แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้ ก็ยังมีการฟังธรรมะบรรยายอานาปานสติ ที่ท่านอาจารย์ได้บรรยายไว้ การที่ญาติโยมทั้งหลายมาอยู่ที่นี่ ก็มาเพื่อปฏิบัติธรรมนั่นเอง คนทั่วไปมีบ้านมีเรือน ก็อยู่กันที่บ้านที่เรือน แต่บางคราวมีเหตุจำเป็น มีเรื่องจำเป็นก็ออกจากบ้านจากเรือนไปที่อื่น แต่ส่วนใหญ่ก็ชั่วคราว ส่วนใหญ่ก็อยู่ที่บ้านที่เรือนของตัวเอง แต่ก็มีเหมือนกันคนเข้าไปอยู่ในคุก ไปติดคุกติดตาราง แล้วก็ตายกันในคุกก็มี ก็ไม่แน่นอน ชีวิตของแต่ละคน ทีนี้สำหรับที่ญาติโยมมาอยู่กันที่ทีปภาวันนี้ จุดมุ่งหมายเพื่อมาปฏิบัติธรรม คำว่า ปฏิบัติธรรม คือ มาทำหน้าที่ ซึ่งมีอยู่หลายๆ อย่าง หน้าที่ที่เราต้องทำในชีวิตประจำวัน หน้าที่ทั่วๆ ไป ก็คือการทำมาหากิน หาเงินหาทอง หาทรัพย์เลี้ยงครอบครัว หน้าที่ที่เราเกี่ยวข้องและก็อาชีพ ทำนา ทำสวน ค้าขาย เป็นข้าราชการ ทหาร ตำรวจ แม้แต่พระสงฆ์ก็มีหน้าที่อย่างพระสงฆ์ คือศึกษาธรรมะวินัยของพระพุทธเจ้า เมื่ออยู่ได้หลายๆ ปีก็มีความรู้ ความสามารถ ก็อบรมสั่งสอนผู้ที่ไม่เข้าใจธรรมะ อันนี้คือหน้าที่ของพระสงฆ์ การปฏิบัติธรรมก็เพื่อจะทำให้ชีวิตของเรามีค่า มีประโยชน์ และมีประโยชน์แก่ตัวเอง มีประโยชน์แก่ผู้อื่น มีประโยชน์แก่โลกโดยส่วนรวม
[03:09] ทุกคนที่เกิดมาก็เหมือนๆ กัน มีรูปและก็มีนาม มีเบญจขันธ์ เบญจขันธ์ก็คือ สิ่งต่างๆ ที่เรามีอยู่ อาตมาก็ได้พูดไปแล้วว่า ขันธ์ก็แปลว่ากอง เบญจแปลว่า 5 เบญจขันธ์ คือมีกองของธรรมชาติ มีอยู่ 5 กอง กองแห่งรูป กองแห่งเวทนา กองแห่งสัญญา กองแห่งสังขาร กองแห่งวิญญาณ กองแห่งรูปก็คือรูปนั่นเอง กองแห่งเวทนา กองแห่งสัญญา กองแห่งสังขาร กองแห่งวิญญาณ นั่นก็เรียกว่านาม ฉะนั้นชีวิตของเราโดยย่อก็คือรูปกับนาม แต่พอขยายออกไปก็เป็นเบญจขันธ์ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี่เป็นธรรมชาติ เป็นของกลางๆ ไม่ดี ไม่ชั่ว แต่ผู้ใดไม่มีการปฏิบัติพัฒนา กิเลสมันจะเข้ามาอยู่ เมื่อกิเลสเข้ามาอยู่ ชีวิตของผู้นั้นก็จะเกิดปัญหา เกิดความทุกข์ เกิดความเดือดร้อน ตัวเองก็ไม่มีประโยชน์ ผู้อื่นที่เกี่ยวข้องกับผู้นั้นก็ไม่มีประโยชน์ ส่วนรวมก็ไม่มีประโยชน์ โลกก็ไม่มีประโยชน์ ที่ในตรงกันข้าม ถ้าผู้ใดได้ปฏิบัติคำสอนของพระพุทธเจ้า ชีวิตของผู้นั้นก็จะมีประโยชน์ และก็มีประโยชน์แก่ผู้อื่น และมีประโยชน์แก่โลก ประโยชน์มันคู่กับความสุข ทุกคนต้องการความสุข แต่ไม่ทำชีวิตให้เกิดประโยชน์ ความสุขมันเกิดไม่ได้
พระพุทธเจ้าสอนเรื่องประโยชน์และความสุขไว้หลายชั้นด้วยกัน
ประโยชน์อย่างโลกนี้ คือ
