราก็สามารถแบ่งปันชุดความหมายนี้ขึ้นมากับเพื่อนของเราได้เช่นเดียวกัน ปัจจัยปัจจุบันที่เราคบกันไม่ค่อยยืดนี่ กูก็ไม่ทน มึงก็ไม่ทน ก็เลยต้องแยกกันดีกว่า ประมาณนี้นะครับ
ทีนี้ประเด็นเหล่านี้ ผมเข้าใจว่า เป็นเรื่องของสภาวะของความหมายในการมีชีวิตอยู่ร่วมกัน และความสามารถที่เราพูดถึงนี้นะครับ ว่าเราต้องทนนานแค่ไหน ความจริงคำว่าทนนี้นะครับ ถ้าในความหมาย ถ้าพอเราทนได้นี่นะครับ มันมีความหมายสำหรับเราไม่ใช่น้อยนะ และความสามารถที่จะทนได้นี่ มันเป็นความรู้สึกที่มหัศจรรย์ และความสามารถเราทนอะไรบางอย่างได้เวลามีอะไรกัน นึกถึงภาพ เพื่อนที่รักๆ กัน รักกันมากๆ นี่ มันถึงจุดๆ นึง เราอดทนกันได้น่ะ คู่ชีวิตที่เรารักๆ กันมาก เพราะเราอดทนกันได้ พยายามระลึกนึกถึงความหมายของการอดทนกันได้นี่ มันกลายมาเป็นความรู้สึกที่อธิบายเป็นถ้อยคำไม่ค่อยได้ แต่มันมีผลปรากฎชัดก็คือต่างมีความรู้สึกที่ดีต่อกัน เมื่อยามที่ฉันอ่อนแอ เธอก็มีความมั่นคงให้ฉันเกาะเกี่ยวได้ และความรู้สึกแบบนี้นะครับ เป็นความรู้สึกที่ผมอยากจะให้ทุกท่านที่มีชีวิตอยู่ในสังคมที่ต้องสัมพันธ์กับผู้คนเป็นจำนวนมากนี่นะครับ เราต้องมีพลังและความสามารถที่จะอดทน และมีความสามารถที่จะรอคอย ความสามารถที่จะรอคอยคือหมายความว่า วันนี้เขายังไม่สามารถจะเป็นคนดีขึ้นมาได้ แต่เราจะรอคอยและเราจะอดทน เราจะทำ เราจะมีความเพียรอันบริสุทธิ์ที่จะแหวกว่ายอยู่ร่ำไป เรามีความเพียรอันบริสุทธิ์ที่จะประพฤติกิจอันเป็นความหมายที่ดีงามกับเขาอยู่ร่ำไป นี่คือสิ่งที่ผมว่าคิดว่าน่าจะเป็นสิ่งที่อยากจะบอก
ผู้ถาม : ถามอีกนิดหนึ่งค่ะ แต่ในขณะนั้น คือเราก็ไม่ได้มีความสุขกับการที่เราอดทน
อ.ประมวล : ตรงนั้น คือเราไม่มีความเพียรอันบริสุทธิ์ เราไม่มีความอดทนรอคอยที่บริสุทธิ์ คำว่าบริสุทธิ์ก็คือ ถ้าเราใจร้อน ถ้าเราทำอย่างนี้ต้องเกิดผลเช่นนั้น ผลเช่นนั้นจะเกิดได้ แต่มันไม่ใช่ง่ายๆ มันไม่ใช่ง่ายๆ ต้องอดทนและรอคอย มันจึงมีคำว่าอดทนและรอคอยน่ะนะครับ เพราะเวลาเราอดทนไม่ใช่เราอดทนอย่างดื้อดึง มันมีความหมายของการรอคอยด้วย นึกถึงภาพนะครับ
