แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมทั้งหลายที่ได้มีโอกาสขึ้นมาพักแรม ที่เรียกว่าทีปภาวัน เพื่อมาศึกษาโลกข้างใน โลกมีอยู่หลายชนิด เพราะพระพุทธเจ้าเป็นโลกวิฑู
ที่เราสวดสรรเสริญพระคุณของพระพุทธเจ้า แต่ละบทๆ สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจรณสัมปันโน สุคโต โลกวิฑู อนุตตโร ปุริสทัมมสารถิ สัตถา เทวมนุสสานัง เป็นบทๆ คือพระคุณของพระพุทธเจ้า
พระคุณของพระพุทธเจ้าไม่สามารถคำนวณด้วยตัวเลขว่ามีมากขนาดไหน แต่สามารถสมทบพระคุณของพระพุทธเจ้าทั้งหมด ลงในพระคุณ ๙ อย่าง ตั้งแต่ อรหัง คือเป็นพระอรหันต์ สัมมาสัมพุทโธ ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง วิชชาจรณสัมปันโน เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ แต่ละบทๆ จนกระทั่งถึงโลกวิฑู พระองค์รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง
ทีนี้ โลกที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ของพระพุทธศาสนา หนึ่ง สังขารโลก ก็ต้องรู้จักคำของคำว่า โลกเสียก่อน ว่ามีความหมายว่าอย่างไร โลกแปลว่าสิ่งที่จะต้องแตกดับ สิ่งที่จะต้องแตกดับ ด้วยเหตุด้วยปัจจัยอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็เรียกว่าโลก ซึ่งมีอยู่หลายชนิด เช่น สังขารโลก คำว่าสังขาร คือสิ่งที่มีเหตุมีปัจจัยปรุงแต่ง เรียกว่าสังขาร เช่น ชีวิตของเราประกอบด้วยธาตุต่างๆ เช่น ธาตุ ๖ คือธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุอากาศ ธาตุวิญญาณ
มนุษย์เราที่มีชีวิตอยู่นี่ ก็ประกอบไปด้วยธาตุ ๖ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ก็อยู่ในเรานี้เอง ถ้าจำแนกธาตุเหล่านี้ออกไป ก็มีมากมาย
ความหมายของธาตุดิน คือคุณสมบัติที่มีลักษณะแข็ง เข้มแข็ง กินเนื้อที่
คุณสมบัติของธาตุน้ำคือลักษณะเกาะกลุ่ม ยกตัวอย่างว่า น้ำเอาอะไรไปโยนให้มันแยกจากกัน มันก็จะคืนกลับมาเกาะตัวกัน คือธาตุน้ำ
ธาตุลมคือคุณสมบัติที่มันเคลื่อนไปเคลื่อนมาในร่างกายของเราก็มีหลายอย่าง ธาตุไฟมีลักษณะที่เผาไหม้ ธาตุอากาศคือธาตุว่าง
ธาตุวิญญาณเป็นธาตุจิตที่รู้อะไรได้ ไม่ตายรู้ รู้ว่าเป็นรูปอะไร เรียกว่าวิญญาณธาตุ รวมอยู่ในชีวิตของเรา ธาตุทั้งหมดนี้เป็นสังขาร และเรียกชื่อว่าสังขารโลก ดังนั้นชีวิตของเรา คือโลกอย่างหนึ่ง
ทีนี้ ความหมายของสังขารมันกว้าง ทุกอย่างเป็นสังขารทั้งหมดยกเว้นแต่พระนิพพานเท่านั้น นี้เป็นธรรมชาติ เป็นสังขาร สังขารโลก โอกาสโลก คือโลกที่ล่องลอยอยู่ในอวกาศ คือโลกแผ่นดินนี้เอง ลอยอยู่ในอวกาศ