ถ้าใครทำสำเร็จ ผู้นั้นก็จะมีประโยชน์อย่างโลกนี้ มีความสุขอย่างโลกนี้ สุขเพราะมีทรัพย์ สุขเพราะจ่ายทรัพย์ สุขเพราะไม่เป็นหนี้ สุขเพราะหน้าที่การงานไม่มีโทษ คือไม่ผิดกฎหมายบ้านเมือง ไม่ผิดศีลธรรม บางคนก็ทำได้เขาก็ประสบความสำเร็จ
[07:28] การที่จะมีโภคทรัพย์ ทรัพย์สินเงินทองนี้ พระพุทธเจ้าก็ได้สั่งสอนเอาไว้ คือ ต้องเว้นอบายมุขคือทางเสื่อมแห่งโภคทรัพย์ มีอะไรบ้าง ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการละเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงาน ใครก็ตาม ถ้าประกอบในอบายมุขก็ไปไม่รอด ทรัพย์สินที่มีก็จะเสื่อมลงๆ กันทุกคน เกิดมาในตระกูลที่ร่ำรวย พ่อแม่มอบทรัพย์สมบัติ ในที่สุด ก็ขายหมดเพราะอบายมุขเหล่านี้ ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการละเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงาน ทีนี้ผู้ที่ต้องการจะมีโภคทรัพย์ ก็ต้องไม่ประกอบอบายมุขเหล่านี้ แต่ประกอบด้วยคุณธรรมที่ทำให้โภคทรัพย์เจริญ ที่เรียกว่า อุ อา กะ สะ
(อุ) เป็นอักษรย่อคือ อุฏฐานะสัมปทา ถึงพร้อมด้วยความขยันในการประกอบอาชีพการงานที่สุจริต ไม่ขี้เกียจ ไม่กลัวความหนาวความร้อน ได้ทรัพย์มา
(อา) อักษรย่อเหมือนกันเรียก อารักขสัมปทา คือถึงพร้อมด้วยการรักษา ได้ทรัพย์มาต้องรักษาให้ทรัพย์นั้นรอด รอดไฟไหม้ก็ได้ โจรขโมยก็ได้ หรือว่าตัวเองเอาเงินไปเล่นการพนันก็ได้ มันต้องรู้จักรักษา จะทำได้อย่างนี้ ต้องคบคนดีเท่านั้น เค้าเรียกว่า กัลยาณมิตตตา
(กะ) คือ กัลยาณมิตตตา คือมีเพื่อนที่ดี เราจะรู้จักได้ยังไงว่าคนไหนเป็นเพื่อนที่ดี คนไหนเป็นเพื่อนไม่ดี พระพุทธเจ้าได้สอนเอาไว้ว่า ผู้ใดมีศรัทธา เรียกว่ามีศรัทธาในพระพุทธศาสนา อย่างเราชาวพุทธผู้มีศรัทธาต่อ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และก็มีศีล อย่างศีลห้านี้ และก็มีจาคะ มีการเสียสละช่วยเหลือผู้อื่น ช่วยเหลือสังคม เป็นผู้สละอารมณ์ร้อน อารมณ์ร้าย และเป็นผู้ที่มีปัญญา มีความรู้ มีความฉลาดในทางธรรมะ ถ้าเราได้คนแบบนี้มาเป็นเพื่อน มาเป็นมิตร ก็ได้มิตรที่ดี
และก็มีอันหนึ่ง เลี้ยงชีพพอดี สมชีวิตา (สะ) ไม่ฟุ่มเฟือยจนเกินไป ไม่ประหยัดจนเกินไป เรียกว่าเลี้ยงชีพพอดี มีรายได้น้อยก็ใช้แต่น้อย มีรายได้มากก็ใช้ให้พอดี เขาเรียกว่า สมชีวิตา ถ้าปฏิบัติอย่างนี้ ไม่กี่ปีผู้นั้นก็จะได้รับประโยชน์อย่างโลกนี้ และก็มีความสุขอย่างโลกนี้ สุขเพราะมีทรัพย์ สุขเพราะจ่ายทรัพย์ ทรัพย์ที่ได้มา เอามาเลี้ยงดูบิดามารดา มาสงเคราะห์บุตร มาสงเคราะห์ภรรยา มาช่วยเหลือสังคม ช่วยเหลือประเทศชาติ เช่น เสียภาษีอากร เป็นต้น ไม่ใช่ว่าได้ทรัพย์มา มาเก็บไว้เฉยๆ ไม่ใช่ ต้องมาทำประโยชน์ และก็ทำให้มีความสุข