แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มรณธรรมคือคำที่ผมขยายไปเมื่อตอนเช้าว่าหมายถึง ... (เสียงไม่ชัดเจน) ความรู้สึกเบิกบานแจ่มใสที่ได้เห็นการเกิดขึ้นสลายไปของสิ่งต่างๆ ในความหมายที่มันมีคุณค่าต่อการเรียนรู้ของเรา ผมจึงรู้สึกขำที่ตัวเองถอดนาฬิกาไม่ได้ แต่ก็ ที่ขำก็คือสุดท้ายถอดได้ เพราะมันรู้ใช่ไหมครับ หรือผมขำที่ตัวเองลืม อะไรอย่างเงี้ยนะครับ ที่ผมชอบเล่าเรื่องลืม ลืมแบบไม่น่าเชื่อว่ามันจะลืมได้ง่ายขนาดนี้ เข้าไปในห้องครัวแล้วก็ยืนหันรีหันขวางว่าเข้ามาในครัวทำไม เอ๊ะ, เข้ามาทำไม ยืนหันไปรอบนึง เอ๊ะ, นึกไม่ได้ ออกมาดีกว่า ออกมาที่นอกห้องครัว ที่โต๊ะที่ตัวเองนั่งทำงานอยู่ จึงรู้ว่า อ๋อ, ตัวเองจะเข้าไปในครัวเพราะอะไร เพราะว่ามีถ้วยกาแฟที่กดน้ำใส่ถ้วยกาแฟไว้แล้ว แต่ยังไม่มีช้อนคน ก็เลยเข้าไปในครัวเพื่อจะเอาช้อนมาคนกาแฟ นึกถึงภาพสิครับ ลุกขึ้นเพื่อจะเข้าไปในครัว เพื่อจะเอาช้อน หยิบช้อนมาหนึ่งคัน เพื่อจะมาชงกาแฟ ปรากฎว่าช่วงขณะเดินไปนี่ มันเป็นเพียงแค่เสี้ยวนาทีนะครับ ลืมไปซะแล้วว่าตัวเองเข้ามาในครัวทำไม
แต่ทันทีที่ผมนึกได้ ว่าผมเข้าไปในครัวเพื่อจะหยิบช้อน ผมก็หัวเราะกับตัวเองอย่างสนุกสนาน โอ้, ดูสิ มันช่าง โอ้, ชีวิตนี้ ชีวิตนี้ คือมันมีความรู้สึกได้ว่า เอ้อ, มันเป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืนจริงๆเลยนะครับ และมันเป็นสิ่งที่เราจะไปยึดเหนี่ยวมันได้อย่างไร ประมาณนี้เลยนะครับ และความรู้สึกแบบเนี้ยนะครับ ผมเข้าใจว่ามันเป็นความรู้สึกที่แม้กระทั่งเวลาเราเจ็บป่วยนะครับ ที่สำคัญเวลาเราเจ็บป่วย ถ้าเราเห็นความหมายนี้ เราจะเกิดความรู้สึกเหมือนกับที่คุณบีรู้สึกดีที่มีแก้วบางใบไม่แตก ทั้งที่มันน่าจะแตกให้หมด ประมาณนี้ รู้สึกดีกับแก้วที่มันไม่แตก และความรู้สึกแบบเนี้ยคือความรู้สึกที่ดีที่นักกีฬาฟุตบอล ตราบใดที่ยังมีเวลา ที่กรรมการไม่เป่านกหวีดจบเนี่ยครับ เขามีความรู้สึกดี ทีสำคัญสังเกตไหมครับ ยิ่งเวลาเหลือน้อย นักฟุตบอลยิ่งขยัน วิ่งทั้งสนามเลยนะครับ วิ่งจนกระทั่ง เพราะอะไร เพราะเขารู้สึกว่าเวลามีค่าไงครับ เวลามันมีค่า และเวลาที่มันมีค่านี้มันไม่เกี่ยวกับว่าแพ้ชนะยังไงนะครับ เกี่ยวว่าเขาต้องทำสิ่งที่มันเป็นคุณค่าของความเป็นนักฟุตบอลให้ได้