ญาติโยมทั้งหลายเชื่อว่าหลายคนได้อ่านเรื่องดาราศาสตร์ที่เกี่ยวกับดวงดาว โดยเฉพาะระบบสุริยจักรวาลซึ่งมีมากมาย สุริยจักรวาลคือพระอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง และมีดาวเคราะห์ที่คอยหมุนอยู่รอบๆดวงอาทิตย์ ซึ่งมีอยู่หลายดวง เช่นพระอาทิตย์ที่เกี่ยวข้องกับโลกของเรา ก็มีดาวเคราะห์ เช่นโลกมนุษย์เรา แล้วก็ดาวพระอังคาร ดาวพระพุธ ดาวศุกร์ ดาวเสาร์ นี่ก็มนุษย์สมมติเรียกกันขึ้นมา
แม้โลกของเราก็มีพระจันทร์เป็นบริวาร โคจรไปรอบๆโลกของเรา โลกของเราก็โคจรรอบๆดวงอาทิตย์ หมุนตัวเองตลอดเวลา เมื่อก่อนโลกของเราเราไม่สามารถจะมองเห็น แต่เดี๋ยวนี้เราสามารถมองเห็นโลกที่เราอาศัยอยู่นี้สวยงามมาก ถ้าเปรียบเทียบกับพระจันทร์ พระจันทร์ที่ว่าสวย แต่ก็สู้โลกที่เราอาศัยอยู่นี้ไม่ได้ เพราะโลกพระจันทร์ไม่มีน้ำ แต่ว่าโลกที่เราอาศัยอยู่นี้ มีน้ำมากมายหลายส่วน แผ่นดินนี้ก็ส่วนหนึ่ง คือไม่กี่ส่วน นอกนั้นก็เป็นน้ำ เป็นมหาสมุทร เป็นทะเล ก็น่าอัศจรรย์ มันเป็นโลกที่อยู่ภายนอก เรียกว่าโอกาสโลก แต่ว่าดวงดาวทุกดวง พระอาทิตย์ก็มีมากมาย ไม่ใช่ดวงเดียว ทั้งหมดเป็นสังขารโลก
แล้วก็สัตวโลก โลกคือหมู่สัตว์ สัตว์มนุษย์อย่างพวกเรานี้เป็นสัตว์มนุษย์ แล้วก็สัตว์เดรัจฉาน สัตว์มนุษย์คือเจริญเติบโตสูงขึ้นไปข้างบน สัตว์เดรัจฉานมันเจริญเติบโตไปทางขวาง ถ้าเป็นช้าง เป็นวัว เป็นควาย เป็นงู เป็นอะไร มันเจริญไปในทางขวาง มนุษย์เจริญเติบโตสูงขึ้นมาข้างบน
บรรดาสัตว์ทั้งหลาย ไม่มีสัตว์ชนิดไหนที่มีมันสมองโตเท่ากับสัตว์มนุษย์ สัตว์เดรัจฉานบางชนิดโตมาก เช่น ช้างเป็นต้น แต่มันสมองก็ไม่ใหญ่เท่ากับร่างกายของมัน เพราะฉะนั้น มนุษย์เป็นสัตว์ที่ฉลาดที่สุด สามารถที่จะศึกษาเรียนรู้มากกว่าสัตว์เดรัจฉานทุกชนิด
เพราะฉะนั้น มนุษย์สามารถจับสัตว์ป่า เช่น เป็นช้าง เป็นวัว เป็นควาย เอามาใช้งานได้ เอามาฝึกได้ เพราะมนุษย์มีมันสมองที่โตกว่าสัตว์เดรัจฉานมาก สามารถที่จะเรียนรู้ สามารถที่จะพัฒนา
สัตว์เดรัจฉานกี่พันกี่หมื่นปี มันก็เหมือนเดิม ไม่สามารถที่จะทำอะไรพิเศษกว่าบรรพบุรุษของมัน มีแต่สัญชาตญาณ รู้จักกินอาหาร รู้จักหลับนอน รู้จักกลัวภัย รู้จักสืบพันธุ์
