แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมทั้งหลาย ที่โยมทุกคนมาพักอยู่ที่นี่ไม่เปล่าประโยชน์ โยมได้มาเรียนรู้ ได้มาปฏิบัติ ได้มีความรู้สึกในสิ่งที่อาจจะไม่เคยพบ เคยรู้สึกมาก่อน พระพุทธเจ้าได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะพระองค์ใช้ลมหายใจของพระองค์เป็นเครื่องมือ มนุษย์ทุกคน สัตว์เดรัจฉานทุกชนิดที่มีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะมีลมหายใจ
ลมหายใจนี่ เราอาศัยมัน ลมหายใจนี่ มันแล้วแต่อากาศที่เราหายใจ อากาศเป็นพิษ คนก็ตายด้วยการหายใจเอาอากาศชนิดนั้นเข้าไป ที่เราไม่ตายเพราะมีอากาศที่สำคัญที่สุด พวกฝรั่งเขาเรียกว่าออกซิเจน คืออากาศที่ช่วยให้สิ่งมีชีวิตอยู่ได้ ถ้ามนุษย์ขาดอากาศออกซิเจนก็จะตายทันที
ทีปภาวันอากาศดี เพราะว่าที่นี่เราอยู่ในท่ามกลางของป่าไม้ อากาศที่เราหายใจมีอากาศออกซิเจนมาก เราจะรู้สึกสบาย โยมทั้งหลายก็ได้มาสัมผัสอากาศที่ทีปภาวัน
โยมไปทำหน้าที่การงาน การทำหน้าที่คือการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่งๆ การปฏิบัติธรรมคือการทำหน้าที่ หน้าที่ที่เราจะต้องทำมีหลายอย่าง หน้าที่เพื่อตัวเอง ชีวิตของเราก็มีสองส่วน ส่วนหนึ่งคือร่างกาย ส่วนหนึ่งคือจิตใจ ทางร่างกายก็ต้องมีปัจจัยที่สำคัญที่เราต้องอาศัย จะต้องกินอาหาร ต้องมีเสื้อผ้าสวมใส่ ต้องมีบ้านเรือนเป็นที่อยู่อาศัย ต้องมียารักษาโรค เรียกว่าปัจจัยสี่ นี่เป็นส่วนของร่างกาย
ส่วนอีกด้านหนึ่งคือจิตใจ จิตใจอยู่กับอารมณ์ตลอดเวลา อารมณ์ทั้งหลาย แต่ละที่ แต่ละแห่ง แต่ละวัน แต่ละเวลา ที่จิตใจของเราเกี่ยวข้องมันไม่ได้เหมือนกัน จิตใจของเราอยู่กับอารมณ์ ถ้าเราอยู่กับอารมณ์ร้อน กิเลสจะเกิดพวกอารมณ์ร้อน ใจจะร้อน ถ้าเราอยู่กับอารมณ์เย็น ใจจะเย็น
พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ว่า ในทุกสิ่งมีอัสสาทะ มีอาทีนวะ และมีนิสสรณะ อัสสาทะคือสิ่งที่น่าพอใจ สิ่งที่ก่อให้เกิดความหลงใหล แต่ในสิ่งนั้นมันมีอาทีนวะ มีโทษ ถ้าเราไม่รู้จักมัน ดีไม่ดีก็จะเกิดปัญหา เหมือนอย่างปลาเห็นเหยื่อ แต่ว่าในเหยื่อมีเบ็ด ถ้าปลาไม่ฉลาดไปกลืนเบ็ด ปลาก็ต้องตาย ถ้าปลาฉลาดก็ไปตอดเฉพาะเอาแต่เหยื่อ ไม่ติดเบ็ด ปลาก็ไม่เป็นอะไร
ฉะนั้น เราอยู่กับอารมณ์ทั้งหลาย ถ้ามีสติ มีสัมปชัญญะ ก็เหมือนปลาที่ตอดเฉพาะแต่เหยื่อเป็นอาหาร ไม่กลืนเบ็ด อยู่ที่เรามองอารมณ์ต่างๆ อันนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เป็นเรื่องของจิตใจ มองอะไร อย่ามองแง่เดียว อย่ามองมุมเดียว มองให้รอบด้าน และโดยเฉพาะที่เรียกว่านิสสรณะ คือพยายามอยู่ให้มันเหนือ ถ้าเรามองในแง่ที่ไม่ดี มองในแง่ร้าย มองในแง่ลบ ใจจะเศร้าหมอง และถ้ามองในแง่ดี ใจจะอิ่มเอิบ ใจจะปีติ