ถ้าสมมุติว่าเกมมันนำอยู่แล้วก็ยิ่งดีใหญ่ ที่จะรักษาเกมนี้ให้เป็นอย่างงั้นต่อไป ถ้าเกมของเราพ่ายแพ้กับฝ่ายคู่ตรงข้าม เราก็พยายามจะพลิกฟื้น สถานะแบบเนี้ย มันจึงทำให้นักฟุตบอลไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ของเกมเช่นไร จะไม่หยุดนิ่งเพราะเขาหยั่งถึงคุณค่าของเวลาที่มีอยู่ ณ ขณะปัจจุบันตอนนั้น
มรณธรรมก็คือจิตที่หยั่งถึงค่าของเวลาแห่งชีวิตที่มีอยู่ ณ ปัจจุบัน ณ ขณะนั้นๆและรู้สึกดีกับสิ่งที่มันมีปรากฏอยู่ ณ ขณะนั้น ความรู้สึกแบบนี้จะเป็นความรู้สึกทำให้เรานี่ครับ รู้สึกดีกับชีวิต ไม่ว่าเราจะอยู่ในเงื่อนไขเช่นไร นึกถึงภาพนะครับ นึกถึงภาพว่าถ้าแม้นว่าเราอยู่ในขณะช่วงสุดท้ายของชีวิต ไม่ว่าจะเจ็บปวดทรมาณอย่างไร แต่รู้สึกดีที่เรายังสามารถรับรู้ สัมผัสความเจ็บปวดนั้นได้ เพราะเดี๋ยวไม่นาน ก็ไม่สามารถสัมผัสรู้ความเจ็บปวดนี้ได้อีกแล้ว ในความหมายเช่นที่ว่านี้นะครับ มันจึงเป็นความหมายที่เหมือนกับผมเคยเล่าให้ฟังว่าผมเคยไปที่โรงพยาบาลศิริราช และคุณหมอซึ่งเป็นผู้ดูแลผู้ป่วย มาปรารภกับผมว่ามีผู้ป่วยคนหนึ่งซึ่งมหัศจรรย์มาก อยากให้ผมไปพบไปเยี่ยมด้วย ผู้ป่วยคนนี้เป็นผู้ป่วยระยะสุดท้ายแล้วนะครับ เมื่อผมไปกับคุณหมอ ผู้ป่วยคนนี้เพิ่งทานอาหารมื้อเที่ยงเสร็จไปใหม่ๆ นะครับ ตอนนั้นกำลังจะพยายามดื่มน้ำ แต่ท่านก็ไม่สามารถจะดื่มน้ำจากแก้วซึ่งใช้หลอดดูด เพราะไม่มีพลังเพียงพอแล้ว มือท่านสั่นๆ พยายามจะแหงนหน้าขึ้น แล้วก็น้ำเทแต่ก็หกไปเกือบหมดนะครับ เมื่อผมเห็น ก็ถามดื่มได้ไหม ไม่เป็นไร เขาบอกว่าอย่างนั้น เมื่อก่อนมันทำได้ดี ตอนนี้มันทำไม่ค่อยได้แล้ว แล้วพูดไปด้วยความรู้สึกดีว่าเมื่อก่อนทำได้ดี ตอนนี้ทำไม่ค่อยได้แล้วเนี้ยนะครับ มันเป็นความรู้สึกที่ดี
แม้กระทั่งตอนที่สนทนากัน จึงรู้ว่าแกมีความรู้สึกที่ดี เช่น คุณหมออธิบายให้ผมฟังไปก่อนหน้านี้แล้วว่าผู้ป่วยคนนี้เข้ามาสู่โรงพยาบาลโดยไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน จึงไม่มีสิทธิ์ที่จะไปเรียกร้องสิทธิอะไรที่จะเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ แต่ท่านก็พูดคุยว่า ปวดมากไหม ก็บอกปวดมาก ต้องการยาระงับปวดไหม ก็บอกต้องการถ้าได้ยาก็ดี แต่คุณหมออธิบายว่า แต่ถ้าไม่มีค่ารักษาพยาบาลนี้ไม่สามารถจ่ายยาให้ได้จะทำยังไง ก็บอกว่า ไม่เป็นไร ก็ดี “แล้วไม่มียาทานแล้วมันปวด” “ก็ไม่เป็นไร อยู่กับมันมานานแล้ว” คือคำพูดของผู้ป่วยคนนี้มหัศจรรย์มากเลยนะครับ มหัศจรรย์มากเลยนะครับ และสุดท้ายเมื่อได้คุยกัน จึงได้รู้ว่าแกเป็นคนซึ่งคงจะผ่านบ่มเพาะจนกระทั่งหยั่งถึงมรณธรรมที่ว่านี้ได้จริงๆนะครับ