แต่มนุษย์เรานี้ ถ้าศึกษาเรียนรู้ก็จะมีความสามารถ เดี๋ยวนี้เรียกว่าสามารถสิ่งต่างๆที่ปู่ย่าตายายไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยินได้ฟัง แต่ว่ามนุษย์ปัจจุบันสามารถรู้หมด เอาโลกทั้งหมดมาดูในฝ่ามือ เช่น โทรศัพท์มือถือ หรืออุปกรณ์ดีๆ เรียกหลายๆชื่อ ต้องการจะรู้อะไร ก็รู้ได้หมด ต้องการจะติดต่อกับใครที่อยู่ไกลถึงต่างประเทศ ก็รู้ได้หมด เรียกว่าก้าวหน้ามาก
เพราะฉะนั้น มนุษย์ก็ได้รู้จักเพื่อนมนุษย์ที่อยู่ร่วมโลก ชาตินั้น ชาตินี้ ผิวดำ ผิวขาว ผิวเหลือง คนต่างชาติ แต่ว่ามีปัญหาอยู่อย่างเดียว เรื่องภาษา ถ้าไม่เรียน ไม่ศึกษาก็พูดกันไม่ได้ เข้าใจกันไม่ได้ แต่ว่ามนุษย์สามารถเรียนรู้ ถ่ายทอดเรื่องภาษา บางคนจึงเรียนภาษาได้หลายภาษา นอกจากภาษาของตัวเองเรียกว่า ภาษาพ่อ ภาษาแม่
เด็กๆเกิดมาก็ต้องเรียน พ่อแม่พูดอย่างไรเด็กๆก็พูดได้ เรียกว่าภาษาพ่อ ภาษาแม่ แต่บางคนตั้งใจที่จะเรียนรู้ภาษาของคนอื่น ชาติอื่นก็รู้หลายภาษา เพราะตั้งใจที่จะเรียนรู้ ฉะนั้น มนุษย์เราได้รู้จักเพื่อนร่วมโลกที่เป็นคน เป็นมนุษย์
คนเราที่เกิดมานี้เป็นคนก่อน เป็นคน คอ ควาย นอ หนู เรียกว่าคนภาษาไทย มาจากคำว่าชน ชนะ คือ ชอ ช้าง นอ หนู ชนแปลว่าผู้ที่เกิดมา แต่ยังไม่เป็นมนุษย์ มนุษย์แปลว่าผู้มีใจสูง เป็นภาษาบาลีหรือภาษาสันสกฤต มนะ แปลว่าใจ อุษยะแปลว่าสูง ผู้มีใจสูงจึงจะเรียกว่ามนุษย์ ถ้าจิตใจยังไม่สูงก็เป็นแต่เพียงคน
ทีนี้ คนก็มีหลายชนิด เรียกว่าพาลชน พาลชนคือคนพาล คนโง่ คนปัญญาอ่อน ก็ยังมี อันธพาลแปลว่าโง่อย่างมืดบอด อันธะแปลว่ามืด แปลว่าบอด พาละคือปัญญามันอ่อน ปัญญาน้อย ปัญญามันมืด มันบอดก็เพราะไม่มีการอบรม โดยเฉพาะอบรมจิตใจนั่นเอง
เพราะฉะนั้น โยมทั้งหลายได้มาปฏิบัติธรรมที่นี่ ก็มาพัฒนาโลกข้างใน คือในจิตใจของญาติโยมทั้งหลายนี่เอง เป็นโลกภายในซึ่งมีมากเหลือเกิน คือความคิดของเรานี่เอง คิดอย่างนี้ โลกอย่างนี้มันก็เกิด คิดอีกอย่างหนึ่งโลกอย่างอื่นมันก็คอยเกิด คือโลกในจิตใจนี้สำคัญมาก
โลกทางร่างกายเหมือนๆกันหมด เราก็ผ่านวัย ตั้งแต่วัยทารก เป็นโลกของเด็กทารก โตขึ้นมาเป็นโลกของเด็กวัยเรียน นักเรียนชั้นประถม มัธยม แล้วก็เข้าสู่วัยหนุ่ม วัยสาว โลกของคนหนุ่มสาว เป็นโลกแห่งความสวยความงาม แล้วก็ผ่านไป จนกระทั่ง เป็นวัยที่มีเหย้า มีเรือน มีครอบครัว นี่เป็นธรรมชาติที่สัตว์โลกมีชีวิตอยู่ได้ เพราะการสืบพันธุ์ระหว่างเพศหญิงเพศชายเกี่ยวข้องกัน ก็ทำให้เกิดสัตว์โลกขึ้นมา ชีวิตของคนก็เข้าสู่วัยพ่อบ้าน แม่เรือน เป็นโลกของพ่อบ้าน แม่เรือน เป็นโลกที่ต้องรับภาระเหน็ดเหนื่อยในการเลี้ยงดู โดยเฉพาะมารดามีภาระมาก
