แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมทั้งหลายมาปฏิบัติธรรมพร้อมกัน ที่เกาะสมุย ทีปภาวันธรรมสถาน เป็นที่ปฏิบัติธรรม อาตมามาที่เกาะสมุย ก็ตั้งใจว่าจะมาร่วมปฏิบัติธรรมกับญาติโยม ญาติโยมก็มาอยู่ที่นี่ อาตมาเชื่อว่าญาติโยมก็ได้พัฒนาขึ้นทีละนิดทีละหน่อย ทีละนิดทีละหน่อย
การปฏิบัติธรรมนี่ ความจริงโยมก็ปฏิบัติอยู่แล้ว แต่ว่าธรรมะ มันมีหลายอย่าง มีหลายแบบ ธรรมะที่เป็นฝ่ายกุศลก็มี อกุสลา ธัมมา ธรรมะที่เป็นฝ่ายกุศล นี่ที่เราปฏิบัติ กุสลา ธัมมา ธรรมะที่กลางๆ อัพยากะตา ธัมมา จริงๆในชีวิตของเรา มันคือตัวธรรมะ ภาษาบาลีเรียกว่า ธรรมะ ธรรมา ธัมโม แล้วแต่จะเรียก แล้วแต่จะใช้มัน ก็คือธรรมชาติที่อยู่ในชีวิตของเรานี้
ท่านอาจารย์ท่านพุทธทาสได้อธิบายโดยละเอียดว่า ธรรมะคือ ธรรมชาติ ธรรมะคือกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือหน้าที่ที่เราจะต้องทำให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือผลที่เกิดขึ้นจากการทำหน้าที่
ญาติโยมทั้งหลายก็ได้ปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว แต่บางทีอาจจะปฏิบัติธรรมฝ่ายอกุศลก็ได้ อกุสลา ธัมมา ถ้าไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล บางทีเข้าใจอกุศลเป็นกุศลก็ได้ เข้าใจผิดเป็นถูก ยกตัวอย่างว่า ศีล ๕ นี่ ศีล ๕ นี้เป็นกุศล ไม่ฆ่า ไม่ลัก ไม่ล่วงเกินของรัก ไม่โกหก ไม่เสพของมึนเมา นี่เป็นกุศล
บางทีญาติโยมไม่รู้ว่าอะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล ก็ไปทำในฝ่ายอกุศล ไปฆ่า ไปลัก ไปล่วงเกินของรัก ไปโกหก ไปเสพของมึนเมา
ญาติโยมทั้งหลายก็ปฏิบัติธรรมเหมือนกัน แต่ปฏิบัติธรรมฝ่ายอกุศล
ธรรมะฝ่ายกุศลกับอกุศล มันให้ผลไม่เหมือนกัน ถ้าเราปฏิบัติธรรมฝ่าย อกุศล ก็เป็นเหตุให้เดือดร้อนเป็นทุกข์ ทั้งแก่ตัวเอง ทั้งแก่ครอบครัว ผู้อื่น
ทีนี้ ถ้าเราปฏิบัติธรรมฝ่ายกุศล ฝ่ายกุศลให้ผลเป็นความสุข เป็นความเจริญ ทั้งแก่ตนเอง แก่ผู้อื่น
ฉะนั้นญาติโยมทั้งหลายก็ปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว ต้องกินอาหาร ต้องอาบน้ำ ต้องทำงาน นั้นก็คือทำหน้าที่ในชีวิตประจำวัน แต่สำคัญที่สุด คือที่จิตใจของญาติโยมนั่นเอง ถ้าโยมสักว่าทำ ถึงเวลาอาบน้ำก็อาบน้ำ ถึงเวลาจะเดินก็เดิน ถึงเวลาจะพักผ่อนนอนหลับก็ทำ อันนี้ทำไปตามธรรมชาติ เพราะว่าจิตใจไม่ค่อยสนใจ
ทีนี้ถ้าเรามาปฏิบัติธรรม เราก็ต้องเพิ่มสติสัมปชัญญะให้มากขึ้น
