PAGODA

  • Create an account
  • Forgot your username?
  • Forgot your password?
or

Connection

Your e-mail is required to ensure the proper functioning of the Website and its services and we make a commitment not to reveal it to third parties

  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

เข้าสู่ระบบ / สมัครสมาชิก

เข้าสู่ระบบ

  • สมัครสมาชิก
  • ลืมชื่อผู้ใช้?
  • ลืมรหัสผ่าน?

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • อาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์
  • ชีวิตคู่
ชีวิตคู่ รูปภาพ 1
  • Title
    ชีวิตคู่
  • เสียง
  • 9598 ชีวิตคู่ /aj-pramuan/2021-07-30-04-26-28.html
    Click to subscribe
    • Share
    • Tweet
    • Email
    • Share
    • Share

ผู้ให้ธรรม
อาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์
วันที่นำเข้าข้อมูล
วันศุกร์, 30 กรกฎาคม 2564
ชุด
การศึกษาจากด้านใน
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • ถ้าจะมีข้อมูลและก็ยืนยัน แต่ผมก็ไม่สามารถยืนยันได้ แต่ผมมีความรู้สึกแล้วว่าช่วงที่ผมมีโอกาสพบปะสนทนากับคนจำนวนมากขึ้น มีข้อมูลที่น่าตกใจน่ะครับ ว่าข้อมูลของบุคคลผู้เพิ่งมีชีวิตคู่ ผ่านการสมรสแต่งงาน มีคู่ชีวิตแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าถ้าคนเขามีความสุข เขาก็ไม่มาคุยกับผมหรือเปล่านะครับ แต่จำได้เพียงแค่ว่าถ้าลองประเมินคร่าว ๆ ว่าที่ผมมีโอกาสพบปะผู้คน พูดคุยเรื่องชีวิตส่วนตัว ในมิติด้านในและสอบถามถึงความหมายด้านในกัน คนประมาณ 70 - 80 %  ที่แต่งงานมีชีวิตคู่แล้ว ชีวิตคู่กลับมีความจืดชืด ขมขื่น ไม่ ขอโทษนะครับ เวลามีคนมาคุยกับผม เนื่องจากว่าผมชอบพูดที่จะให้เห็นว่าผมมีความสุขกับชีวิตคู่เหลือเกิน คำว่ามีความสุขเหลือเกิน ก็คือหมายความว่าในชีวิตคู่ของผมเนี่ยนะครับยิ่งผ่านนานวันเข้ามาผมก็มีความสุขกับการมีชีวิตคู่

    ตัวเองโชคดีที่ได้มีชีวิตคู่ ได้เรียนรู้ความหมายของชีวิตจากคู่ของชีวิต ได้เรียนรู้ความเป็นหญิง ได้เรียนรู้ความเป็นชาย ได้เรียนรู้การมีชีวิต และต้องมีความอดทน  และความรู้สึกที่เกิดขึ้น ก็คือ การมีความสุขที่ได้เรียนรู้สิ่งเหล่านั้น 

    พอผมคุยอย่างนี้ไปมันก็ทำให้คนเกิดความรู้สึกที่ว่า ชีวิตคู่ของเขามันไม่เป็นอย่างนั้นเลย แล้วเขาก็เล่าความรู้สึกของเขาให้ฟัง จึงเป็นที่มาทำให้รู้ว่า เวลาเราคุยเรื่องชีวิตคู่ ผมก็ไม่ได้เจตนาว่าจะมีอวดอ้างอะไรนะครับ  เช่นผมเล่าให้เขาฟังว่า ผมก็ไม่รู้นะว่า ความรักของผมนั้น สมัยก่อนกับสมัยปัจจุบันนี้ เมื่อก่อนตอนที่ผมยังเป็นอาจารย์อยู่ในมหาวิทยาลัยนั้น ผมก็รักภรรยาของผมมาก  รักมากถึงขนาดที่เรียกว่า ภรรยาจะให้ทำอะไร ทำหมดนะครับ แต่ก็เถียงอยู่ในใจด้วยนะครับว่า “ทำไมต้องทำ” ประมาณนี้นะครับ แล้วผมก็เล่าให้เขาฟังว่า “ผมเนี่ย เนื่องจากตอนที่แต่งงานตั้งใจเลยนะครับ กำหนดจิตอธิษฐานว่าจะรับใช้ผู้หญิงคนนี้ทั้งชีวิต” พอแต่งงานแล้วพอเธอใช้ให้ทำอะไรก็จะต้องทำ เพราะตั้งจิตอธิษฐานไว้แล้ว 

    แล้วผมก็เล่าให้เขาฟังว่า “ผมรู้สึกสะเทือนใจมาก สะเทือนใจมาก ก็คือตอนที่ผมเดินทางจากเชียงใหม่ไปถึงสมุยเสร็จแล้ว ผมกลับไปอยู่เชียงใหม่กับภรรยาช่วงก่อนไปอินเดีย แล้ววันหนึ่งภรรยาชวนผมไปทานอาหารที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ผมก็ดีใจมากที่เธอแสดงความประสงค์จะทานอาหาร ก็ขับรถพาเธอไป ผมจำได้วันที่พาเธอไปนั้น ร้านอาหารนี้เป็นร้านบุฟเฟ่ย์ เพราะฉะนั้นเมื่อเราไปถึงแล้ว พอมีโต๊ะว่าง ผมก็ไปนั่งจองโต๊ะไว้แล้วบอกภรรยาว่าให้ไปตักอาหารมา  ผมจะนั่งตรงนี้เพื่อเฝ้าโต๊ะ ไม่งั้นเดี๋ยวคนอื่นจะมายึดโต๊ะไป ขณะที่ภรรยาไปตักอาหารมาวางจนพอสมควรแล้ว เธอจึงบอกผมว่า “ถ้าอยากจะทานอะไรเพิ่มก็ไปตักมาได้ ”  ผมก็ลุกขึ้นไปตักอาหาร  ผมไปเลือกอาหารอยู่สักครู่หนึ่ง กลับมาที่โต๊ะอาหาร ภรรยาผมกำลังนั่งกินอาหารอย่างอร่อย  เธอคงหิวเพราะวันนั้นทำงานจนเย็นมืดทุ่มนึงแล้วถึงได้กินอาหาร