ผมชอบเวลาผมสนทนากับคนหนุ่มสาว เขามาบ่นเรื่องอกหักผิดหวังให้ผมฟัง และผมถามว่าจีบกันนานกี่วัน เขาบอกว่าพบกันรู้จักกันมาสัปดาห์กว่าแล้ว เฮ้ย สัปดาห์กว่าแล้วเป็นแฟนกันได้เหรอ ตอนผมจีบผู้หญิงคนแรกหกเดือนยังไม่รู้จักชื่อเลย อันนี้ไม่ใช่เรื่องเท็จนะครับ ไม่ใช่เรื่องเท็จ หกเดือนนี่ไม่ได้นั่งรถไฟฟ้า ลอยฟ้าไปนะ เดินน่ะ... ผมเป็นคนกรีดยางพารานะครับ ต้องตื่นเที่ยงคืนเพื่อขึ้นมากรีดยาง รุ่งเช้าเก็บน้ำยางจนเกือบเที่ยง เก็บมาก็ต้องผสมน้ำยางรีดเป็นแผ่นได้เสร็จประมาณเที่ยงหรือบ่ายโมง ปกติคนกรีดยางพาราทั่วไป เวลากรีด เขาทำเสร็จ เขาจะนอนหลับในช่วงบ่าย ตื่นขึ้นมากินอาหารมื้อเย็นและนอนต่อ และตื่นขี้นเที่ยงคืนกรีดยางใหม่ ผมนี่มีความรู้สึกคิดถึงสาว เดินข้ามภูเขาเป็นลูกๆ เลยนะ เดินจากบ้านนางกำไปบ้านบางน้ำจืด มีภูเขาขวางกั้น เดินไปถึงก็ไม่ได้ทำอะไร แค่เห็นหน้าแวบเดียว เพราะต้องเดินกลับอีก ไม่งั้นมืด มันบอกไม่ถูกน่ะ และความหมายแบบนี้น่ะนะครับ มันบอกไม่ถูก แต่ที่เอามาเล่าให้ฟ้ง เพราะเราบอก แต่นี่เรื่องจริงนะ เรื่องจริง และคำว่าเรื่องจริงแบบนี้ นั่นคือความหมายว่า กว่าเราจะสร้างสาร หรือ สร้างสรรค์ ... (เสียงไม่ชัดเจน) อะไรบางอย่างขึ้นมาได้ มันมีความหมาย มันมีความต้องใช้พลังมาก ต้องมีความรู้สึก ทีนี้พอมันบอกว่าแค่สัปดาห์กว่า ผมบอก ก็ไม่มีปัญหาหรอก คบง่าย ก็เลิกง่ายอย่างนั้น ถ้าเป็นอย่างนั้น แต่ความหมายที่มันลึกซึ้ง ความหมายที่มันผ่านขั้นตอนแบบที่เราพูดถึงนี้นะ เวลาเราสร้างองค์กรที่มันมีความเข้มแข็งขึ้นมาได้ มันจึงมีตำนาน มีเรื่องราวไงครับ มันมีตำนานมีเรื่องราวของคุณธรรมที่ถูกบ่มเพาะขึ้นมา พวกนี้ก็เหมือนไวน์ต้องบ่มไปนานๆ จึงจะมีราคาแพง ประมาณนี้ ทีนี้ความหมายแบบนี้นะครับ มันต้องมีความบริสุทธิ์ คือคำว่าบริสุทธิ์ก็คือหมายความว่า เราจะทำสิ่งนี้ เราจะทำสิ่งนี้ เราจะทำสิ่งนี้ แม้ว่ามันจะไม่มีผล แต่เราเชื่อมั่น เราเชื่อมั่น ไอ้ตรงนี้แหละคือความเชื่อมั่น เพราะคำว่าเชื่อมั่นนี่มันหมายความถึงว่า แม้จะยาก แม้จะลำบาก แม้จะยาวนาน แต่เราก็จะไม่ย่นย่อ เราจะไม่ท้อถอย เราจะไม่ยอมจำนน และตรงนี้คือพลังของสิ่งที่เรากำลังพูดถึงความเชื่อมั่น และพลังความเชื่อมั่นนี้ เพราะฉะนั้นในทางพระพุทธศาสนา เวลาเราพูดถึงสิ่งที่มันเป็นพลังชีวิตนี่นะ ที่เราเรียกว่า พละนี่ ทันทีที่เรามีศรัทธา พละ มันจึงเกิดวิริยะพละ เป็นธรรมชาติเลยครับ เป็นธรรมชาติเลยนี่ ใครไปปฏิบัติธรรม ครูบาอาจารย์สอนอย่างนี้ทั้งนั้น เพราะอะไรครับ เพราะตัวศรัทธาคือความเชื่อมั่นนี่นะครับ มันจะทำให้เราเกิดความเพียรที่บริสุทธิ์ และความรู้สึกเป็นความเพียรบริสุทธิ์นี้ครับ จึงจะเกิดความตระหนักรู้ที่หยั่งลึกที่เรียกว่าสติได้อย่างนี้นะครับ เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้อาจจะบอกว่าเป็นภาษาทางธรรมะ แต่จริงๆ สิ่งเหล่านี้อยู่ในชีวิตประจำวันของพวกเรานะครับ ถ้าเราบอกว่าเรามีความเชื่อมั่น แต่ถ้าเชื่อมั่นไม่ก่อให้เกิดความเพียรอันบริสุทธิ์ ก็แสดงว่าไม่เชื่อมั่นจริง เป็นแค่ความคิดเฉยๆ ไอ้ความเชื่อมั่นที่ว่า มันเป็นความรู้สึกน่ะ เป็นความรู้สึก เป็นความรู้สึก ทีนี้ความเชื่อมั่นแบบที่ว่านี้มันละเอียดอ่อน มันมายังไง มันเกิดขึ้นยังไง มันละเอียดอ่อนมาก เพราะไอ้สิ่งที่เป็นความคิดนี่มันเกิดขึ้นง่ายครับ แค่เราได้ฟังคนพูดด้วยถ้อยคำที่คมๆ ดีๆ สักประโยคสองประโยค บางทีเกิดความคิดดีได้แล้ว แค่อ่านหนังสือดีๆ สักหน้า สองหน้า บางทีเกิดความคิด แต่ความคิดที่ดีๆ นั้นน่ะ มันยังไม่ได้มีความหมายที่สำคัญ เพราะความคิดที่ดีๆ นี้ มันไม่ได้มีพลังอะไรมากมายเลย มันต้องมีความรู้สึกที่ลึกจริงๆ มันถึงจะเกิดพลังความหมายขึ้นมาได้ ปัจจุบันเราเป็นบุคคลที่มีความคิด ที่มั่งคั่งร่ำรวย ความคิดเยอะนะ มีคนหนุ่มสาวจำนวนมากมีความคิดดีกว่าผมในสมัยที่ผมอายุเท่ากับเขาเลยนะ คิดละเอียด คิดดีมาก เพราะปัจจุบันเรามีข้อมูล มีข่าวสารที่เราสามารถเข้าถึงได้โดยง่ายและเป็นข้อมูลที่กระตุ้นเตือนให้เกิดความคิดที่ดีๆ ทั้งนั้นเลย เพราะฉะนั้นในปัจจุบันมีคนจำนวนมากนะครับที่มีความคิดที่ดี แต่เขาไม่มีความสามารถที่จะอดทนรอคอยเพื่อจะทำสิ่งที่ดีนั้นให้เกิดขึ้นจริงๆ ในชีวิตได้ เพราะฉะนั้นเวลาคนหนุ่มสาวที่มีความคิดดีๆ นี่ ผมจึงท้าทายเขา ให้ลงมือปฏิบัติ ให้ลงมือปฏิบัติ เพราะการลงมือปฏิบัติ เขาจะเผชิญกับสิ่งที่มันบีบคั้น ทำให้สิ่งที่ตัวเองคิดนี่นะครับ มันถูกท้าทาย ถูกทดสอบ
เพราะฉะนั้น สิ่งที่เรากำลังพูดถึงทั้งหมด ที่เรามานั่งตรงนี้ ถ้าพอเราเข้าใจประเด็นนี้ เราจะรู้สึกดีกับการที่ได้ถูกท้าทาย ทดสอบผ่านความยากลำบาก และความยากลำบากที่มันเกิดขึ้นนี้นะครับ มันจะทำให้เรานะครับ มีความสามารถที่จะอดทนและรอคอยเพิ่มขึ้นด้วย ไอ้ความเร็วที่เราเคยพูดถึงว่า มันลดทอนความสามารถของเราไป สุดท้ายเราก็จะ...นึกถึงภาพนะครับ เราว่าเร็วก็คือหมายความว่าถ้ามันช้าแล้วมัน... คือ ความเร็วถูกนิยามว่าเป็นความดี และความเร็วที่เป็นความดีนี่มันมีมูลค่าแพง ตอนที่มาเรายังนั่งคุยว่า ผมชอบนั่งรถไฟ จริงๆ ถ้ามีอะไรที่มันช้ากว่านี้ ผมก็จะนั่งเหมือนกันน่ะนะ ผมชอบนั่งรถไฟ เพราะรู้สึกว่ามันดีน่ะ มันมีคุณค่า
