แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ความรู้สึกตอนที่ออกจากบ้านและมีความรู้สึกด้วยความคิดนะครับว่า ความคิดเราออกไปเผชิญกับความตาย เพราะฉะนั้นจึงกำหนดหมายไว้ในใจว่าเราพร้อมที่จะตาย ความรู้สึกว่าพร้อมที่จะตายก็คือหมายความว่า แม้จะมีสิ่งที่เรียกกันว่าความตายปรากฏอยู่เบื้องหน้า ก็จะไม่หันหลังให้กับความรู้สึกกลัวตายนั้นนะครับ จะเข้าไปเผชิญเพราะมีวันหนึ่งทำให้ผมออกจากบ้านและก็มีความเชื่อจากความคิดว่าเราคงมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานหรอกเพราะการออกจากบ้านโดยไม่มีเงินทองที่จะไปซื้ออาหารมากิน ออกจากบ้านโดยไม่มีใครรู้จักเราแล้วเราคงจะต้องสิ้นสภาพคือตายในที่ใดที่หนึ่งเป็นแน่แท้เพราะว่าไม่มีข้าวไม่มีน้ำ ก็คงจะเป็นคนทุพพลภาพ เมื่อเป็นคนทุพพลภาพแล้วและไม่มีคนรู้จัก คงจะต้องตาย ณ ที่ใดที่หนึ่ง ความคิดแบบนี้มันจึงออกมาเป็นปรากฏการณ์ที่เมื่อตอนที่ภรรยามีข้อตกลงกับผมว่าให้ผมเขียนไปรษณียบัตรวันละแผ่นเป็นอย่างน้อยนะครับในตอนเดินออกจากบ้านไปเพื่อจะให้รู้ว่าตอนนั้นผมไปอยู่ที่ไหนแล้ว จะได้ดูจากปั้มตราไปรษณีย์ว่าได้ส่งจากที่ไหน ตอนที่ภรรยาไปซื้อไปรษณียบัตรมาให้จำนวนมากมายเพราะไปซื้อเป็นปึ้งๆ เหมือนกับจะไปทายผลฟุตบอลนะครับ ก็ต่อรองกับภรรยาว่ามันหนักนะขอเอาไปแค่ร้อยแผ่น แต่ความหมายที่คิดว่าเอาไปแค่ร้อยแผ่นนั้นไม่ได้คิดอะไรมากนะครับ คิดเพียงว่าร้อยแผ่นก็ไม่หมด ไม่หมดคือตายก่อนแน่นอน นึกในความหมายว่าออกจากบ้านไปและเป็นคนแก่แล้ว ข้าวก็ไม่มีทาน น้ำก็ไม่มีดื่ม ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครคอยช่วยเหลือ มันจะอยู่ได้สักกี่วัน เพราะถือไปก็ไม่ได้ประโยชน์ ถือไปก็ไม่ได้ประโยชน์ เพราะฉะนั้นเอาไปแค่ร้อยแผ่นนะครับ นี้เป็นเครื่องยืนยันความคิดที่อยู่ลึก ๆ ในใจแต่ไม่กล้าบอกภรรยาตามเหตุผลนี้นะครับ ก็บอกเพียงแค่ว่ามันหนัก เอาไปแค่นี้พอแล้วนะครับ ถ้ามันหมดไปเดี๋ยวยังไงก็ค่อยว่ากันอีกทีประมาณนี้ แต่ที่เล่าตรงนี้ให้ฟังมันเป็นเพียงแค่ร่องรอยของความคิดที่ทำให้เกิดความหมายว่าตัวเองพร้อมที่จะเผชิญกับความตายนะครับ แต่จริงๆ ตอนไปเผชิญกับสภาวะที่จะหมดสติเป็นลมหน้ามืดกลัวอยู่นะครับ จำได้ว่าการเป็นลมหมดสติครั้งแรกมันเป็นการเป็นลมหมดสติที่มันมีความกลัวปรากฏขึ้นมาชัดเจน ความกลัวนี้ปรากฏขึ้นมาด้วยการคิดถึงแม่ แปลกมากเลยนะพอใกล้จะตายกลับคิดถึงแม่ ตอนที่อยู่ดีๆ ไม่คิดถึงนะ แต่ตอนที่รู้สึกว่าตัวเองยืนไม่ไหวแล้วหน้ามืดนะครับตัวเย็นเหงื่อโทรมแล้วเนี่ยคิดถึงคิดในความหมายที่ว่าถ้าหากว่าการใช้ร่างกายมาปฏิบัติกิจเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่สมควรก็ขอโทษแม่ อย่าได้ถือเป็นความผิด นี่เป็นความหมายนะครับที่เป็นความหมายที่ลึกๆ อยู่ในใจ
เอาเป็นว่าพูดตรงนี้เพียงเพื่อจะเปิดเผยความรู้สึกว่าตอนที่ออกไปเผชิญกับชะตากรรมที่กำหนดไม่ได้แล้วเนี่ย ความหวั่นกลัวที่จบชีวิตมันยังมีอยู่ ความรู้สึกหวั่นกลัวเนี่ยนะครับมันเป็นดัชนีชี้วัดให้เห็นถึงความหมายบางอย่างที่มันเป็นความรู้สึกอยู่ภายในใจ ความรู้สึกภายในใจที่พูดถึงนี้นะครับ พูดในความหมายเพื่อจะบอกว่ามันมีการเปลี่ยนแปลงถ้าจะกลับไปสู่สภาวะที่เวลาตัวเองจะเป็นลมหมดสติคราใด จำได้ว่าการเป็นลมหมดสติครั้งตอนเดินพูดถึงตอนเดินครั้งสุดท้ายเส้นทางการเดินเพราะหลังจากนั้นก็ไม่เผชิญกับชะตากรรมนี้อีกแล้ว ก็คือการเป็นลมหมดสติที่บนถนนเพชรเกษมที่อยู่ในจังหวัดราชบุรี แต่ตอนนั้นมันมีความเปลี่ยนแปลงไปแล้วเพราะว่าตอนที่จะเป็นลมหมดสติเนี่ยนะครับ แล้วก็ปลีกตัวเองออกจากพื้นถนนซึ่งเป็นลาดยางนะครับให้ไปอยู่ในพื้นที่ซึ่งในความคิดตอนนั้นคิดเพียงแค่ว่าไม่ควรจะล้มลงบนถนน เพราะถ้าล้มลงบนถนนจะทำให้เกิดเป็นปัญหากับผู้สัญจรขับรถไปมา เขาจะมามีเป็นเวรเป็นกรรมกับเราเอง นึกถึงภาพนะครับ เขาขับรถมาดีๆ แล้วมีใครไม่รู้มาล้มขวางรถเขา เขาเดือดร้อนแน่ถ้าเป็นอย่างนี้ใช่ไหม ผมจะตายไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่คนที่เขาเหยียบคนตายไปแล้วนี่ มันจะเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขาก็จึงปลีกตัวออกจากพื้นที่ที่เป็นพื้นที่สีดำคือผิวถนนด้วยความหวังว่าถ้าตัวเองจะล้มลงก็จะล้มลงในพื้นที่ซึ่งไม่ก่อให้เกิดปัญหากับผู้อื่น ปรากฏว่าตอนที่ไปยืนก่อนที่จะล้มเนี่ย ความคิดตอนนั้นเป็นความคิดที่มหัศจรรย์เป็นความทรงจำคิดว่านี้คงจะเป็นบุญบารมีที่สั่งสมมาก็ได้นะครับ นึกถึงคำสอนของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ที่หลวงปู่ดูลย์สอนพระภิกษุ นี่เป็นการอ่านจากหนังสือนะครับในบันทึกหนังสือที่ผมอ่านมาบันทึกไว้ว่าเมื่อหลวงปู่ไปเยี่ยมพระภิกษุรูปหนึ่งซึ่งอาพาธหนักอยู่ที่โรงพยาบาล เมื่อหลวงปู่ไปยืนอยู่ใกล้เตียง พระภิกษุรูปนั้นซึ่งอยู่ในวาระสุดท้ายแล้ว หลวงปู่ได้กล่าวกับพระภิกษุรูปนั้นว่าที่เราปฏิบัติมาทั้งหมดทั้งสิ้นก็เพื่อจะมาใช้ในโอกาสนี้ ทำจิตให้ว่างปล่อยวางอย่ายึดมั่น ความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นจากการจำความหมายที่ตัวเองจำไว้เนี่ยมันเป็นความรู้สึกที่ดีว่านี่คือโอกาสของเราที่จะได้ใช้โอกาสนั้นแล้วจึงพยายามทำความหมายตามที่หลวงปู่ดูลย์ท่านสอนพระภิกษุ และนั่นก็เป็นการเป็นลมครั้งสุดท้ายบนถนนในการเดิน เพราะหลังจากนั้นแล้วไม่มีปรากฏการณ์ของการเป็นลมอีกเลยนะครับ