ผู้หญิง ผู้ชาย ความทุกข์ผู้หญิงจะมากกว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างนั้น ทุกข์บางชนิดผู้ชายไม่มี ผู้หญิงต้องอุ้มครรภ์ ผู้ชายไม่ต้องอุ้มครรภ์ ไม่มีประจำเดือนเหมือนกับผู้หญิง แต่ไม่ใช่ทุกคน ผู้ที่มีครอบครัวที่มีลูกไม่ได้ก็ต้องผ่านชีวิตอย่างนี้ ผู้หญิงมีการคลอดบุตร ผู้ชายไม่มีการคลอดบุตร
ทีนี้ พอคลอดบุตรมาแล้ว ก็ต้องเลี้ยงดู พ่อกับแม่นี่ความรู้สึกรักลูก แม่จะรักลูกมากกว่าพ่อ เพราะลูกอยู่ในครรภ์ของตัวเองตั้งหลายเดือน เลี้ยงดูทะนุถนอม ชีวิตของเราที่ผ่านมาได้เพราะมีมารดาเลี้ยงดู
มารดาที่เลี้ยงดูบุตรได้ ต้องมีคุณธรรม ต้องมีเมตตา รักลูก กรุณา สงสารลูก ยินดีเมื่อลูกได้ดีเจริญเติบโต คุณธรรมเหล่านี้มีในมารดาของเรา บิดาก็มี แต่มารดามากกว่า เพราะฉะนั้น ลูกที่จะดีหรือไม่ดี เพราะมารดานี้เอง เพราะแม่นี้เอง ชีวิตของเราก็ได้ผ่านมา
ทีนี้ เข้าสู่วัยพ่อบ้าน แม่เรือนก็เป็นโลก แล้วก็ผ่านเข้าสู่วัยชรา เป็นโลกของคนแก่ คนชรา จะเป็นหู เป็นตา เป็นร่างกาย เนื้อหนัง มันก็เปลี่ยนไป ในที่สุดก็เจ็บ ป่วย แล้วก็ตาย
ชีวิตของมนุษย์ ชีวิตของสัตว์เดรัจฉานเหมือนกันหมด เพราะว่าชีวิตของเรามันเป็นสังขาร สังขารโลก ตามร่างกายมันเป็นอย่างนี้ แต่ว่าจิตใจมันคนละอย่าง มันไม่เหมือนกับทางร่างกาย จิตใจมันไม่รู้จักแก่เหมือนกับร่างกายแก่ บางคนร่างกายแก่แล้ว แต่จิตใจยังเหมือนกับเด็กๆ คือจิตไม่ได้พัฒนา จิตไม่ได้เรื่อง จิตยังจมอยู่ในกามโลก
แต่จิตใจนี้ มันมีหลายโลก กามโลก รูปโลก อรูปโลก คือความรู้สึกของจิต ถ้าจิตครุ่นคิด หมกมุ่นอยู่ในเรื่องสวย เรื่องงาม เรื่องกามารมณ์ คือจิตมันไม่เลื่อน แล้วกามโลกเป็นโลกที่มีความทุกข์มาก เดือดร้อนมาก คนเบียดเบียนกัน รบราฆ่าฟันกัน ก็เพราะจิตมันไม่ได้เลื่อน อยู่ในกามโลกนั้นเอง
ทีนี้ ถ้ามนุษย์ได้ยินได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า และก็สนใจปฏิบัติ จิตก็จะเลื่อนสูงขึ้นๆ ทีนี้ ในกามโลกมันยังมีโลกอื่น ก็เรียกว่าทุคติโลก สุคติโลก
ทุคติโลกคือโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ที่กล่าวในพระคัมภีร์ คือ นรก เปรต สัตว์เดรัจฉาน อสูรกาย ทั่วๆไป เข้าใจว่ามันอยู่ข้างนอก อยู่ที่โลกอื่น โลกนรกก็มีอยู่หลายๆชั้น หลายๆขุม อยู่ใต้โลกนี้
เมื่อก่อนมนุษย์คิดว่าโลกของเรามันแบนๆ โลกมันแบน ไม่ใช่โลกกลม นรกก็อยู่ใต้ดิน เปรตก็อยู่อีกโลกหนึ่ง สัตว์เดรัจฉานก็อยู่กับมนุษย์บ้าง อยู่กับพวกมันเองบ้าง ตามป่า ตามเขา ทุ่งนา
