แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ถ้าจะมีข้อมูลและก็ยืนยัน แต่ผมก็ไม่สามารถยืนยันได้ แต่ผมมีความรู้สึกแล้วว่าช่วงที่ผมมีโอกาสพบปะสนทนากับคนจำนวนมากขึ้น มีข้อมูลที่น่าตกใจน่ะครับ ว่าข้อมูลของบุคคลผู้เพิ่งมีชีวิตคู่ ผ่านการสมรสแต่งงาน มีคู่ชีวิตแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าถ้าคนเขามีความสุข เขาก็ไม่มาคุยกับผมหรือเปล่านะครับ แต่จำได้เพียงแค่ว่าถ้าลองประเมินคร่าว ๆ ว่าที่ผมมีโอกาสพบปะผู้คน พูดคุยเรื่องชีวิตส่วนตัว ในมิติด้านในและสอบถามถึงความหมายด้านในกัน คนประมาณ 70 - 80 % ที่แต่งงานมีชีวิตคู่แล้ว ชีวิตคู่กลับมีความจืดชืด ขมขื่น ไม่ ขอโทษนะครับ เวลามีคนมาคุยกับผม เนื่องจากว่าผมชอบพูดที่จะให้เห็นว่าผมมีความสุขกับชีวิตคู่เหลือเกิน คำว่ามีความสุขเหลือเกิน ก็คือหมายความว่าในชีวิตคู่ของผมเนี่ยนะครับยิ่งผ่านนานวันเข้ามาผมก็มีความสุขกับการมีชีวิตคู่
ตัวเองโชคดีที่ได้มีชีวิตคู่ ได้เรียนรู้ความหมายของชีวิตจากคู่ของชีวิต ได้เรียนรู้ความเป็นหญิง ได้เรียนรู้ความเป็นชาย ได้เรียนรู้การมีชีวิต และต้องมีความอดทน และความรู้สึกที่เกิดขึ้น ก็คือ การมีความสุขที่ได้เรียนรู้สิ่งเหล่านั้น
พอผมคุยอย่างนี้ไปมันก็ทำให้คนเกิดความรู้สึกที่ว่า ชีวิตคู่ของเขามันไม่เป็นอย่างนั้นเลย แล้วเขาก็เล่าความรู้สึกของเขาให้ฟัง จึงเป็นที่มาทำให้รู้ว่า เวลาเราคุยเรื่องชีวิตคู่ ผมก็ไม่ได้เจตนาว่าจะมีอวดอ้างอะไรนะครับ เช่นผมเล่าให้เขาฟังว่า ผมก็ไม่รู้นะว่า ความรักของผมนั้น สมัยก่อนกับสมัยปัจจุบันนี้ เมื่อก่อนตอนที่ผมยังเป็นอาจารย์อยู่ในมหาวิทยาลัยนั้น ผมก็รักภรรยาของผมมาก รักมากถึงขนาดที่เรียกว่า ภรรยาจะให้ทำอะไร ทำหมดนะครับ แต่ก็เถียงอยู่ในใจด้วยนะครับว่า “ทำไมต้องทำ” ประมาณนี้นะครับ แล้วผมก็เล่าให้เขาฟังว่า “ผมเนี่ย เนื่องจากตอนที่แต่งงานตั้งใจเลยนะครับ กำหนดจิตอธิษฐานว่าจะรับใช้ผู้หญิงคนนี้ทั้งชีวิต” พอแต่งงานแล้วพอเธอใช้ให้ทำอะไรก็จะต้องทำ เพราะตั้งจิตอธิษฐานไว้แล้ว
แล้วผมก็เล่าให้เขาฟังว่า “ผมรู้สึกสะเทือนใจมาก สะเทือนใจมาก ก็คือตอนที่ผมเดินทางจากเชียงใหม่ไปถึงสมุยเสร็จแล้ว ผมกลับไปอยู่เชียงใหม่กับภรรยาช่วงก่อนไปอินเดีย แล้ววันหนึ่งภรรยาชวนผมไปทานอาหารที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ผมก็ดีใจมากที่เธอแสดงความประสงค์จะทานอาหาร ก็ขับรถพาเธอไป ผมจำได้วันที่พาเธอไปนั้น ร้านอาหารนี้เป็นร้านบุฟเฟ่ย์ เพราะฉะนั้นเมื่อเราไปถึงแล้ว พอมีโต๊ะว่าง ผมก็ไปนั่งจองโต๊ะไว้แล้วบอกภรรยาว่าให้ไปตักอาหารมา ผมจะนั่งตรงนี้เพื่อเฝ้าโต๊ะ ไม่งั้นเดี๋ยวคนอื่นจะมายึดโต๊ะไป ขณะที่ภรรยาไปตักอาหารมาวางจนพอสมควรแล้ว เธอจึงบอกผมว่า “ถ้าอยากจะทานอะไรเพิ่มก็ไปตักมาได้ ” ผมก็ลุกขึ้นไปตักอาหาร ผมไปเลือกอาหารอยู่สักครู่หนึ่ง กลับมาที่โต๊ะอาหาร ภรรยาผมกำลังนั่งกินอาหารอย่างอร่อย เธอคงหิวเพราะวันนั้นทำงานจนเย็นมืดทุ่มนึงแล้วถึงได้กินอาหาร
