แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ผู้ถาม : เล่าประวัติอาจารย์ก่อนดีไหมคะ ว่าอาจารย์เริ่มต้นเข้าสู่เส้นทางของการศึกษาพุทธศาสนา อย่างที่พวกเรา คือ ณ ปัจจุบัน เรารู้สึกว่าอาจารย์นี้ศึกษาพุทธศาสนาอย่างเข้มข้นนะคะ แต่ให้อาจารย์เล่าให้ฟังก่อนจุดเริ่มต้นเดิมทีที่อาจารย์ได้สัมผัสกับพุทธศาสนา มีจุดเริ่มต้นในช่วงวัยไหนของอาจารย์คะ
อาจารย์ :
ครับ ผมพูดเป็นทางการเลยนะครับ เกิดเมื่อปี พ.ศ.2497 นะครับ อยู่ชั้น ชีวิตเริ่มต้นที่อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งในสมัยที่ผมลืมตาดูโลกใบนี้ เกาะสมุยยังเป็นดินแดนห่างไกลความเจริญรุ่งเรืองมากนะครับ รถบนเกาะสมุยยังไม่มีวิ่งนะครับ เพราะฉะนั้นบนเกาะสมุยที่ปัจจุบันใครไปแล้วบอกว่ามีถนนหนทาง สมัยผมนั้นยังไม่มีรถครับ รถคันแรกขึ้นวิ่งบนเกาะผมก็วิ่งตามดูจนละสายตา แต่ที่วิ่งนี่ไม่ต้องเหนื่อยนะครับเพราะถนนไม่ดี รถวิ่งช้ากว่าคนเดินซะอีก
แล้วก็ใช้ชีวิตอยู่ที่บนเกาะสมุยจนถึงอายุ 11 ปี จบการศึกษาชั้นประถมปีที่ 4 ก็ได้ออกจากเกาะสมุยมาประกอบอาชีพเป็นกรรมกรขายแรงงานราคาถูกๆ นะครับ ซึ่งตอนนั้นเราเป็นเด็กเกินไป ค้าแรงงานก็ได้แค่วันละ 5 บาท พอค่าแรงเขาเพิ่มขึ้นให้เรื่อยครับ จนกระทั่ง 5 บาท 10 บาท เป็น 15 บาท จนกระทั่งว่าเมื่อผมอายุได้ 17 สมบูรณ์ย่าง 18 ปี ก็ประสบชะตากรรมสิ่งที่เรียกกันว่าตอนนั้นไปเป็นกรรมกรรับจ้างขายแรงงานอยู่ในเขตอำเภอบ้านนาสาร บ้านนา บ้านส้อง
แล้วในสมัยนั้นจังหวัดสุราษฎร์มีชื่อเสียงในฐานะเป็นดินแดนพื้นที่สีแดง สีแดงในตอนนั้นก็คือมีผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์เยอะนะครับ คุณครูโกมล คีมทองนะครับ ไปถูกสังหารที่อำเภอบ้านส้อง เขตบริเวณที่ผมทำงานอยู่ แล้วก็มีการปราบปราม ผมก็เป็นเหยื่อหรือเปล่าไม่ทราบนะครับในการถูกปราบปรามไปด้วยก็เลย เพื่อนผมมีเสียชีวิตไปก็ตกอกตกใจ ตื่นตระหนกตกใจก็เดินทางกลับบ้านที่เกาะสมุย
ไม่รู้จะทำอะไรก็โชคดีว่าก่อนที่จะเดินทางกลับไปนั้น หนังสือเล่มสุดท้ายก่อนหน้าที่เจอเหตุการณ์นี้ไปอ่านหนังสือชื่อ ลีลาวดี เขียนโดยธรรมโฆษ เป็นหนังสือนิยายแนวอิงธรรมะและผมเวลาอ่านหนังสือเล่มใดแล้วก็อยากเป็นพระเอกในหนังสือเล่มนั้น แล้วบังเอิญว่าหนังสือเล่มนั้น พระเอกชื่อเรวัตตะไปบวชเป็นพระภิกษุ ผมก็เลยคิดว่าผมควรจะเป็นอย่างเรวัตตะก็เลยกลับบ้านที่เกาะสมุย แล้วก็บอกทางครอบครัวว่าอยากบวชเป็นพระภิกษุ ครอบครัวก็เห็นว่าขัดขวางก็คงไม่ถูกเพราะจะบาป คนอยากจะบวชก็เลยอนุญาตให้บวช แต่เมื่อจะไปบวชจึงรู้ว่าตัวเองไม่สามารถบวชเป็นพระภิกษุตามที่ใจปรารถนาได้เพราะอายุเพียงแค่ 17 กว่า ก็เลยมีความประสงค์แจ้งกับครอบครัวว่าถ้าอนุญาตให้ผมบวช ผมก็ยินดีที่จะบวชเป็นสามเณรจนอายุครบ 20 ปีแล้วจะได้บวชเป็นพระภิกษุ
ช่วงที่บวชเป็นสามเณรนะครับก็เลยได้มีโอกาสมาพบกับท่านอาจารย์พุทธทาส ซึ่งเรื่องราวนี้ผมเล่าไว้ในหนังสือร้อยคนร้อยธรรมแล้วนะครับ ว่าผมได้พบอาจารย์พุทธทาสนะครับครั้งแรกด้วยความรู้สึกตื่นที่ตัวเราเองเป็นคนที่ไม่มีการศึกษา คำแรกที่ท่านอาจารย์พุทธทาสถามว่ามาทำอะไร ถามเป็นภาษาภาคใต้นะครับ จะบอกว่ามาเที่ยวก็ดูขัดๆ เขินๆ เพราะสถานที่สวนโมกขพลารามนี่ไม่ใช่ที่เที่ยว ก็เลยตอบไปตามสูตรว่าจะมาปฏิบัติธรรมครับ ท่านก็หันมามองหน้าผมแล้วก็ถามว่าบวชมากี่ปีแล้ว ผมบอกว่าปีหนึ่งกว่าแล้วครับ เรียนหนังสือไหม เรียนนักธรรมไหม ผมบอกเรียนครับ กลับไปสอบหนังสือกลับไปสอบนักธรรมให้ได้นั่นแหละปฏิบัติธรรม ผมก็งงๆ อยู่ว่าเราจะมาปฏิบัติธรรมแล้วท่านให้เรากลับไปสอบให้ได้