    ผมยืนมองภรรยาผมนั่งกินอาหารอย่างมีความสุข ผมหย่อนตัวนั่งลงตื้นตันในใจบอกไม่ถูก อธิบายความรู้สึกนี้ยาก แต่ถ้าจะอธิบายในเชิงโครงสร้างก็คือ เกิดความรู้สึกสะเทือนใจ เมื่อก่อนตอนที่ภรรยาชวนผมมาที่ร้านอาหารนี้ เธอชอบอาหารร้านนี้มาก เพราะฉะนั้นผมก็ถูกสั่งให้ขับรถพาเธอมาสถานที่นี้อยู่หลายครั้ง ทุกครั้งที่ไปทานอาหารร้านนี้ ผมจะรู้สึกอึดอัดในใจว่า “ทำไมผู้หญิงจึงเรื่องมากจัง ทำไมไม่กินอะไรในหนทางที่เราจะกลับบ้าน ทำไมต้องขับรถอ้อมเมือง  ไปกินอาหารที่มันไกล เสียเวลา เสียค่าใช้จ่าย ชีวิต...ทำไมไม่ทำให้มันง่าย ทำไมต้องทำให้มันยาก” แต่ตอนนั้นไม่ได้พูดอะไร เพราะไปกำหนดหมายไว้แล้วว่า “ชีวิตนี้จะรับใช้ภรรยาทั้งชีวิต เธอจะสั่งให้ทำอะไรก็ทำ”  แต่วันที่นั่งลง หลังผ่านการเดินทางผ่านการเรียนรู้อะไรภายในแล้ว ผมก็นั่งลงอย่างมีความรู้สึกได้ว่าเป็นความหมายที่ยิ่งใหญ่  ทำไมผมจึงไม่รู้สึกได้อย่างนี้ก่อนหน้านี้ 

    มันเป็นสิ่งที่ประเสริฐมหัศจรรย์เหลือเกินที่ผมยังมีชีวิตอยู่ สามารถพาผู้หญิงอันเป็นที่รัก คือ ภรรยา ไปกินอาหารที่เธอชอบและทันทีที่เห็นเธอกินอาหารที่เธอชอบอย่างมีความสุขผม ก็มีความสุขเป็นล้นพ้น 

    ทำไมจิตใจของผมก่อนหน้านี้ มันจึงหยาบแข็งเหลือเกิน ทำไมความรักของผมที่ผมอยู่กับภรรยามาร่วม 20 ปีก่อนหน้านั้นที่ผมเคยนึกอวดอ้าง นำไปเล่ากับลูกศิษย์ลูกหาเสมอว่า “ชีวิตรักของผมมีความสำคัญ พวกคุณควรจะดูเป็นแบบอย่าง” ประมาณนี้  แต่จริงๆ แล้วขณะที่ผมคิดว่า ผมมีความรักที่เลอเลิศ กับภรรยานั้น แต่จริง ๆ แล้วผมก็ยังหยาบ ยังใช้หลักการ ยังใช้เหตุผล ยังใช้ความรู้สึกของตัวเองซึ่งยึดมั่นอยู่กับหลักการและเหตุผล มาเป็นตัวกำหนดความหมาย น่าละอาย น่าละอายเหลือเกิน  แต่วันที่นั่งลงด้วยความรู้สึกมีความสุข มีความสุขที่เราได้มีโอกาสทำในสิ่งที่ผู้หญิงคนหนึ่งที่เรารัก มีความสุข นี่คือความหมายที่ไม่มีเหตุผลอะไรมารองรับและไม่ต้องการคำอธิบายอะไรในเชิงเหตุผล

    ความรู้สึกแบบนี้เนี่ยครับ เป็นความรู้สึกที่ผมนำมาเล่า เพื่อจะบอกว่ามิติของการเรียนรู้ด้านใน มันจะกลายมาเป็นความหมายของความรู้สึกที่ทำให้เรามีความละเอียดอ่อน นุ่มนวล อ่อนโยน  และความละเอียดอ่อน นุ่มนวลอ่อนโยนนั้นจะทำให้เราสามารถสัมผัสเห็น ความเป็นไปของสิ่งต่างๆ ผมเข้าใจว่าในความรู้สึกแบบที่ว่านี้นะครับ พวกเราทุกคนในที่นี้นะครับ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที สามารถกลับเข้ามาสู่ตัวเอง และเราจะได้ ตระหนักรู้ได้ถึงความหมายที่สำคัญของการมีชีวิตอยู่ และการมีชีวิตอยู่นั้นนะครับเป็นความหมายที่ยิ่งใหญ่มากที่ เราได้มีชีวิต  มีคุณ  มีค่าต่อผู้อื่น สุดท้ายผมเข้าใจว่านี่คือ ประเด็นที่ผมอยากจะกล่าวเป็นทำนองเชิงเรียกว่า จะไม่ถึงสรุปนะครับ  เพราะผมไม่มีข้อสรุป  แต่อยากบอกว่า

    “การเรียนรู้จากด้านในก็ให้ความรู้อีกแบบหนึ่ง และความรู้จากด้านในเนี่ยนะครับ  ก็มีความจำเป็นไม่ใช่น้อยสำหรับพวกเราทุกคน”

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service