อสูรกายก็คือสัตว์ชนิดหนึ่งที่ไม่มองเห็นด้วยตา อสูรกาย แต่จริงๆคือสภาพจิตของมนุษย์เรานี่เอง นรกที่ร้อนใจ เมื่อเราทำผิด ทำผิดไม่มีคุณธรรม ไปทำอะไรผิด เช่น ไปฆ่าเขา ไปลักของๆเขา ไปล่วงเกินของรักของเขา จิตใจก็จะเป็นทุกข์ จิตใจจะไม่สบาย ก็เหมือนกับตกนรกในปัจจุบันนี้อยู่แล้ว
ทีนี้ ถ้าเชื่อว่านรกมีจริง ก็จิตชนิดนี้ที่จะไปสู่นรก เรียกว่าทุคติ เปรตก็คือความหิว ความอยาก ความต้องการไม่รู้จักพอ จะเป็นธรรม ไม่เป็นธรรม ต้องการจะได้ฝ่ายเดียว ไม่รู้จักพอ จึงเป็นเหตุให้เบียดเบียนกัน ฉ้อโกงกัน ลักขโมยกัน เรียกว่าเป็นเปรต
สัตว์เดรัจฉานคือความโง่ สิ่งที่ไม่ควรจะโง่ก็โง่ ก็คือสัตว์เดรัจฉาน อสูรกายคือขลาดกลัว ริษยาก็คืออาการของอสูรกาย คือกลัวว่าคนอื่นจะดีกว่าเรา จะเก่งกว่าเรา จะก้าวหน้ากว่าเรา เรียกว่าอสูรกาย
โลกของคนปุถุชน จิตใจทั่วไปก็จะเป็นอย่างนี้ ไม่อยากให้คนอื่นได้ดิบได้ดีเพราะกลัวว่าเขาจะดีกว่า เรียกว่าขลาดกลัวในการที่จะทำคุณงามความดี ว่าทำไม่ได้ กลัวล่วงหน้า กลัวไว้ก่อน คือลักษณะอสูรกาย ถ้าจิตใจของเรามีอาการอย่างนี้ คืออยู่ในทุคติโลก
ทีนี้ สุคติโลกคือโลกที่มีความสุข จนกระทั่งเรียกว่าสวรรค์ สวรรค์คือที่ๆมีอารมณ์เลิศ คนทั่วไปคิดว่าสวรรค์อยู่บนฟ้า จริงสวรรค์มันอยู่ในชีวิตประจำวัน เมื่อเราได้ทำคุณงามความดี สวรรค์มันก็เกิดขึ้น สุคติโลกก็นับตั้งแต่มนุษย์ จนกระทั่งเทวดาหลายๆชั้น นี้เป็นชั้นสวรรค์
ถ้าสวรรค์มันมีจริง ก็มาจากจิต จิตที่เราได้สวรรค์อยู่ในชีวิตประจำวัน คือพอใจที่เราได้ทำคุณงามความดี เรียกว่าสวรรค์มันเกิดอยู่ในชีวิตประจำวัน ก็มีตัวอย่างนิทานเซน น่าสนใจมาก เรื่องนรก เรื่องสวรรค์ ว่าอาจารย์ที่มีชื่อเสียง พระเซนรูปหนึ่งมีชื่อเสียงมาก ต่อมามีนักดาบซามูไร ก็มาถามพระอาจารย์รูปนี้ว่า นรกสวรรค์มีจริงไหม อาจารย์ก็ย้อนถามว่า คุณเป็นใคร เขาก็บอกว่า เขาเป็นนักดาบซามูไร อาจารย์ก็พูดว่า หน้าตาอย่างนี้ ไม่น่าเชื่อว่าเป็นนักดาบซามูไร เขาก็ชักดาบออกมา ด้วยความโกรธ อาจารย์ก็บอกว่า ดาบแบบนี้ฟันฉันไม่ได้ เขาก็เงื้อดาบที่จะฟัน อาจารย์บอกว่า นี่.นรกๆเกิดแล้ว ก็ได้สติ ก็ก้มลงกราบ อาจารย์บอกว่า นี่.สวรรค์เกิดแล้ว
นักดาบซามูไรคนนั้น ก็เข้าใจแล้วว่า นรกสวรรค์จริงๆมันอยู่ที่จิตใจของเรานี้เอง โดยเฉพาะ เช่น เราโกรธ หรือว่าทำอะไรเจ็บร้อนใจ นรกมันเกิด หิวกระหาย อยาก อยากได้ ไม่ใช่หิวอาหาร หิวอาหารไม่ได้เป็นเปรต มันป็นธรรมชาติของร่างกาย แต่จิตใจที่ไม่รู้จักพอ มีความอยากได้เท่านี้ จะเอาเท่านั้น อันนั้นคือเปรต อสูรกายคือขลาดกลัว แม้แต่ริษยาก็เป็นพวกอสูรกาย สัตว์เดรัจฉาน นี่เป็นทุคติโลก