สติคือระลึกอยู่กับสิ่งที่เราทำ อันนี้ธรรมดา ที่เราต้องพัฒนา ก็ต้องมีสติระลึกอยู่กับธรรมะที่เป็นกุศลตลอดเวลา นี่คือปฏิบัติธรรมที่เป็นกุศล จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน จะกิน จะถ่าย ก็มีสติรู้ นี่คือการฝึกธรรมะ ที่ญาติโยมทั้งหลายมาฝึกที่นี่
แล้วก็รู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่ตลอดเวลา เขาเรียกสัมปชัญญะ แล้วก็มีความเพียรที่จะฝึก บางทีจิตใจมันเบื่อ นอนดีกว่า ไม่ปฏิบัติดีกว่า อย่างนี้จิตมันต้องแก้ไขใหม่ บอกไม่ได้ๆ มารมันเข้ามาอยู่แล้ว ก็รีบแก้ไข ก็ใช้สติระลึกว่า พระพุทธเจ้ากว่าจะมาเป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ปฏิบัติอย่างไร นี่คือการเรียนรู้ธรรมะในพุทธศาสนา อย่างเรียนรู้เรื่องปริยัติ เรียนรู้เรื่องพระสาวกของพระพุทธเจ้าที่เคยปฏิบัติมา ก็อย่างพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พระมหากัสสปะ พระอนุรุทธะ พระอานนท์ ที่ท่านปฏิบัติสำเร็จทำอย่างไร แล้วก็มาเตือนจิตใจ พอเตือนขึ้น ใจก็มีกำลังขึ้นมา นี่ถ้าเราปฏิบัติธรรมฝ่ายกุศล เรียกว่าถ้าเราไม่เคยได้ยิน ไม่ได้ฟังประวัติของพระอรหันต์เหล่านี้ เราก็ระลึกไม่ได้
ทีนี้ เราพอที่ทันจะเห็นทันจะรู้ อย่างท่านอาจารย์พุทธทาสอย่างนี้ท่านอยู่อย่างไร ท่านปฏิบัติอย่างไร ชีวิตของท่านที่เป็นที่ยอมรับของคนในประเทศ เป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลก ท่านทำอย่างไร แล้วก็มาเตือน
ชีวิตของท่านอาจารย์พุทธทาส เมื่อเด็กๆก็เป็นเด็กธรรมดา ท่านมีโอกาสได้ไปอยู่ในวัด โยมแม่ของท่านเป็นคนศรัทธาวัด ตอนที่ท่านเด็กๆ โยมแม่ของท่านก็ฝึกให้มีสติ มีสัมปชัญญะ ไม่เกเร ไม่เหลวไหล ไม่คบเพื่อนที่ไม่ดี
พอโตขึ้นมาหน่อย อายุ ๗ ปี ส่งไปอยู่วัดไปเรียนหนังสือกับวัด ความจริงไปฝึกมากกว่า ไปปฏิบัติอุปัชฌาย์อาจารย์ตั้ง ๒ ปี จึงพากลับมาเรียนโรงเรียน โรงเรียนมัธยมได้แค่ม.๓ เพราะว่าสมัยนั้น เรียนแค่นี้ก็สูงสุดแล้ว ถ้าต้องการไปเรียน ม.๔ ม.๕ ต้องไปเรียนในตัวจังหวัดสุราษฏ์ธานี อำเภอไชยายังไม่มี ท่านว่าพอแล้ว ก็ช่วยโยมทางบ้านตลอดเวลา จนกระทั่งโต
เมื่อท่านอายุ ๒๐ ปีก็บวชตามประเพณี แต่ท่านอาจารย์พุทธทาส เป็นบุคคลพิเศษ เป็นบุคคลที่ฉลาดมาก ทำอะไรรอบคอบมาก ท่านก็ไม่ลาสิกขา จนกระทั่งท่านอุปัชฌาย์แนะนำไปอยู่กรุงเทพ จนกระทั่งเรียนจบบาลี ท่านก็รู้จริง อ่านพระไตรปิฎกได้ รู้เรื่องราวของพระพุทธเจ้า ของพระอรหันต์ทั้งหลาย แต่เพียงความรู้ไม่พอ ท่านต้องปฏิบัติ ท่านก็กลับมาอยู่รูปเดียวในวัดร้าง วัดตระพังจิก ที่เดี๋ยวนี้เป็นสวนโมกข์เก่า