แต่ที่เล่าตรงนี้เล่าเพื่อจะบอกว่าเมื่อตัวเองเดินมาถึงสวนโมกขพลารามที่อยู่ในเขตอำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ใกล้จะถึงจุดหมายของผมแล้วเนี่ยครับ ผมได้เข้าไปในวัดสวนโมกข์และได้ไปที่ม้าหินที่ท่านอาจารย์พุทธทาสท่านนั่งและจำได้ว่าตัวเองพบท่านอาจารย์พุทธทาสตัวเป็นๆ ครั้งแรกตอนก็ตอนที่ท่านนั่งอยู่บนม้าหินและผมเข้าไปกราบท่าน แล้วก็ได้สนทนากับท่านเป็นเรื่องสั้นๆ เพียงท่านถามว่ามาจากไหน ก็บอกว่ามาจากเกาะสมุย ท่านถามว่ามาทำอะไร จะบอกว่ามาเที่ยวก็ดูไม่สุภาพนะครับเพราะเราสนทนากับพระเถระผู้ใหญ่ ก็เลยบอกท่านว่าจะมาปฏิบัติธรรม เราคิดว่ามันไพเราะมันดูดีที่บอกท่านว่าจะมาปฏิบัติธรรมทั้งที่ความจริงไม่ได้สนใจเรื่องการปฏิบัติธรรมอะไรเป็นจริงเป็นจังเท่าไร ท่านถามเหมือนกับรู้ทันว่า บวชมากี่ปีแล้วจะมาปฏิบัติธรรมนี่ ก็บอกบวชเป็นปีที่สองแล้ว ท่านก็หันมามองหน้าแล้วก็ถามว่าบวชมาแล้วเรียนอะไรบ้าง ก็ตอบท่านไปตามตรงว่าเรียนนักธรรมเรียนบาลี ท่านไม่มองหน้าเลย เอาผ้ามาโบกๆ เหมือนกับไล่แมลงหรืออะไรก็ไม่ทราบนะ แล้วก็พูดว่าไปสอบนักธรรมไปสอบบาลีให้ได้นั่นแหละปฏิบัติธรรม แล้วผมก็กราบลาท่านเพียงแค่นั้นเพราะคิดว่าท่านคงไม่ปรารถนาจะคุยอะไรมากกว่านี้แล้ว แต่ก็เป็นความหมายที่ดีนะครับเพราะตอนที่ผมกลับไปกราบม้าหินซึ่งไม่มีท่านอยู่แล้วในวันที่ผมเดินทางเพื่อการออกจากความกลัวตายเนี่ยนะครับ ผมได้พูดกับตัวเอง ณ ขณะที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าม้าหินว่าผมจะปฏิบัติธรรมอย่างที่อาจารย์บอกผมแล้ว และผมรู้ด้วยครับว่าตอนที่ผมนั่งอยู่ตรงหน้าท่านจริงๆ การที่ท่านบอกผมว่าให้ไปปฏิบัติธรรมในความหมายนี้มันเป็นการปฏิบัติธรรมที่แท้จริงเพราะผมอยู่ในช่วงวัยหนุ่ม การที่ต้องไปสอบไปเรียนอะไรบางอย่างเป็นการปฏิบัติธรรมที่ต้องบ่มเพาะให้เกิดคุณธรรม ถ้าผมขี้เกียจ ผมก็สอบไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าผมไม่มีสมาธิแน่วแน่มั่นคงผมก็จดจำอะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่มันเป็นความหมายสำคัญที่ผมกล่าวกับท่านอาจารย์พุทธทาสกล่าวกับตัวเองต่อหน้าม้าหินที่ท่านเคยนั่งว่าผมได้ปฏิบัติธรรมตามที่ท่านอาจารย์สอน และตอนนี้ผมกำลังเรียนรู้ที่จะได้ตายเสียก่อนตาย ผมรู้สึกดี ดีมากที่ได้บอกความรู้สึกอันนี้ว่าผมได้เรียนรู้ที่จะตายเสียก่อนตาย ผมขอบพระคุณท่านเป็นที่สุดที่ท่านได้บอกวิถีแนะทางเดินให้กับผมและผมเดินมาทั้งหมดทั้งปวง ก็เดินมาบนวิถีที่ท่านแนะนำผม ขอบพระคุณท่านแล้วผมก็กราบ อันนั้นเป็นความรู้สึกที่เอาเรื่องนี้มาเล่าเพียงเพื่อจะบอกว่ามันเป็นความรู้สึกที่ดีมากที่วันหนึ่งผมได้ก้มลงไปกราบตรงม้าหินที่อดีตเคยเป็นที่นั่งของท่านอาจารย์พุทธทาส แม้วันนั้นจะไม่มีท่านเป็นเนื้อเป็นตัวเป็นชีวิตจิตใจแล้วแต่ม้าหินซึ่งเป็นวัตถุยังตั้งอยู่ให้ผมระลึกนึกได้ว่า ณ ที่จุดตรงนี้ในวัยหนุ่มผมเคยได้กราบพระภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งได้พูดให้ผมเตรียมตัวที่จะตายเสียก่อนตาย แล้ววันนั้นผมก็ได้ก้มลงกราบม้าหินนั้นเพื่อจะบอกท่านว่าผมได้ดำเนินวิถีนี้นะครับ ที่เดินมาทั้งหมดจริงๆ ก็เพื่อจะเตรียมตัวตายหรือการที่จะตายเสียก่อนตาย ผมรู้สึกดีมากๆ กับความหมายในวันนั้นนะครับ