ทีนี้ พอญาติโยมทั้งหลายมาปฏิบัติ จิตมันก็เลื่อน เลื่อนจากโลกที่ต่ำให้สูงขึ้นมาสู่สุคติโลก ตั้งแต่มนุษย์คือผู้มีใจสูง คือมีคุณธรรม เช่น เรามาถือศีลอย่างนี้ มาถือศีล ๕ มาปฏิบัติศีล ๕ ไม่ฆ่า ไม่ลัก ไม่ล่วงเกินของรัก ไม่โกหก ไม่เสพของมึนเมา ไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อ เป็นทางแห่งสุคติ เราก็เลื่อนสูงขึ้นไปมาถึงรูปโลก ก็คือฝึกสมาธินี้ ลมหายใจเข้าออกมันไม่ใช่กาม กามหมายถึงรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ก็เรียกว่ากามคุณ คนมีรูปร่างหน้าตาอย่างนี้ สุ้มเสียงอย่างนี้ นี่เป็นพวกกามคุณ ถ้าเราไปครุ่นคิดถึงเรื่องสวย เรื่องงาม เรื่องเพศ ก็อยู่ในเรื่องกามรูป
ทีนี้ ญาติโยมทั้งหลายก็มาฝึกสมาธิระบบอานาปานสติ ตั้งต้นจากอยู่กับลมหายใจเข้ายาว อานาปานสติขั้นที่ ๑ เมื่อจิตของญาติโยมอยู่กับลม หายใจเข้ายาว ออกยาวได้ ก็จะศึกษาขั้นที่ ๒ ลมหายใจเข้าสั้น ออกสั้น แล้วก็เปรียบเทียบว่า อันไหนเป็นจิตของเรา อยู่อันไหนสบายกว่า ก็พยายามที่อยู่กับอันนั้นให้มาก ระหว่างลมหายใจเข้ายาวออกยาว เข้าสั้นออกสั้น
เมื่อจิตอยู่กับลมหายใจเข้ายาว ออกยาวจะสบายกว่า ก็ปฏิบัติขั้นนี้ให้มาก ปฏิบัติไปๆ จิตก็อยู่กับรูปโลก จิตก็ได้สมาธิ ได้ฌาน ก็เรียกว่ารูปฌาน ฌานที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ถ้ามีโอกาสจะอธิบายความหมายไว้
ฌาน แต่ละฌานมีความหมายอย่างไร มีบางคนก็ปฏิบัติจิตได้สมาธิชั้นสูงเรียกว่าอรูปฌาน มี ๔ ชั้นเหมือนกัน ก็ได้อยู่กับอรูปโลก ตามพระคัมภีร์อธิบายว่า คนที่ได้ฌานเหล่านี้ ตายแล้วไปอยู่กับพรหม รูปพรหม อรูปพรหม อธิบายตามพระคัมภีร์เรียกว่า ความจริงในชีวิตประจำวันนี้ มันมีโลกต่างๆคอยเกิด คอยดับ คอยเกิด คอยดับ โลกภายนอกก็คอยเกิด คอยดับ โลกภายในจิตใจก็คอยเกิด คอยดับ
ทีนี้ โลกที่สำคัญที่สุดก็คือความทุกข์นี้เอง ความทุกข์ พระพุทธเจ้าเรียกว่าโลก ดับทุกข์เรียกว่าดับโลก อันเดียวกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ คือเรื่องอริยสัจ อริยสัจคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบ ถ้าเขาถามชาวพุทธว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้ พระองค์รู้อะไร ก็ต้องตอบให้ได้ทันทีว่า พระองค์รู้เรื่องอริยสัจ อริยะแปลว่าประเสริฐ หรือไกลจากข้าศึก สัจจะคือความจริง