วันที่ผมเดินทางออกจากบ้านและผมสามารถเดินขึ้นยอดดอยอินทนนท์ได้ ผมเป็นลมหมดสติไปก่อนจะถึงยอดดอยอินทนนท์ แต่ตอนที่ผมขึ้นไปยืนอยู่บนยอดดอยอินทนนท์ ผมรู้เลยว่า โอ ผมขึ้นมาบนอินทนนท์กี่ครั้งมาแล้วด้วยการขับรถขึ้นมา การถึงยอดดอยอินทนนท์ที่การขับรถขึ้นมา มันไม่ได้มีความหมายเหมือนกับที่ผมต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการขึ้นไปเลย เพราะฉะนั้น ความรู้สึกแบบนี้นะครับ มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายยากมาก เพราะการขึ้นไปถึงนี่ มันมีความหมายที่ละเอียดอ่อน
ผมเพิ่งอ่านหนังสือของคุณนิ้วกลม หนังสือยังไม่วางแผง ผมจะโฆษณาให้เขาก็ได้นะ แต่เขียนดีมากเลย เขาบันทึกการเดินทางขึ้นไปสู่เอเวอร์เรส เบส แคมป์ (EBC) และขณะเดินทางมันต้องใช้ชีวิต แทบจะเอาชีวิตเป็นเดิมพัน เพื่อนบางคนไปต่อไปไม่ไหว ต้องจ้าง เสียค่าเฮลิคอปเตอร์เอากลับ เพราะเกิดภาวะที่มันขาดออกซิเจนและสมองมีปัญหานี่นะครับ เพราะเขาอดทนเดิน แต่วันที่เขาขึ้นไปถึง EBC ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ไม่มีอะไรเลย มีเต็นท์ที่คนไปกางไว้สำหรับนอนพักอยู่ และที่สำคัญ ที่เขารู้สึกได้ก็คือ มีคนซึ่งนั่งเฮลิคอปเตอร์ คือเราไม่ต้องเดินไปได้ มีบริการเฮลิคอปเตอร์ เสียคิดเป็นเงินไทยประมาณสัก 60,000 เงิน 60,000 ซึ่งไม่ได้มากสำหรับเศรษฐี ก็ขึ้นไปแอ๊กท่าถ่ายรูปใกล้ๆ กับคุณนิ้วกลมนี่ คุณนิ้วกลมที่แทบเอาชีวิตไม่รอด ก็ไปยืนอยู่ในจุดเดียวกับคนที่นั่งเฮลิคอปเตอร์ไป แต่ขณะนั้นคุณนิ้วกลมก็มีความรู้สึกอันหนึ่ง เป็นความรู้สึกที่มันบอกไม่ค่อยถูก เป็นความรู้สึกที่ทำให้ผมเข้าใจเลยว่า นี่คือความหมายของการมีชีวิตอยู่ ความหมายของการมีชีวิตอยู่ที่มันไม่ได้มีความหมายเฉพาะสิ่งที่มันเป็นปรากฎการณ์ ณ ขณะนั้น ตอนนั้น แต่มันมีความหมายว่าสิ่งที่ผ่านมาที่มันก่อให้เกิดสิ่งที่ปรากฎอยู่ต่อหน้านั่นมันคืออะไร
เรานึกถึงภาพปัจจุบันที่เราเห็นอยู่แล้วใช่ไหมครับ นึกถึงภาพว่าเงิน มันมีค่า เป็นสิ่งที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย สากลน่ะนะ เพราะเขาระบุไว้แล้วในธนบัตรแบงค์ร้อยก็มีมูลค่าชำระหนี้ได้ตามกฎหมายเหมือนกัน แต่คนที่เกิดมาแล้วมีเงินเยอะแยะมากมายเขาเห็นค่าเงิน ค่าของเงินมันคืออะไร มันพูดยากเหมือนกันนะ มันชำระหนี้ได้ตามกฎหมายเหมือนกันก็จริงน่ะ แต่ความรู้สึกอะไรบางอย่างที่มันก่อนหน้าจะมาถึงตรงนั้น ไอ้ความหมายแบบนี้ที่เรากำลังพูดถึงสิ่งที่มันเป็นความหมายที่ไม่ไช่เป็นเพียงแค่จุดอยู่ที่เป้าหมายเท่านั้น