คนเราที่เกี่ยวข้องกัน ต้องรู้ว่าคนในสังคมมันมีหลายระดับ เราเกิดมาเป็นปุถุชนกันมาก่อนทั้งนั้น ปุถุชนคือคนที่ยังเอาชนะกิเลสไม่ได้ กิเลสยังครอบงำจิตใจของเขาอยู่ แต่ปุถุชนเหล่านี้ ถ้าได้ยิน ได้ฟังธรรมะของพระอริยเจ้าก็จะเลื่อนความเป็นปุถุชนมาสู่กัลยาณชน คือคนดี และอาจจะเลื่อนสูงขึ้นไปถึงอริยบุคคล
เราชาวพุทธได้ยินคำว่าพระอรหันต์ พระอรหันต์คือผู้ที่ไม่มีกิเลส ไม่มีความทุกข์ ก็มาจากปุถุชนนี้เอง มีตัวอย่างมากมายในพระไตรปิฎก เช่น นางปฏาจาราที่ว่าสูญเสียทุกอย่าง ลูกตาย สามีตาย พ่อแม่ตาย ไม่เหลือ แทบจะบ้าขาดสติ แต่พอได้ยินได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้า กลายเป็นพระอริยเจ้า แล้วต่อมาก็ได้บวช
นางกีสาโคตรมีว่าลูกคนเดียวตาย ไปถามใครต่อใครเพื่อจะให้ลูกรอดชีวิตขึ้นมา เที่ยวผ่าซากศพเพราะความรักลูก ไปหาใครที่ไหนก็ไม่มีใครช่วยได้ แต่ว่ามีผู้ที่ฉลาด เขาแนะนำว่าให้ไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกว่าช่วยได้ แต่ให้ไปหาเมล็ดงาจากบ้านที่ไม่มีคนตาย นางก็ไปขอ ไปถามว่ามีเมล็ดงา เขาบอกมี บ้านนี้มีคนตายไหม เขาบอกว่าตาย คนนั้นตาย คนนี้ตาย พ่อตายแม่ตาย ไปหาบ้านไหน เขามีเมล็ดงา แต่ว่ามีคนตายทุกบ้าน นางก็เข้าใจ ว่าทุกคนที่เกิดมาที่จะพ้นความตายไม่มี ที่สุดนางก็เอาลูกไปฝัง มาเข้าใจธรรมะ
ในครั้งพุทธกาล องคุลีมาลเคยฆ่าคนตายมามาก แต่มาเข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้า ก็เปลี่ยนมาเป็นพระอรหันต์ ก็ดับทุกข์ได้ ปัจจุบันนี้ก็มีคนหลายๆ คนได้เปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ ก็เข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้า
ปัจจุบันนี้นักโทษในเรือนจำเต็มไปหมด จนกระทั่งอัดแอลำบาก บางคนเครียด ผูกคอตายก็มี มันเครียดอยู่กันในคุก อยู่ในตะราง ในคุกในตะราง ผู้บัญชาการเรือนจำก็นิมนต์พระไปสอน อาตมาก็เคยไป อย่างที่เกาะสมุยนี้ ก็มีนักโทษอยู่ในเรือนจำเยอะมาก เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง อายุก็ไม่มากที่ติดคุก เพราะยาเสพติดหรือคดีอื่น เขาก็นิมนต์พระมาเพราะเขาเครียด แต่พอได้ยินได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าก็ทำให้ผ่อนคลาย
ถ้านักโทษทุกคนเกิดต่อสู้จลาจล ดีไม่ดี ผู้คุมก็ตาย วุ่นวายกันไปหมด เคยมีนักโทษแหกคุกเพราะว่าเขาทนไม่ไหว เพราะฉะนั้นในเรือนจำจึงมีกิจกรรมให้ผ่อนคลาย ทำสิ่งโน้นสิ่งนี้ ของที่ประดิษฐ์จากเรือนจำเป็นของที่สวยงาม เอาไปขาย ก็ว่ามีชื่อเสียง เพราะว่าทำด้วยจิตใจมีสมาธิ คือไม่รู้จะไปไหน ได้แสดงให้เห็นว่า จิตของมนุษย์เราต้องมีอารมณ์มาเกี่ยวข้องอยู่เป็นประจำ