ท่านอยู่คนเดียว บางเวลาออกบิณฑบาต เด็กๆแถวนั้นว่าพระบ้า กลัวเพราะไม่เคยเห็นพระแบบนี้เข้าไปอยู่ในวัดร้าง วัดนั้นกลางวันก็ยังไม่กล้าเข้าไปอยู่ ไปเที่ยว เพราะมันมืดมันครึ้ม น่ากลัว ท่านก็ไปอยู่ฝึกปฏิบัติ ท่านก็ได้รับผลเป็นที่พอใจ หลังจากนั้นก็เผยแพร่หนังสือพิมพ์พุทธศาสนาก็เกิดขึ้นมา ร่วมมือกับน้องชายโยมธรรมทาส ตั้งโรงเรียนพุทธนิคม
โรงเรียนพุทธนิคมผลิตคนมากมายที่มีความรู้ อย่างอดีตผู้บัญชาการทหารบก พลเอกวิมล วงศ์วาณิชย์ ประธานศาลฏีกา นายโสภณ วัฒนากร มีใครต่อใครเยอะ อย่างน้องชายคือโยมธรรมทาส ตั้งเป็นคณะธรรมทานขึ้นมา นี่งานของท่านอาจารย์พุทธทาสก็กว้างไกลไพศาล ถ้าท่านอาจารย์พุทธทาสไม่มี สวนโมกข์ก็ไม่มี แม้แต่ที่นี่ก็มีไม่ได้ ทีปภาวันยังมีไม่ได้
ที่ทีปภาวันเกิดขึ้นมาเพราะอาตมาไปอยู่ที่สวนโมกข์ ไปรับใช้ท่านอาจารย์ อาตมาจึงเอาปณิธานของท่านอาจารย์มาติดไว้ เพื่อเป็นที่ระลึก ฉะนั้นบุคคลที่เขาทำอะไรสำเร็จ เขาก็มาเตือน มาเตือนจิตใจเข้มแข็ง
ทีนี้ ธรรมะจริงๆมันคือธรรมชาติ มันก็อยู่กับเรา แต่ว่าคนไม่เห็น ไม่รู้จักธรรมะว่าคืออะไร สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นี่ คือรู้ธรรมชาติ ที่สำคัญที่สุด เราเกิดมา มันมาพาทุกข์มาด้วย พากองทุกข์มาด้วย พอเกิดมานี่ มันก็พาเอาความทุกข์มาด้วย
ทีนี้ ธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ คือทำให้ความทุกข์มันลดลงๆ จนกระทั่งทำให้ความทุกข์มันหมด ถ้าความทุกข์หมด อะไรจะเกิดขึ้น ก็คือความสุข ความสุขสูงสุดคือพระนิพพาน นี่.ที่เรามาแสวงหา เรามาแสวงหาสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้บอกทางให้เราเดิน เพื่อถึงสิ่งนี้ เพื่อได้ความสุข
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมวินัยของพระองค์มีอยู่ในโลกเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของคนจำนวนมาก ทั้งเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย นั้นธรรมะของพระพุทธเจ้าที่คนได้รับประโยชน์ ในประเทศอินเดียเขาแบ่งคนเป็นชั้นเป็นวรรณะ วรรณะกษัตริย์ วรรณะพราหมณ์ วรรณะแพศย์ วรรณะศูทร หมายความว่าคนทุกระดับชั้นได้รับประโยชน์
พุทธศาสนาแผ่ไปประเทศอื่น อย่างประเทศไทยเรา รับพุทธศาสนาหลังพระพุทธเจ้าดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว หลายร้อยปี ไม่น้อยกว่า ๓-๔ ร้อยปี คนในประเทศไทยทุกระดับชั้นได้ประโยชน์ ตั้งแต่พระเจ้าแผ่นดิน ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ประชาชน พลเมืองใครปฏิบัติ ได้รับประโยชน์ทั้งนั้น
ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นอกาลิโก ไม่ขึ้นกับเวลา ในอดีต ในครั้งพุทธกาล ในเวลาต่อมาแม้ปัจจุบันนี้ก็ยังเหมือนเดิม ก็เหมือนกับว่า อากาศที่เราหายใจ อากาศที่เราหายใจ มันห่อหุ้มโลก อากาศออกซิเจน ห่อหุ้มโลกมาตั้งกี่หมื่นปีแล้ว คนที่เกิดขึ้นมาในโลกกี่หมื่นปี กี่แสนปี ก็ใช้ลมหายใจ อากาศหายใจ แม้แต่ปลาในน้ำก็ต้องอาศัยอากาศ ออกซิเจน เดี๋ยวนี้ก็ยังเช่นเดียวกัน อากาศที่เราใช้หายใจมันเหมือนเดิม เหมือนร้อยปีพันปีหมื่นปีมาแล้ว ธรรมะที่พระพุทธเจ้าค้นพบก็แบบเดียวกัน แบบเดียวกับอากาศที่เราหายใจ
ทีนี้ คนไม่รู้ ก็ไม่สนใจสิ่งนี้ พอเกิดมาก็มีแต่ความทุกข์ หนึ่งทุกข์เจ็บปวด ทุกขเวทนา พอเกิดมาแล้วก็ต้องแก่ ก็ต้องเจ็บ ความเกิดทางร่างกายก็เป็นทุกข์ การเกิดความรู้สึกว่าเป็นตัวตนในจิตใจก็เป็นทุกข์ เรียกว่าทุกข์เพราะอุปาทาน
เกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ เจ็บเป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ โศกร่ำไรรำพัน ทุกข์กายทุกข์ใจ เหี่ยวแห้งใจเป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้ตามใจหวังก็เป็นทุกข์ อยู่กับสิ่งที่เราไม่ชอบ ก็เป็นทุกข์ ทุกข์มาหลายอย่างในชีวิตของเรา แล้วเอาอะไรแก้ มีเงินมีทองก็เอาชนะมันไม่ได้ เอาชนะความแก่ไม่ได้ เอาชนะความตายไม่ได้ ธรรมะของพระพุทธเจ้าเอาชนะทุกข์เหล่านี้ได้
ที่ญาติโยมทั้งหลายมาปฏิบัติ ก็เพื่อทำให้ทุกข์มันดับ มันดับลง น้อยลง ญาติโยมทั้งหลายปฏิบัติต่อไปไม่หยุด ชีวิตก็จะเปลี่ยน เป็นชีวิตใหม่ เป็นคนใหม่ เกิดใหม่ โยมปฏิบัติอย่างนี้ อยู่ที่นี่กลับไปที่บ้าน จะเป็นภรรยา สามี เป็นลูก เป็นหลาน ญาติพี่น้อง ก็รู้สึกว่ามันเป็นคนใหม่ เป็นคนที่น่ารัก น่าเคารพ น่านับถือ
ฉะนั้น ชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงได้ เราต้องตั้งใจที่จะเปลี่ยน ถ้าเราไม่คิดจะเปลี่ยน มันก็ไม่มีอะไร เกิดมาแล้วก็แก่ เจ็บ ตาย เรียกว่ามีแต่ความทุกข์ ตกนรก ก็น่าสนใจมาก เวลายมบาลถาม สัตว์โลก พวกเราเป็นสัตว์โลก ทีนี้ยมบาลมีหน้าที่รักษายมโลก ก็มีทหารของยมบาล เขาเรียก
นิรยบาล รักษาโลกนรก ก็มาจับเอาวิญญาณของสัตว์โลกลงไปเมืองนรก ยมบาลถามว่า แกนี่.เมื่ออยู่เมืองมนุษย์ เห็นเทวทูตบ้างไหม ไม่รู้จักเลย เทวทูตไม่รู้จัก ไม่รู้จักเด็กที่เพิ่งเกิด เด็กที่เพิ่งเกิดใหม่ๆ เห็นไหม เคยเห็น นึกบ้างไหม เรานี้มีความเกิดเป็นธรรมดา ไม่เคยคิด เออ.แกประมาท ไม่นึกถึงความเกิดก็ต้องเอาไปใส่ในนรก
เทวทูตที่ ๒ เคยเห็นไหม ไม่เห็น ไม่เห็นคนแก่ คนแก่เคยเห็นไหม เห็น เคยนึกบ้างไหมว่า ตัวเองจะต้องแก่เป็นธรรมดา ไม่เคยนึกว่าเราต้องแก่ ก็ทำผิด ทำชั่วทางกาย วาจา ใจ ยมบาลก็เอาไปใส่นรก แล้วคนตาย เคยเห็นบ้างไหม เห็น เคยนึกว่าตัวเองจะต้องตายไหม ไม่นึก นี่คือประมาท เทวทูตเตือนก็ยังไม่เข้าใจ
เพราะฉะนั้นคนไปงานศพ ไปดูคนตาย พิธีบำเพ็ญกุศลศพ คือบำเพ็ญกุศลศพให้ผู้ตาย คนร่ำคนรวย บางทีเป็นเด็ก เป็นคนหนุ่ม คนสาว คนแก่ตายกัน ก็บำเพ็ญกุศลศพ แต่ว่าบางงาน บางศพคนไปกิน ไปเรื่องอื่น ไม่ไปดูความจริง ไม่ไปศึกษาความจริงของชีวิต บุคคลผู้นี้ได้มาเตือนจิตใจ
ฉะนั้น ไปงานศพทำไมจึงจุดธูปดอกเดียว ก็เพื่อจะเตือนใจว่า เป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น เกิดมาแล้ว ต้องตาย เอวังภาวี เอวัง อะนะติโต ก็ต้องเป็นอย่างนี้ พ้นจากความเป็นอย่างนี้ไปไม่ได้ ถ้าเขาจุดธูปขึ้นมา ธูปก็ไฟมันลุก ๆๆ ไหม้จนกระทั่งธูปมันหมด ก็เป็นหนึ่งเดียวเกิดมาแล้ว ก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย เพื่อไม่ประมาท พอไม่ประมาทก็ได้ทำกุศลธรรม ได้ปฏิบัติคุณงามความดี จิตใจมันก็เลื่อน
ฉะนั้น ธรรมะจริงๆมันอยู่ในเรา ไม่ใช่อยู่ในหนังสือ ไม่ใช่อยู่ในวัด ไม่ใช่อยู่ที่คำพูด แต่เราไม่ได้สังเกต มันจึงมีคำภาษิตไทยๆ เตือนเอาไว้ว่า นกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ำ ไส้เดือนไม่เห็นดิน หนอนไม่เห็นคูต คนไม่เห็นธรรม นกบินไปในท้องฟ้า มันก็มองไม่เห็นท้องฟ้า
มีที่สวนโมกข์ อาตมาพึ่งเคยเห็น มันมีนกมาจิกกระจกที่รถมอเตอร์ไซด์ มันเข้าใจว่ามีนกอีกตัวหนึ่งอยู่ในกระจก มันมาจิกมาตี จนกระทั่งเหนื่อยอ่อน เพราะมันเข้าใจผิด จริงๆคือเงาของมันนั่นเอง นี่นกมันไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ำ ปลาอยู่ในน้ำ ก็ไม่เห็นน้ำ ไม่รู้จักน้ำ ไส้เดือนอยู่ในดินก็ไม่รู้จักดิน หนอนอยู่ในคูต ในส้วมก็ไม่รู้จัก ว่าสกปรกน่าเกลียด มันก็ไม่รู้ คนอยู่ในโลกก็ไม่เห็นธรรม
ญาติโยมทั้งหลายมาปฏิบัติ ก็เพื่อจะเห็นธรรม เห็นธรรมชาติ ธรรมชาติก็มีสองอย่าง นี่อาตมาก็พูดมาแล้ว คือธรรมชาติที่มีเหตุมีปัจจัยปรุงแต่ง เรียกว่าสังขตธรรม มีธรรมชาติอีกอย่างหนึ่ง ไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง เป็นอสังขตธรรม คือพระนิพพานนั่นเอง
ธรรมชาติที่มีเหตุมีปัจจัยปรุงแต่ง คือมันก็เกิดขึ้น แล้วก็ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป คือความไม่เที่ยงนั่นเอง อาตมาก็พูดให้โยมฟังว่า กลางวัน กลางคืน มันก็เป็นสิ่งปรุงแต่ง พระอาทิตย์ก็เป็นสิ่งปรุงแต่ง พระจันทร์ก็เป็นสิ่งปรุงแต่ง โลกที่เราอาศัยก็เป็นสิ่งปรุงแต่ง นี่ชาวโลกของเรา พอมากระจายดูมันก็รู้ว่ามีดิน มีน้ำ ธาตุต่างๆรวมเป็นก้อนโลก
เหมือนอาคารหลังนี้ เรานั่งสมาธิอยู่นี่ เมื่อก่อนก็ไม่มีอะไร เป็นที่ว่างๆ เป็นเชิงเขาลาด ก็สร้างขึ้นมา มีเหล็ก มีปูน มีไม้ มีหลังคา สร้างขึ้นมา มันปรุงแต่งขึ้นมา