เพราะเป็นความรู้สึกที่เบิกบานแจ่มใสกับสิ่งแม้กระทั้งรู้ว่าตัวเองไม่สามารถจะดื่มน้ำได้ตามปกติ แต่ก็ยังพูดด้วยความรู้สึกดีว่าเมื่อก่อนมันทำได้ดี แต่ตอนนี้มันทำไม่ได้แล้ว คือหมายความยกแก้วน้ำขึ้นดื่มไม่ได้แล้ว ยิ่งพอคุยถึงเรื่องอื่นๆ โอ๋, พอคุยถึงเรื่อง เช่นพอผมถามถึงว่าได้ปฏิบัติธรรมภาวนาในรูปแบบไหนบ้าง แกก็ตอบบอกว่าสมัยฝึกอยู่ทำทุกเกือบทุกรูปแบบ ฝึกมาหมดแล้ว แต่ตอนนี้นะครับ ไม่มีรูปแบบแล้ว ลงมาสู่สนามแล้ว โอ้โห, นึกถึงภาพอ่ะนะครับ ตอนนี้อยู่ในสนามแล้วนะครับ อยู่ในสนามแล้ว ไม่มี ไม่ต้องคิดถึงรูปแบบแล้ว ประมาณเนี้ยนะครับ แกอุปมาดีด้วยนะ และคุณหมอถามว่าที่บอกว่าเป็นนายขมังธนูอ่ะเป็นยังไง เขาคุยกันมาก่อน แต่ไม่รู้ว่าหมายความว่ายังไง แกบอกว่า ผมต้องทำเหมือนนายขมังธนู ซึ่งต้องมองไปที่เป้า อย่าวอกแวก แกพยายามแสดงท่าให้ผมดูด้วยนะ เล็งให้ตรง แกบอกว่าอย่างนั้นนะ เล็งให้ตรงแกบอกอย่างนั้นนะครับ ความหมายของแกคือตอนนี้เป็นโอกาสนะครับ ที่แกจะทำให้จิตของแกนี่ ไม่วอกแวก ไม่หวั่นไหว แม้จะถูกความเจ็บปวด พยาธิสภาพเบียดเบียนสักเพียงใด
แน่นอน นี้เป็นเรื่องที่เกิดกับคนคนหนึ่งซึ่งปัจจุบันนี้เขาคงไม่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว แต่พูดให้ฟังในความหมายที่ว่า ในความรู้สึกแบบที่ว่าเนี้ย บุคคลผู้นี้ก็เป็นตัวอย่างของการหยั่งเห็นมรณธรรม ในความหมายที่ไม่ใช่เรื่องของการที่จะเป็นความหมายของความขุ่นมัวเศร้าหมอง แต่เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ เป็นเรื่องของการประจักษ์แจ้ง เรียนรู้ และผมเข้าใจว่าในกรณีที่ว่านี้จึงกลับมาสู่ประเด็นว่ามรณธรรมที่พูดถึงนี้จึงไม่เกี่ยวกับเวลาว่าเราต้องอยู่ในช่วงวัยที่เราชราแล้ว หรือไม่เกี่ยวกับช่วงจังหวะชีวิตว่าเราต้องป่วย ต้องมีความเจ็บปวดมาบีบคั้น แต่หมายถึงว่าเรามีชีวิตอยู่นะครับ และรับรู้อารมณ์ และเกิดความเบิกบานแช่มชื่นกับอารมณ์ที่จิตเสพเสวยตอนนั้น เหมือนกับประหนึ่งว่าเราฟังเพลงหรือดูหนังที่เราดูซ้ำๆ แล้วรู้สึกดีกับสิ่งที่มันปรากฎ แม้กระทั่งรู้สึกว่าหนังเศร้าโศกแล้วเราก็ร้องไห้ แล้วดีเหลือเกินที่ได้เช็ดน้ำตา และรู้สึกว่าอยากกลับไปดูหนังเรื่องนี้อีกซ้ำหลายๆ ครั้งอย่างเงี้ย