ผมยืนมองภรรยาผมนั่งกินอาหารอย่างมีความสุข ผมหย่อนตัวนั่งลงตื้นตันในใจบอกไม่ถูก อธิบายความรู้สึกนี้ยาก แต่ถ้าจะอธิบายในเชิงโครงสร้างก็คือ เกิดความรู้สึกสะเทือนใจ เมื่อก่อนตอนที่ภรรยาชวนผมมาที่ร้านอาหารนี้ เธอชอบอาหารร้านนี้มาก เพราะฉะนั้นผมก็ถูกสั่งให้ขับรถพาเธอมาสถานที่นี้อยู่หลายครั้ง ทุกครั้งที่ไปทานอาหารร้านนี้ ผมจะรู้สึกอึดอัดในใจว่า “ทำไมผู้หญิงจึงเรื่องมากจัง ทำไมไม่กินอะไรในหนทางที่เราจะกลับบ้าน ทำไมต้องขับรถอ้อมเมือง ไปกินอาหารที่มันไกล เสียเวลา เสียค่าใช้จ่าย ชีวิต...ทำไมไม่ทำให้มันง่าย ทำไมต้องทำให้มันยาก” แต่ตอนนั้นไม่ได้พูดอะไร เพราะไปกำหนดหมายไว้แล้วว่า “ชีวิตนี้จะรับใช้ภรรยาทั้งชีวิต เธอจะสั่งให้ทำอะไรก็ทำ” แต่วันที่นั่งลง หลังผ่านการเดินทางผ่านการเรียนรู้อะไรภายในแล้ว ผมก็นั่งลงอย่างมีความรู้สึกได้ว่าเป็นความหมายที่ยิ่งใหญ่ ทำไมผมจึงไม่รู้สึกได้อย่างนี้ก่อนหน้านี้
มันเป็นสิ่งที่ประเสริฐมหัศจรรย์เหลือเกินที่ผมยังมีชีวิตอยู่ สามารถพาผู้หญิงอันเป็นที่รัก คือ ภรรยา ไปกินอาหารที่เธอชอบและทันทีที่เห็นเธอกินอาหารที่เธอชอบอย่างมีความสุขผม ก็มีความสุขเป็นล้นพ้น
ทำไมจิตใจของผมก่อนหน้านี้ มันจึงหยาบแข็งเหลือเกิน ทำไมความรักของผมที่ผมอยู่กับภรรยามาร่วม 20 ปีก่อนหน้านั้นที่ผมเคยนึกอวดอ้าง นำไปเล่ากับลูกศิษย์ลูกหาเสมอว่า “ชีวิตรักของผมมีความสำคัญ พวกคุณควรจะดูเป็นแบบอย่าง” ประมาณนี้ แต่จริงๆ แล้วขณะที่ผมคิดว่า ผมมีความรักที่เลอเลิศ กับภรรยานั้น แต่จริง ๆ แล้วผมก็ยังหยาบ ยังใช้หลักการ ยังใช้เหตุผล ยังใช้ความรู้สึกของตัวเองซึ่งยึดมั่นอยู่กับหลักการและเหตุผล มาเป็นตัวกำหนดความหมาย น่าละอาย น่าละอายเหลือเกิน แต่วันที่นั่งลงด้วยความรู้สึกมีความสุข มีความสุขที่เราได้มีโอกาสทำในสิ่งที่ผู้หญิงคนหนึ่งที่เรารัก มีความสุข นี่คือความหมายที่ไม่มีเหตุผลอะไรมารองรับและไม่ต้องการคำอธิบายอะไรในเชิงเหตุผล
ความรู้สึกแบบนี้เนี่ยครับ เป็นความรู้สึกที่ผมนำมาเล่า เพื่อจะบอกว่ามิติของการเรียนรู้ด้านใน มันจะกลายมาเป็นความหมายของความรู้สึกที่ทำให้เรามีความละเอียดอ่อน นุ่มนวล อ่อนโยน และความละเอียดอ่อน นุ่มนวลอ่อนโยนนั้นจะทำให้เราสามารถสัมผัสเห็น ความเป็นไปของสิ่งต่างๆ ผมเข้าใจว่าในความรู้สึกแบบที่ว่านี้นะครับ พวกเราทุกคนในที่นี้นะครับ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที สามารถกลับเข้ามาสู่ตัวเอง และเราจะได้ ตระหนักรู้ได้ถึงความหมายที่สำคัญของการมีชีวิตอยู่ และการมีชีวิตอยู่นั้นนะครับเป็นความหมายที่ยิ่งใหญ่มากที่ เราได้มีชีวิต มีคุณ มีค่าต่อผู้อื่น สุดท้ายผมเข้าใจว่านี่คือ ประเด็นที่ผมอยากจะกล่าวเป็นทำนองเชิงเรียกว่า จะไม่ถึงสรุปนะครับ เพราะผมไม่มีข้อสรุป แต่อยากบอกว่า
“การเรียนรู้จากด้านในก็ให้ความรู้อีกแบบหนึ่ง และความรู้จากด้านในเนี่ยนะครับ ก็มีความจำเป็นไม่ใช่น้อยสำหรับพวกเราทุกคน”