สุขเพราะการจ่ายทรัพย์ และสุขเพราะไม่เป็นหนี้ หนี้สินนั้น มันเป็นพันธะทางใจ ถ้าใครมีหนี้มีสิน ก็รีบปลดหนี้สินเสียให้หมด จะได้สบายใจ สุขเพราะการมีทรัพย์ สุขเพราะการจ่ายทรัพย์ สุขเพราะไม่เป็นหนี้ สุขเพราะการงานไม่มีโทษ ประกอบอาชีพการงานที่ไม่มีโทษ คือไม่ผิดกฎหมายบ้านเมือง ไม่ผิดศีลธรรม ถ้าใครประกอบอาชีพที่ผิดกฎหมายก็จะลำบาก ไม่ว่าเป็น ชาวนา ชาวสวน ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ แม้แต่พระสงฆ์ ถ้าทำสิ่งผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรม มันก็มีปัญหา และก็ดำรงชีพให้ถูกต้อง พอมีประโยชน์ มีความสุข
แต่เพียงแค่นี้ มันไม่พอก็ต้องเลี้ยงให้สูงขึ้นไป ประโยชน์และความสุขอย่างโลกสวรรค์ สวรรค์นี้ หมายถึงความพอใจเมื่อเราได้ทำดี ทำถูกต้อง สวรรค์มันเกิด ก็เกิดมีศรัทธา มีศีล มีจาคะ มีปัญญา ผู้ใดมีศรัทธาต่อ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ใจมันก็สบายและก็มีศีล อย่างญาติโยมมาปฏิบัติ ก็ปฏิบัติสิ่งนี้ ไม่ขาดศีล ไม่ทุศีล เรียกว่าเป็นผู้มีศีล และก็มีจาคะ มีการสละอารมณ์ร้อน อารมณ์ร้าย อบรมให้มีปัญญาเพิ่มขึ้นๆ จิตใจของเราก็มีคุณธรรม มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ถ้าเรามาปฏิบัติสิ่งนี้ ให้จิตมีเมตตา รักผู้อื่น กรุณา สงสารผู้อื่น มุทิตา ยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี อุเบกขา คอยเฟ้นหาโอกาสที่จะช่วยเหลือผู้อื่น ใจของผู้นี้ก็จะเป็นสุข สุขอย่างโลกอื่น โลกสวรรค์
[15:28] ทีนี้ชาวพุทธเชื่อกันว่า คนเรานี้เกิดมาแล้วไม่ใช่ตายหนเดียว มันมีการเกิดการตาย การเกิดการตาย เวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสาร ทีนี้ถ้าเรามีคุณธรรมอย่างนี้ ถ้าโลกหน้ามีจริง ตายแล้วก็ไปสู่โลกสวรรค์ ซึ่งมีหลายๆ ชั้น เช่นพวกเทวดาชั้นกามโลก แล้วก็พวกรูปพรหม โลกที่มันสูงกว่า การจะไปสู่พรหมโลกในขณะนี้ ใจของเราก็ต้องมีพรหมวิหาร พรหมวิหารคือที่อยู่ของพรหม ก็คือมีเมตตานี่เอง ใครมีเมตตา คนนั้นก็ได้อยู่อย่างพรหม ผู้ใดมีกรุณา สงสารผู้อื่น ผู้นั้นอยู่อย่างพรหม ผู้ใดมีมุทิตา ยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี ผู้นั้นก็อยู่อย่างพรหม ผู้ใดมีอุเบกขา ผู้นั้นก็อยู่อย่างพรหม นี่ถ้าพรหมโลกมันมีจริงๆ ตายแล้วก็ไปเกิดในพรหมโลก และโดยเฉพาะฝึกสมาธิให้ได้ฌาน ฌานก็มีรูปฌาน อรูปฌาน คนที่ได้รูปฌาน ตายแล้วก็ไปสู่พรหมที่มีรูป ผู้ที่ได้อรูปฌาน ตายแล้วก็ไปสู่พรหมที่ไม่มีรูป นี่เชื่อกันอย่างนั้น และบางคนอาจจะไม่เชื่อ แต่ว่าถ้าอบรมให้มี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา หรือว่าได้ฌาน ผู้นั้นจะเห็นเอง จะรู้เอง ว่านี่ไม่ใช่จิตของคนธรรมดาสามัญแล้ว มันเป็นจิตที่ได้รับอบรม มันจึงเกิดขึ้นได้ มนุษย์ธรรมดาเนี่ย มีแต่สัญชาตญาณ รู้จักการกินอาหาร รู้จักหลับนอน รู้จักกลัวภัย รู้จักสืบพันธ์ุ นี่จิตธรรมดา แม้อย่างสัตว์เดรัจฉานทั่วไปก็มีสิ่งนี้