ถ้ามีแต่อารมณ์ร้อน อารมณ์ร้าย คนก็จะมีปัญหามาก เครียด แต่ว่าใจร้อนๆ เพราะว่าเราเอาอารมณ์ร้อนมาไว้ในใจ ถ้าเราเอาอารมณ์เย็นมาไว้ในจิตใจ จิตใจของเราใจก็จะเย็น ต่อไปนี้พยายามเลือกเอาอารณ์ที่เย็นมาไว้ในจิตใจให้มากขึ้น
ดังที่พูดมาแล้วว่า ในทุกอย่าง ในคนๆหนึ่ง มันมีหลายแง่หลายมุม เลือกเอาสิ่งที่ดี ถ้ามองคนก็มองในส่วนที่ดี ส่วนที่ไม่ดีไม่ต้องไปสนใจ เพราะเขายังเป็นปุถุชน ท่านอาจารย์พุทธทาส จึงเขียนเป็นกลอนเตือนไว้ว่า
เขามีส่วนเลวบ้าง ช่างหัวเขา
จงถือเอาส่วนดี ส่วนที่ดีเขามีอยู่
เป็นประโยชน์แก่โลกบ้าง ยังน่าดู
ส่วนที่ชั่ว อย่าไปรู้ของเขาเลย
จะหาคนที่ดีโดยส่วนเดียว
อย่ามัวเที่ยวค้นหาสหายเอ๋ย
เหมือนเที่ยวหาหนวดเต่า ตายเปล่าเลย
ฝึกให้เคยมองแต่ดีมีคุณจริง
พยายามมองคนในดี มองด้วยจิตที่มีเมตตา
ฉะนั้น การฝึกเมตตามีประโยชน์ จะได้อยู่กับอารมณ์ที่เย็น อารมณ์ที่ดี ขอให้โยมเอาไปใช้จะได้อยู่กับอารมณ์เย็น แล้วก็ชีวิตจะมีประโยชน์
คนไทยเราเป็นชาติเก่าแก่ เป็นผืนแผ่นดินที่ดีที่สุดของโลกแห่งหนึ่ง คือประเทศไทย จะปลูกข้าว ปลูกพืช ปลูกผัก ไม่อดไม่อยาก และสำคัญที่สุดยอมรับพุทธศาสนามาประพฤติในชีวิตประจำวัน
พุทธศาสนา พ่อขุนรามคำแหง สุโขทัยเป็นราชธานีก่อน ๗-๘๐๐ ปีมาแล้ว นี่คนไทยที่เห็นได้ชัด อันนี้เป็นเผ่าไทย คนไทย พระองค์ศรัทธามั่นคงต่อพระพุทธศาสนา ผืนแผ่นดินไทยที่ใหญ่ที่สุด สมัยพ่อขุนรามคำแหง มีรัฐต่างๆ ๑๖ รัฐด้วยกัน อยู่ในความครอบครองของพระองค์ ไปถึงมะละกา ไปถึงมาเลเซีย ไปไกลมากดินแดนนี้
พระองค์ศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา สร้างวัดสร้างอะไรต่างๆ ผืนแผ่นดินไทยที่อยู่รอดมา ก็เพราะสถาบันหลัก ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พระเจ้าแผ่นดินแต่ละพระองค์ล้วนแต่เสียสละ การป้องกันประเทศให้ปลอดภัยไม่ใช่เป็นเรื่องที่ง่าย สมัยก่อนประเทศไทยที่ทำสงครามกัน ส่วนหนึ่งก็พม่า มีบ่อยมาก ที่ทำสงครามเพราะแย่งความเป็นใหญ่
แต่ปัจจุบันนี้ ประเทศมหาอำนาจต้องการจะมาเอาประโยชน์ของประเทศไทย จะเป็นแผ่นดิน จะเป็นน้ำมัน จะเป็นอะไรต่างๆ ที่อยู่ใต้แผ่นดิน ความจริงมีมานานแล้ว ตั้งแต่รัชกาลที่ ๕ ถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ไม่ใช้นโยบายทางศาสนา ประเทศไทยก็ตกเป็นเมืองขึ้นแบบหลายๆประเทศ เช่น พม่า แม้แต่จีน แม้แต่อินโดนีเซีย แถวนี้ไปหมดเลย ไปต่อสู้ทางอาวุธ สู้เขาไม่ได้