เช่นเดียวกับร่างกายเรานี้ พ่อแม่เป็นเหตุให้เราเกิดขึ้นมา มีรูป มีนาม ประกอบด้วย ธาตุ ๔ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม แต่ละวันเราก็ต้องเติมธาตุเหล่านี้ เพราะมันเสื่อมไป สิ้นไป อย่างธาตุดิน อาหารนี้เป็นธาตุดิน เราต้องกินอาหารมันทุกวัน ถ้าไม่กิน เราก็ตายเหมือนกัน ก็เติมธาตุดิน กินอาหารเข้าไป อาหารก็กลายเป็นเนื้อเป็นหนัง ส่วนไหนที่ร่างกายใช้ไม่ได้ เป็นอุจจาระถ่ายออกมา
ธาตุน้ำก็ต้องดื่มน้ำทุกวัน ดื่มเข้าไป ร่างกายเอาไปใช้ กลายเป็นเหงื่อ เป็นน้ำปัสสาวะ เป็นอะไรต่ออะไร ถ่ายออกมา ธาตุไฟก็เหมือนกัน มีอยู่แล้วในชีวิตของเรา ประเทศที่มีอากาศร้อน อากาศอุ่น ไม่ค่อยมีปัญหา แต่ประเทศที่มันหนาว ความอบอุ่นสำคัญมาก ต้องทำฮีตเตอร์ ต้องก่อไฟ ท่านที่มาจากอยู่อเมริกามาเล่าให้อาตมาฟัง หน้าหนาวนี่ ต้องเอาไม้ฟืนใส่ในเตา เตาไฟเพื่อให้ห้องมันอุ่น คนที่มีตังค์ก็ทำฮีตเตอร์ใช้ ใช้ไฟฟ้า ประเทศเราไม่ค่อยมี ร่างกายถ้าหนาวจัด มันก็ตายเหมือนกัน นอนตายตัวแข็ง
ทรงศักดิ์ไปที่สวนโมกข์ไปเล่าให้ฟังว่า เขาพาไปเที่ยวประเทศนิวซีแลนด์ ตลอดเวลามันหนาวๆ หนาวสั่นเลย ประเทศบางประเทศมันหนาว ฉะนั้น ร่างกายของเราต้องการธาตุไฟ เราไม่ได้สังเกต ที่สำคัญที่สุดคือธาตุลม ต้องหายใจเข้าและก็หายใจออก เพื่อให้ชีวิตของเราประกอบด้วยธาตุต่างๆ มันเป็นสังขารธรรม
ทีนี้สิ่งอื่นก็เหมือนกัน เป็นสิ่งปรุงแต่ง โยมต้องเข้าใจสิ่งนี้ว่า ถ้าเป็นสังขาร มันไม่เป็นอย่างอื่น คือมันไม่เที่ยง มันต้องเปลี่ยนแปลง มันทนอยู่ไม่ได้ สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นมันเป็นทุกข์ๆ เพราะมันไม่ใช่ของเรา มันเป็นสังขาร
ถ้าใครเข้าใจ เรื่องไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ความทุกข์ในใจ มันก็ลดลงๆ จนกระทั่งถ้าใครทำให้หมดได้ คนนั้นก็จะไม่มีความทุกข์ นี่ก็ธรรมะสูงสุดในพระพุทธศาสนา เรียกว่า โลกุตรธรรมหรือปรมัตถสภาวธรรม
ญาติโยมทั้งหลายมาหาสิ่งนี้ ที่มาอยู่ที่นี่ ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง บางทีทรงใช้วิธีอุปมา เปรียบเทียบให้เรามองเห็นให้พิจารณา เช่นนั้น ถ้าเปรียบเทียบก็ได้หลายอย่าง เหมือนอย่างญาติโยมทั้งหลาย มาแสวงหาอริยทรัพย์ อาตมาพูดไปแล้ว หรือมาแสวงหาโพธิ เหมือนอย่างมาปลูกต้นโพธิ์ ไม่ได้ปลูกเป็นต้นไม้ ไม่ใช่เป็นวัตถุ แต่เป็นโพธิ ที่ปลูกขึ้นในจิตใจ อย่างโพธิปักขิยธรรมมีตั้ง ๓๗ อย่าง นี่โพธิปักขิยธรรม โยมก็มาปลูกไว้ในใจ รดน้ำพรวนดินมันก็งอกงามขึ้นมาเรื่อยๆ
โพธิปักขิยธรรม ๓๗ อย่าง มีอะไรบ้าง สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘ ธรรมะแต่ละหมวดๆ สติปัฏฐาน ๔ ที่ญาติโยมทั้งหลายกำลังปฏิบัตินี่ คือตามเห็นกายในกาย ตามเห็นเวทนาในเวทนา ตามเห็นจิตในจิต ตามเห็นธรรมในธรรม
เมื่อญาติโยมมาฝึกอานาปานสติ ก็ได้ฝึกสิ่งนี้ บางเวลาจิตอยู่กับกายบ้าง บางวลาจิตอยู่กับเวทนาบ้าง บางเวลาจิตอยู่กับจิตบ้าง บางเวลาจิตอยู่กับธรรมะบ้าง ให้ศึกษาไปเรื่อยๆ จิตก็จะตรัสรู้ เรียกว่า โพธิคือตรัสรู้ นี่สติปัฏฐาน ๔ มันเป็นอย่างนี้
สัมมัปปธาน ๔ คือความเพียร ๔ อย่าง เพียรป้องกันไม่ให้กิเลสมันเข้ามา เพียรเอากิเลสออกไปจากจิตใจ เวลาเราเปิดมันเข้ามาแล้ว เพียรให้กุศลเกิดขึ้น คือฝึกสมาธิ ฝึกปัญญา เพียรรักษากุศลเอาไว้ เรียกสัมมัปปธาน
อิทธิบาท ๔ คือ ฉันทะ พอใจ ญาติโยมทั้งหลายจะต้องพอใจ ในสังขตธรรม วิริยะ เพียรกระทำ จิตตะ เอาใจใส่ และก็อิทธิบาท ๔ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ และก็วิมังสา ใคร่ครวญพิจารณาให้เห็นความจริง
พละ ๕ อินทรีย์ ๕ คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา และก็ โพชฌงค์ ๗ คือ สติ ธัมมวิจยะ วิจัยธรรม และก็วิริยะ เพียรกระทำ เพียรไปเรื่อยๆ จนเกิดปีติ จิตใจอิ่มใจ เกิดปัทสัทธิ จิตใจสงบ เกิดสมาธิ และเกิดอุเบกขา
อริยมรรคมีองค์ ๘ สัมมาทิฐิเห็นชอบ สัมมาสังกัปโป ดำริชอบ สัมมาวาจา พูดจาชอบ สัมมากัมมันโต การงานชอบ สัมมาอาชีโว เลี้ยงชีวิตชอบ สัมมาวายาโม เพียรชอบ สัมมาสติ คิดชอบ สัมมาสมาธิ ตั้งใจมั่นชอบ
๓๗ อย่าง เขาเรียกโพธิปักขิยธรรม
ญาติโยมทั้งหลายก็มาปฏิบัติสิ่งนี้ ก็เหมือนอย่าง บางคนก็ยังไม่ได้ปลูกต้นโพธิ์ บางคนก็ปลูกมาแล้ว แต่ไม่ได้เอาใจใส่ มันก็ไม่งอกงาม ก็ทำให้โพธินี้มันงอกงาม ก็จะเข้าใจธรรมะ เข้าใจว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่ตัวตน สิ่งเหล่านี้คือความรู้
ต่อไปนี้ก็ต้องปฏิบัติ ลมหายใจเข้าออกนี่ นั่นก็คือธาตุลม จิตนี้เป็นธาตุวิญญาณ หายใจเข้า จิตอยู่กับลมตามไป เมื่อวานก็ได้ฟังเทศน์ไปแล้ว หายใจเข้าก็ตามไป หายใจออกก็ตามมา วิ่งตามแล้วก็มาเฝ้าดู แล้วก็สร้างมโนภาพ นี่เป็นวิธีฝึกให้เกิดสมาธิ แล้วพอได้สมาธิเพียงพอ ก็มาดูลมหายใจเข้า ก็ไม่เที่ยง เวทนาก็ไม่เที่ยง จิตก็ไม่เที่ยง ทุกอย่างไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยงนั่นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นไม่ใช่เรา
ต่อไปโยมกลับไปอยู่ที่บ้านที่เรือน อยู่กับสังขาร แต่จิตไม่เป็นทุกข์เพราะมีปัญญา จะมีประโยชน์ ขอให้พอใจ แล้วให้ตั้งใจฝึก ต่อไปนี้