แต่รายทาง ระหว่างทางที่กว่าจะไปถึงจุดนั้น ไอ้ตรงนี้คือรายละเอียดที่สำคัญในชีวิต ไอ้ตรงนี้แหละครับคือความหมายที่แท้จริงของการมีชีวิตอยู่ ความสำเร็จ ความสำเร็จ ไม่ได้อยู่ในอะไรที่มันเป็น แต่มันอยู่ที่... เพราะฉะนั้นเวลาที่ผมขึ้นไปยึนอยู่บนยอดดอยอินทนนท์ ผมรู้เลยว่าการเรียนรู้ครั้งสำคัญที่มันปรากฏขึ้นในใจผมนี้มันคืออะไร เพราะฉะนั้น ตอนที่ผมเดินทางกลับไปถึงบ้านผมที่เกาะสมุย ผมบอกอธิบายเป็นถ้อยคำไม่ได้เลย ว่าทำไมขณะที่ผมทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าลงจุดที่ผมจะเอาดินไปคืนที่เดิม ผมจึงเนื้อตัวสั่นด้วยความที่รู้สึก เพราะจริงๆ แล้วการไปอยู่ตรงนั้นก่อนหน้านี้ ผมก็กลับบ้านเสมอ แต่การกลับบ้านครั้งหนึ่งที่ผมใช้ชีวิต ใช้เงื่อนไขอะไรบางอย่างกำหนดหมายขึ้นนี่นะครับ นึกถึงสิ ภาพขณะที่ผมกลับบ้านครั้งนั้น ผมไม่รู้ว่าผมจะจบชีวิตระหว่างทางตรงไหน แต่ผมก็มีความรู้สึกว่าผมจะพอใจที่จะจบชีวิตระหว่างทางตรงนั้น แต่วันหนึ่งผมไม่จบชีวิต ผมสามารถกลับไปถึงบ้านผมที่เกาะสมุย ความรู้สึกตอนที่มันไปนั่งอยู่ตรงจุดที่มันเป็นจุดที่ผมกำหนดหมายว่าจะเอาดินไปคืน มันจึงกลายมาเป็นภาวะที่ผมรู้เลยว่านี่คือความหมายที่ผมเรียนรู้ ไม่ใช่ผ่านการคิด แต่ผ่านความหมายที่มันเกิดปรากฏขึ้นในใจผมทุกช่วงขณะ ทีนี้ความรู้สึกแบบนี้มันจึงเป็นความหมายที่ผมบอกว่า หกเดือนผมยังไม่รู้เลยว่าสาวเจ้าชื่ออะไร และผมก็ไม่รู้จะบอกว่าผิดหวัง อกหัก ได้อย่างไร เพราะวันหนึ่งสาวเจ้าก็ไม่อยู่ที่นั้นเสียแล้ว ผมเดินไปอีกสองวัน สามวัน จึงกล้าที่จะถามเจ้าของร้านที่ผมไปซื้อเพราะเด็กผู้หญิงคนนี้เขามาเป็นพนักงานขายของอยู่ในร้าน ผมถามว่าคนนั้นน่ะที่ขายของอยู่ทุกวัน เขาไปไหนเสียแล้ว เจ้าของบอกว่าเขาไปทำงานที่อื่นแล้ว ผมไม่มีกำลังเดินอีกเลยละ ภูเขาสูงเกินไป แต่ความกล้าในหกเดือนที่ผ่านไปนั้น ผมยังไม่ลืมเลยจนถึงปัจจุบันนี้
ปัจจุบันนี้ผมไม่รู้ว่าหญิงคนนั้นชื่ออะไร แต่ความตราตรึงที่อยู่ในใจผมทำให้ผมเรียนรู้ว่า พลังของความรู้สึกที่มีอยู่ในใจ มันทำให้ผมสามารถปีนภูเขา ข้ามภูเขาไปหาเธอ ไม่ยอมนอนในยามบ่าย เป็นพลังที่มาจากไหนผมไม่รู้เลยตอนนั้น แต่ปัจจุบันนี้ผมรู้ และพลังแบบนี้นะครับเป็นพลังที่มันเกิดขึ้นในใจของเรา พลังที่เกิดขึ้นในเนื้อในตัวของเรา พลังเหล่านี้เป็นสิ่งที่พวกเราจะต้องมีกระบวนการเพิ่มพูนสรรสร้างขึ้น