ในหลวงรัชกาลที่ ๕ พระองค์เข้าใจหลักพระพุทธศาสนาเป็นอย่างดี นำนโยบายทางศาสนาไปแก้ปัญหา ประเทศไทยไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศมหาอำนาจ เดี๋ยวนี้ประเทศมหาอำนาจก็ยังต้องการประโยชน์จากประเทศไทยอยู่
ฉะนั้น เราคนไทยจะรักษาประเทศได้อย่างไร แม้ผืนแผ่นดิน ถ้าเราขาดคุณธรรม ขาดศาสนา เราก็ต้องตกเป็นทาส ฉะนั้นโยมต้องมองให้เห็นความดีของพระพุทธศาสนา
อาตมาจึงชักชวนคนที่พอจะเข้าใจว่า ประเทศไทยเรามีของดี คือผืนแผ่นดินที่ดี และมีพุทธศาสนา ถ้าเรานำพุทธศาสนามาปฏิบัติ เราเองก็ได้รับประโยชน์ ได้รับความสุขสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
พระพุทธเจ้าสอนให้เราพัฒนาชีวิต ให้ได้รับประโยชน์ ได้รับความสุข โดยเฉพาะความสุขทางด้านจิตใจ เป็นสุขสงบ
ทีนี้ พวกฝรั่งที่เจริญก้าวหน้าทางวัตถุ ทางอาวุธยุทธปัจจัยต่างๆ ในที่สุดเขาก็ไปไม่รอด เขาจึงหันมาสนใจพุทธศาสนากันมากขึ้น ประเทศไทยเรามีมาก่อน เป็นร้อยๆปี เป็นพันปี เรารักษาพุทธศาสนาไว้ในเมืองไทย
อาตมาเชื่อว่าต่อไปข้างหน้า พวกฝรั่งเขาจะมาเรียนพุทธศาสนาจากเมืองไทยกันมากขึ้นๆ อย่างทีปภาวันก็ดี ที่สวนโมกข์นานาชาติก็ดี ที่เราทำกับฝรั่ง ถ้าโยมได้เข้าไปเห็นว่า เขาก็ปฏิบัติกันอย่างไร ที่นี่ก็เหมือนกัน ฝรั่งเขาตั้งใจปฏิบัติกัน ที่นี่ยังมีชาวรัสเซีย เดือนละ ๔๐ ๕๐ ๖๐ ๒๐ ที่มาอบรม เดี๋ยวนี้คนรัสเซียเขาสนใจมาก
แนวพุทธศาสนา ๒๕๐๐ กว่าปี ยังเป็นของที่ทันสมัยอยู่ ขอให้โยมเอาไปปฏิบัติ ทำให้คนไทยเรานี้ให้เป็นไทยที่สมบูรณ์ ไทยนี้แปลว่าไม่เป็นทาส โดยเฉพาะจิตใจไม่เป็นทาสของกิเลส ที่ว่าเรามีปัญหา เราตกเป็นทาสของกิเลส
ต่อไปนี้ หวังว่าโยมคงใช้ธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอน ให้เราปฏิบัติ พัฒนา ให้ได้รับประโยชน์ ได้รับความสุขสูงขึ้นไปๆ
ญาติโยมทั้งหลายมีครอบครัว อาชีพ เราประกอบเอาเพื่อมีรายได้เงินเดือนก็ส่วนหนึ่ง ถ้าเรามีคุณธรรม มีเมตตามีกรุณาอยู่ในจิตใจ เราก็ได้ทำประโยชน์ ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา
ถ้าประเทศไทยของเราจะอยู่ได้ต้องร่วมมือ ฝ่ายบรรพชิตและฝ่ายฆราวาส ชาวพุทธมีอยู่ ๔ ประเภท เป็นนักบวช เป็นภิกษุ ภิกษุณี เป็นนักบวช ฝ่ายฆราวาส อุบาสก อุบาสิกา โยมทั้งหลายจะเป็นอาชีพอะไรก็ตาม ถ้านับถือพุทธศาสนา ก็เป็นอุบาสก อุบาสิกา แปลว่าผู้นั่งใกล้พระพุทธเจ้า มีพระพุทธเจ้าอยู่ในหัวใจ
ฉะนั้น ขอให้โยมทั้งหลาย มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ให้เข้มแข็งมากขึ้นๆ ใครจะเป็นชาวพุทธ คนนั้นจะต้องออกชื่อ ถือเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มาเป็นที่พึ่ง แต่โยมต้องเข้าใจหัวใจของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ที่จิตใจของเรานี่เอง เอาพระคุณของพระพุทธเจ้า มาไว้ในจิตใจของเรา