แต่ต่อมาก็เข้าใจนะครับว่าพบกับท่านอาจารย์พุทธทาสเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ครั้งแรกในครั้งนั้น ก็ทำให้เรามีความรู้สึกอะไรบางสิ่งบางอย่าง แล้วก็ได้ศึกษางานของท่านเป็นจำนวนมากในเวลาต่อมา เส้นทางแห่งศึกษาพระพุทธศาสนาของผมก็จึงเริ่มต้นขึ้นเมื่อ ถ้าโดยอายุคือ 17 ปีนะครับ และก็ได้ศึกษาพระพุทธศาสนา และความรู้สึกที่ดีกับคำสอนของท่านอาจารย์พุทธทาสที่ท่านใช้คำว่า กลับไปสอบให้ได้นั่นแหละคือการปฏิบัติธรรม และผมก็ทำตามที่ท่านแนะนำจนกระทั่งสอบเป็นเปรียญธรรมได้นะครับ และก็มีความรู้เชิงปริยัติพอสมควร
และสุดท้ายก็ได้มีโอกาสเดินทางเข้ามาศึกษาที่กรุงเทพ และผมก็มีชะตากรรมที่ต้องผูกพันกับเรื่องความรุนแรงอยู่เรื่อยๆ นะครับ ในปี 2519 คือวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ก็เกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้นที่กรุงเทพอีกครั้งหนึ่ง ผมก็ ความรู้สึกสะดุ้งกลัวในใจมีอยู่ก่อนแล้ว มันฝังอยู่ในใจแล้วนะครับ ก็เกิดความรู้สึกสะดุ้งกลัวตกใจอีก แต่ว่าในการสะดุ้งกลัวตกใจในครั้งนั้นนะครับด้วยคำชี้แนะของพระอาจารย์ที่มีพระคุณ ท่านแนะนำให้ผมเดินทางต่อไปศึกษาที่อินเดียและผมก็เลยได้ใช้ชีวิตเพื่อศึกษาพระพุทธศาสนาและศึกษาหลักธรรมในศาสนาอื่นๆ ด้วยนะครับที่อินเดียแล้วผมก็ได้รับการศึกษาแบบอินเดียเป็นระยะเวลานานนะครับ ไปอยู่ที่นั่นจนกระทั่งสามารถเรียนจบชั้นปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอกนะครับ ต่อมาก็ลาสิกขานะครับ
แล้วก็เมื่อกลับมาสู่เมืองไทย ก็สุดท้ายทุลักทุเลสุดท้ายก็ไปเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เล่าตรงนี้นิดนึงนะครับเพื่อเป็นข้อมูลที่ว่ามันมีความบังเอิญคล้ายๆ เหมือนกับเป็นเรื่องราว ก็คือตั้งแต่อ่านหนังสือลีลาวดีของธรรมโฆษแล้วก็ยังไม่ได้พบตัวจริงของผู้เขียน เลยอยากจะขอบพระคุณสักครั้งหนึ่งว่าในชีวิตนี้ที่ได้บวชนั้นเป็นเพราะบุคคลผู้นี้เขียนหนังสือไว้เล่มหนึ่งแล้วเราได้มีโอกาสไปอ่าน เมื่ออ่านแล้วก็เกิดความรู้สึกที่ดีๆ ที่อยากจะบวชและความรู้สึกที่อยากจะบวชนั้นก็เป็นคุณต่อชีวิตเสียเหลือเกิน ก็เลยจึงได้มีโอกาสได้ไปกราบคารวะผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ ซึ่งตอนนั้นท่านเป็นศาสตราจารย์ประจำอยู่ที่ภาควิชาปรัชญา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อไปกราบท่านแล้วก็เลยได้มีความรู้สึกว่าเป็นโอกาสดี นอกจากท่านจะชวนให้ผมบวชแล้ว ท่านยังชวนให้เป็นอาจารย์ประจำอยู่ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่อีก เพราะท่านจะเกษียณอายุราชการ ผมก็เลยมีความรู้สึกภาคภูมิใจว่าบุคคลผู้นี้ได้ชักชวนเราให้บวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ถ้าเราจะมาทำงานแทนต่อจากท่านก็น่าจะเป็นเกียรติกับตัวเอง ก็เลยได้รับเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
จนกระทั่งว่าเมื่อทำงานเป็นครูที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มานานและวันหนึ่งก็คิดว่าพอแล้วล่ะ ตัวเองยังมีภารกิจที่ต้องปฏิบัติต้องเรียนรู้ ก็เลยได้ลาออกจากตำแหน่งครูที่นั่น แล้วก็เริ่มเดินทางจนกระทั่งมาเป็นหนังสือเดินสู่อิสรภาพเนี่ยละครับ