ถ้าใครรู้แล้ว จะไกลจากข้าศึกคือกิเลส รู้จักทุกข์ว่าเป็นอย่างนี้ๆ เหตุให้เกิดทุกข์เป็นอย่างนี้ๆ ความดับไม่เหลือทุกข์เป็นอย่างนี้ๆ ทางถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์เป็นอย่างนี้ๆ ก็เรียกว่าอริยสัจ
แต่การรู้อริยสัจจริงๆ ไม่ใช่รู้แบบอ่านหนังสือ รู้แบบเข้าใจต้องเกี่ยวกับญาณ ญาณคือปัญญาต่างๆ ก็เรียกว่าสัจจญาณ กิจจญาณ กตญาณ ต้องเกี่ยวกับญาณ ๓ ชนิด จึงเรียกว่ารู้อริยสัจสมบูรณ์ เช่น รู้ว่าทุกข์เป็นอย่างนี้ๆ เป็นสัจจญาณ ทุกข์เป็นสิ่งที่ต้องรู้ ต้องเข้าใจ เขาเรียกว่ากิจจญาณ ทุกข์ได้รู้ ได้เข้าใจแจ่มแจ้งแล้วเรียกว่ากตญาณ สมุทัย เหตุแห่งการเกิดทุกข์เป็นอย่างนี้ๆ เขาเรียกสัจจญาณ สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์เป็นสิ่งที่ต้องละเสีย เขาเรียกกิจจญาณ คือพยายามละเหตุแห่งความทุกข์ เหตุแห่งเกิดทุกข์ละได้
แล้วกตญาณ ของเรามันยังละเหตุแห่งเกิดทุกข์ไม่ได้ มาถึงนิโรธ ความดับทุกข์เป็นอย่างนี้ๆ เขาเรียกสัจจญาณ
นิโรธนี้เป็นสิ่งที่ต้องทำให้แจ่มแจ้ง ให้เข้าใจแจ่มแจ้ง เขาเรียกจิตญาณ ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ แต่เข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว เขาเรียกกตญาณ มาถึงมรรค มรรคเป็นอย่างนี้ๆ เขาเรียกสัจจญาณ มรรคเป็นสิ่งที่ต้องอบรมให้เกิดมี ที่เราปฏิบัตินี้ คืออบรมให้ศีล สมาธิมันเกิดขึ้นมา ต้องอบรมให้เกิด ให้มันมีขึ้น เขาเรียกว่ากิจจญาณ มรรค ถ้าทำให้เกิดขึ้นแล้ว เรียกกตญาณ ของเรามันยังขาดกตญาณ คือยังทำไม่สำเร็จ ก็พยายามที่จะทำ ทำไปเรื่อยๆ มันก็ก้าวหน้าไปเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้น อริยสัจมันอันเดียวกับทุกข์ พระพุทธเจ้าตรัสว่าทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับไม่เหลือทุกข์ ทางแห่งความดับไม่เหลือทุกข์ นี่คือเรื่องอริยสัจ
เหตุบางคราวพรหมโลก เหตุให้เกิดโลก ความดับไม่เหลือแห่งโลก ทางถึงความดับไม่เหลือแห่งโลก โลกในที่นี้ก็คือทุกข์ ทุกข์นั่นเอง
ญาติโยมทั้งหลายก็ได้มาศึกษาโลกภายในจิตใจของตัวเอง เพราะฉะนั้น ถ้าเราเข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้า เราก็จะได้เลื่อนชีวิตให้สูงขึ้นๆ
ขอให้ญาติโยมทั้งหลายพอใจ ความพอใจเรียกว่าฉันทะ เป็นอิทธิบาท หนทางที่จะทำให้สำเร็จ เขาเรียกอิทธิบาท ๑. ฉันทะคือพอใจ ๒. วิริยะ เพียรกระทำ เพียรเรื่อย ไม่หยุดทำเรื่อย แล้วก็จิตตะ เอาใจใส่ เอาใจใส่ตลอดเวลา เอาใจใส่จิตใจของเรา คิดอย่างไร นึกอย่างไร รู้ รู้จักหน้าตาของมัน และวิมังสา ใคร่ครวญพิจารณา แก้ไขให้จิตใจมันเดินตรงทาง นี่คือการปฏิบัติ