พระคุณของพระพุทธเจ้าคืออะไร คือ ปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ ปัญญา ความบริสุทธิ์ เมตตานี้คือตัวกระทำ พระสงฆ์ก็เช่นเดียวกัน ที่จะเป็นพระสงฆ์ก็ต้องปฏิบัติคุณธรรมเหล่านี้ ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเป็นธรรม คือปฏิบัติให้มีปัญญา ให้มีความบริสุทธิ์ ให้มีเมตตา
ถ้าโยมต้องการจะมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งจริงๆ พึ่งได้จริงๆ ก็อบรมให้จิตใจมีคุณธรรมเหล่านี้ คือมีปัญญา มีความรู้ มองอะไรให้รอบด้าน มองเห็นทุกแง่ ทุกมุมมันทุกอย่าง มีศีลน่าพอใจ ลดอัตตา สิ่งที่มีโทษในสิ่งนี้ แล้วก็อาทีนวะ การปฏิบัติให้พอดี เพื่ออยู่เหนือปัญหา เรียกว่าทางสายกลาง มัชฌิมาปฏิปทา
เมื่อเราปฏิบัติไปเรื่อยๆ จิตใจของเราก็จะว่างจากอารมณ์ร้อน อารมณ์ร้าย แล้วจิตใจของเราก็จะมีเมตตากรุณา นี่ก็ได้พึ่งพระพุทธเจ้า ได้พึ่งพระธรรม ได้พึ่งพระสงฆ์ โดยวิธีอย่างนี้
ขอขอบพระคุณ ขอขอบใจญาติโยมทั้งหลายมาใช้ทีปภาวัน แล้วเอาติดเนื้อติดตัวไป โดยเฉพาะฝึกให้มีสติสัมปชัญญะ พยายามอยู่กับอารมณ์ที่เย็น ลมหายใจเข้าออก ฝึกทุกวัน อย่างน้อย ๑๕ นาที ๒๐ นาที นั่งสมาธิทุกวัน หายใจเข้าก็ตามไป หายใจออกก็ตามมา อย่างที่ได้ฟังไปแล้ว ฟังเทปบรรยายไปแล้ว ก็ได้อยู่กับลมหายใจ
เมื่อใจสงบก็จะมีปีติ มีความอิ่มใจ ก็ได้มาอยู่กับอานาปานสติ หมวดเวทนา ถ้าปฏิบัติก้าวหน้าเรื่อยๆ จิตในขณะนี้ ก็จะเป็นจิตที่เป็นกุศล คือจิตปราโมทย์ จิตตั้งมั่น จิตปล่อย เป็นอานาปานสติหมวดที่สาม ต่อไปก็อบรมปัญญา ไปตามเห็นความไม่เที่ยงของสิ่งทั้งหลายทั้งปวง เป็นอานาปานสติหมวดที่สี่
ขอให้โยม ต่อไปนี้ก็นั่งสมาธิ โยมจะเห็นว่าสิ่งทั้งหลายเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ก่อนที่โยมมานี่ ที่ตรงตรงนี้ว่าง โยมมาอยู่ก็มีพวกโยมอยู่ที่นี่ วันนี้โยมกลับไป นี่ก็ว่างอีก คนใหม่ก็เข้ามา
ความว่างมันมีอยู่ก่อน ความวุ่นมันมีทีหลัง ถ้าเข้าใจได้อย่างนี้ ก็ทำจิตใจให้ว่างจากกิเลสได้โดยไม่ยาก เกิดกิเลส เกิดอารมณ์ร้อน อารมณ์ร้ายขึ้นมาก็รู้อันนี้เป็นสังขาร มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันไม่ใช่เรา นี่เป็นธรรมะชั้นสูงสุดในพุทธศาสนา คือ ปล่อยวาง ว่าง เรียกว่าสุญญตา
ต่อไปก็ปฏิบัติกันนิดหน่อย อย่างไรก็ดี ชักชวนญาติพี่น้องที่สนใจมาปฏิบัติกันได้ที่ทีปภาวัน ยินดีต้อนรับ วันที่ ๑๒ ถึงวันที่ ๑๗ โยมต่อไปก็ปฏิบัติกัน หายใจเข้าหายใจออก นี่อารมณ์เย็น