ทีนี้ถ้าได้อบรม เค้าเรียกว่า ภาวิตญาณ สัญชาตญาณมันไม่พอ ต้องมีภาวิตญาณ คือได้อบรมจากสัญชาตญาณนี้ โดยเฉพาะการกลัวตาย มนุษย์ก็มีความกลัวตาย ทีนี้อะไรที่ช่วยให้ไม่กลัวตาย ก็คืออบรมให้มีคุณธรรมนี้ ถ้าคนอบรมคุณธรรมก็ไม่กลัวตาย ในระดับศีลธรรม เขาก็ไม่กลัวตาย เพราะว่าทำบุญ ทำกุศลไว้มาก ตายแล้วก็ไปสู่โลกที่ดีกว่า เพราะฉะนั้นคนที่มีคุณธรรมเค้าก็ไม่กลัวตาย ทีนี้ถ้าได้อบรมจิตใจให้มีปัญญา เข้าใจว่าสังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน ถ้าใครทำได้ถึงขั้นนี้ความตายก็ไม่มีปัญหา ฉะนั้นการที่โยมทั้งหลายได้มาปฏิบัติ ก็คือมาทำให้ชีวิตของเรามีคุณมีค่า มีประโยชน์แก่ตัวเอง มีประโยชน์แก่ผู้อื่น แต่การปฏิบัติธรรมเพียง 4-5 วัน มันไม่พอ ต้องปฏิบัติธรรมไปตลอดชีวิต และมาปฏิบัติธรรมที่นี่ ได้ยิน ได้ฟัง ได้อบรม ก็ได้รับผล อาตมาเชื่อว่าโยมทุกคนก็ได้รับผลในการปฏิบัติไม่มากก็น้อย ถ้าไม่ทิ้งเสีย ไปปฏิบัติเรื่อยๆ มันก็ก้าวหน้าไปเอง ฉะนั้นธรรมะของพระพุทธเจ้าช่วยให้ชีวิตของเราทุกขั้นทุกตอนมันมีประโยชน์ ฉะนั้นขอให้โยมทุกคนพอใจในการที่ได้มาปฏิบัติธรรม ความพอใจนี้มันเป็นความสุขว่าชีวิตของเราที่เกิดมาไม่สูญเปล่า เป็นชีวิตที่มีค่า มีประโยชน์ บางคนเกิดมา มาสร้างปัญหา ทำความเดือดร้อน ตัวเองก็เอาตัวรอดไม่ได้ มาสร้างปัญหาให้แก่ครอบครัว บิดามารดาก็พลอยเดือดร้อน ญาติพี่น้องก็พลอยเดือนร้อน ถ้าเป็นอย่างนี้ ชีวิตไม่มีค่า ชีวิตของเราเป็นของกลางๆแล้วแต่เราจัดการ
นี้อย่างสถานที่ ยกตัวอย่างว่า ทีปภาวันแห่งนี้ เมื่อก่อนมันไม่เป็นอย่างนี้ เมื่อก่อนน้อยคนที่จะขึ้นมาบนภูเขาแห่งนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะขึ้นมาทำอะไร แต่ว่ามีบางคนก็ขึ้นมายิงสัตว์ แต่ก่อนสมุยนี้ ยังมีหมูป่า มีอีเก้ง แล้วก็มีกระรอก มีนก พอได้ยินเสียงปืน แต่เดี๋ยวนี้เสียงปืนมันไม่มี แต่มีเสียงระฆัง ดังเช้าดังเย็น มีเสียงไหว้พระสวดมนต์ มีคนขึ้นมาทั้งคนไทยและชาวต่างประเทศ ทำไมจึงเป็นอย่างนี้ เพราะเราจัดการ ร่วมมือกันจัดการ ร่วมมือกันสร้าง ทำให้ทีปภาวันเกิดขึ้นมา ที่อื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน อย่างที่สวนโมกข์นานาชาติ เมื่อก่อนเจ้าของที่ดินเขาปลูกมะพร้าว ต่อมามะพร้าวไม่ค่อยได้ผล เขาก็ขาย พอท่านอาจารย์พุทธทาสไปซื้อสร้างสวนโมกข์นานาชาติ เดี๋ยวนี้สวนโมกข์นานาชาติ คนรู้จักกันทั่วโลก อบรมฝรั่งเป็นหมื่นๆ นี้เพราะจัดการ เหมือนกับชีวิตของเรา แล้วแต่เราจะจัดการ ฉะนั้นโยมลองพิจารณาดูว่า ชีวิตที่ผ่านมา เราจัดการชีวิตของเราเป็นอย่างไรบ้าง ก็มาเรียนรู้ สิ่งใดที่ผิดก็เลิกเสีย อย่าทำอีก เพราะว่าขืนทำมันก็เหมือนเดิม ไม่มีประโยชน์ก็เลิก แม้แต่ของง่ายๆ เลิกสูบบุหรี่ เลิกกินเหล้า เลิกอบายมุข เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นไม่มีประโยชน์ เลิกเสีย แล้วก็มาทำสิ่งที่ดีที่งาม ชีวิตมันก็เปลี่ยน ชีวิตจะเปลี่ยน อยู่ที่จิตใจของเรา เข้าใจว่าอะไรถูก อะไรผิด ถ้าเราไม่เข้าใจว่าอะไรถูก อะไรผิด มันก็ทำผิดๆ ถูกๆ ส่วนใหญ่คนก็ทำผิดมาก พอทำผิดมากก็เดือดร้อนมาก เป็นทุกข์มาก แต่พอได้ยินได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้า เราก็ทำไปในทางที่ถูกและก็ถูกไปเรื่อยๆ ชีวิตก็ก้าวหน้า
[24:53] ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมมันมีหลายระดับ ระดับธรรมดา ระดับศีลธรรม ระดับโลกียธรรม แต่ระดับสูงนั้น ก็คือระดับที่คนเข้าใจยาก ระดับปรมัตถสภาวธรรม คือธรรมะที่มันเข้าใจยาก แต่ว่าถ้ามันตั้งใจที่จะเข้าใจ ก็จะค่อยเข้าใจไปเรื่อยๆ ที่เรามาปฏิบัติธรรมในสถานที่อย่างนี้
ฉะนั้นชีวิตของเรามันเป็นแต่เพียงสังขารธรรม แต่ว่าถ้าเราใช้เพื่อปฏิบัติธรรม สังขารธรรมนี้ มันจะนำชีวิตของเราไปสู่ วิสังขาร คือ พระนิพพาน
ต้องฟังบ่อยๆ ถึงจะเข้าใจและปฏิบัติ และต่อไปนี้ก็ปฏิบัติกัน คืออบรมสติปัฏฐาน 4 คือให้จิตอยู่กับกายบ้าง จิตอยู่กับเวทนาบ้าง จิตอยู่กับจิตบ้าง แล้วก็จิตอยู่กับธรรมะบ้าง ให้จิตอยู่กับลมหายใจเข้า หายใจออก ก็เรียกว่ามาตามเห็นกายในกาย ปฏิบัติไปๆ จิตก็มีสมาธิ เรียกว่าได้ความอิ่มใจ ได้ปีติ ได้ความสุข ก็มาตามเห็นเวทนาในเวทนา และก็มารู้จักจิตว่าขณะนี้เป็นจิตชนิดไหน ถ้าได้อบรมก้าวหน้ามาตามลำดับ ก็มีจิตที่ดี จิตที่บันเทิงรื่นเริง จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ จิตปล่อยจิตวาง วางกิเลส วางอารมณ์ร้อนอารมณ์ร้ายทั้งหลาย จิตก็มีความสุขสูงขึ้นเรื่อย สูงขึ้นเรื่อย ต่อไปพร้อมที่อบรมปัญญาที่เรียกว่า วิปัสสนา ก็คือเห็นว่าสิ่งเหล่านี้มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันไม่มีตัวตน และก็ปฏิบัติอย่างนี้ทำไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าจะปฏิบัติ 4 วัน 5 วัน จะสำเร็จ มันไม่ใช่ แต่ว่ามีบางคนเข้าใจได้ ใช้เวลาไม่นาน แต่บางคนใช้เวลาเป็นสิบๆ ปี จึงจะค่อยเข้าใจ แต่ว่าถ้าปฏิบัติจะเข้าใจได้ นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบ เอาล่ะ ต่อไปก็ปฏิบัติ