อาตมาก็บรรยายความรู้ให้ญาติโยมทั้งหลายฟัง เป็นอริยทรัพย์ เขาเรียกว่าพหุสัจจะ ได้ยินได้ฟังเพิ่มขึ้น ถ้าโยมต้องการรู้มาก ก็ต้องอ่านหนังสือ อ่านตำรา ต้องเสียเวลาไม่น้อย อาตมานี้เป็นพระ มีเวลาว่างเยอะ นอกจากปฏิบัติธรรมส่วนตัวแล้ว ก็อ่านตำรับตำรา อ่านพระไตรปิฎก อ่านหนังสือที่ท่านอาจารย์พุทธทาสได้พูด ได้พิมพ์ขึ้นมา ก็ใช้เวลาอย่างนี้
อาตมาก็ดีใจว่า ญาติโยมทั้งหลายมาปฏิบัติธรรมที่นี่ ก็ขออนุโมทนา ขอให้ตั้งใจปฏิบัติ ขอโยมมีกำลังใจ เมื่อเราทำได้ ทางนี้ก็พอใจ พอใจไว้ก่อน การพอใจมันเป็นสวรรค์ เมื่อใดเรามีความพอใจ ความสุขมันเกิด สุคติมันเกิด ถ้าเราไม่พอใจ ทุคติมันเกิด คือใจมันไม่สบายและมันเครียด และมันก้าวหน้าไม่ได้
เพราะฉะนั้น เอาชนะอารมณ์ร้อน อารมณ์ร้ายที่มันคอยเกิดอยู่ในจิตใจของเรา มันเป็นโลกต่างๆ โลกนรก โลกของเปรต สัตว์เดรัจฉาน อสูรกาย เป็นทุคติโลก เราก็เลื่อนๆๆ ให้มันสูงขึ้น
เอาละ ต่อไปโยมก็ปฏิบัติอานาปานสติขั้นที่ ๑ นี้ ปฏิบัติให้ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ หายใจเข้ายาว หายใจออกยาว แล้วเอาจิตฝากไว้ ผูกไว้กับลมหายใจ แล้วต้องมีศรัทธาเชื่อมั่นว่า ลมหายใจเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด จริงๆมันก็มีค่าอย่างนั้น ถ้าเราไม่มีลมหายใจ ๔-๕ นาทีก็ตายแล้ว อยู่ไม่ได้แล้ว เราไม่ตายเพราะมีลมหายใจ เพราะว่าโลกที่เราอาศัยอยู่นี้ เขาเรียกว่า โอกาสโลกหรือสังขารโลก มันมีอากาศออกซิเจนห่อหุ้มอยู่ ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะใช้อากาศออกซิเจนนี้หล่อเลี้ยงชีวิต โดยเฉพาะต้นไม้ที่มันสร้างเป็นโรงงานสร้างอากาศออกซิเจน หายใจออกอากาศเสียคาร์บอกออกมา ต้นไม้ก็ซึมซับเอาไว้ พอพระอาทิตย์ขึ้น มันก็ทำงานสังเคราะห์ ปล่อยอากาศออกซิเจนออกมา นี่ก็ที่นักวิทยาศาสตร์เขาเรียนรู้ เขาอธิบายกันอย่างนี้ พอมาอยู่บนภูเขา อยู่ที่สูง มองเห็นลงไปข้างล่าง ธรรมชาติมันชวนให้จิตใจสงบ เรียกว่ากายวิเวก ยังเหลือแต่ทำจิตใจให้มันสงบ เขาเรียกว่าจิตวิเวก
อีกขั้นหนึ่งทำกิเลสให้สงบ เขาเรียกว่าอุปธิวิเวก นี่คือการปฏิบัติ ปฏิบัติทั่วๆไป ถ้ามีเวลาก็ครึ่งชั่วโมงหรืออย่างน้อยก็ ๒๐ นาที นี่ก็คงจะราวๆนั้น ๒๐ - ๒๕ นาที ก็ตั้งใจปฏิบัติ ขอให้ตั้งใจปฏิบัติกัน ขอให้เจริญก้าวหน้ากันทุกคน