แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมทั้งหลายได้มีโอกาสมาพักแรมที่ทีปภาวัน เพื่ออบรมที่เรียกว่าสมาธิภาวนาหรือจิตภาวนา คือมาทำให้ชีวิตของเรา มีคุณ มีค่า มีประโยชน์แก่ตัวเอง แก่ผู้อื่น แก่ประเทศชาติ ศาสนา เรียกว่าแก่โลกโดยส่วนรวม
การที่มนุษย์เราออกจากบ้านจากเรือน ไปพักอาศัยที่อื่นมันมีหลายๆชนิด เช่น ลูกหลานของเราต้องออกจากบ้านจากเรือนไปอยู่ที่อื่น เช่นไปอยู่ที่หอพัก ไปเรียน ไปศึกษา เราไปอยู่ต่างประเทศ บางคนถือโอกาสอยู่ต่างประเทศไปเลย โยมหลายๆคนออกจากบ้านจากเรือนไปอยู่ที่อื่น เพราะหวัง เพราะต้องการจะก้าวหน้า
ทีนี้ มีคนมีจำนวนไม่น้อยเหมือนกัน ต้องออกจากบ้านจากเรือนของตัวเองไปอยู่ที่อื่น เช่นเกิดภัยพิบัติ เช่นแผ่นดินไหว บ้านเรือนของตัวเองพังหมดเลย ทางราชการเขาอพยพให้ไปอยู่ที่อื่น น้ำท่วม คนไม่ได้อยู่ที่บ้านของตัวเองเพราะอยู่ไม่ได้ น้ำท่วมหมด พาไปอยู่ในที่ๆปลอดภัย
อย่างนี้ก็มีอยู่บ่อยๆ คนต้องอพยพพลบหนี เพราะว่าบ้านของตัวเองมีสงครามกลางเมือง ก็อพยพหลบหนีไปอยู่ประเทศอื่นอย่างนี้ก็มี
บางคนต้องไปอยู่ในคุกในตะราง เพราะว่าไปทำผิดอย่างใดอย่างหนึ่ง ศาลตัดสินติดคุก บางคนอยู่กันตลอดชีวิต บางคนตายในคุกในตะรางนี่ก็มี แต่ว่าทุกคน วันหนึ่งไม่ได้อยู่ที่บ้านที่เรือนของตัวเอง โดยเฉพาะเมื่อเราตาย
ถ้าเราตายลงก็ไม่มีใครต้องการ คนที่รักเราหรือว่าคนที่เรารัก พอเราตายไป เขาก็พาไปเผา พาไปฝัง นี่ชีวิตจริงๆของเรามันเป็นอย่างนี้
บางทียังไม่ตาย เราก็ต้องไปนอนโรงพยาบาล เจ็บป่วยก็มีกันอยู่เป็นประจำ แต่ว่าคนทั่วไปไม่ค่อยได้นึก ไม่ได้คิด
ญาติโยมทั้งหลายมาอยู่ที่นี่ เรามาด้วยความตั้งใจที่จะมา มาอยู่เพื่อพัฒนา เพื่อภาวนาให้ชีวิตของเรามีประโยชน์ มีค่า และสำคัญที่สุดคือ ให้มีความสุขที่เรายังไม่เคยพบ และความสุขชนิดนี้ เป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติได้พบมาแล้ว โดยเฉพาะพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์เป็นลูกกษัตริย์อยู่ในปราสาทราชวัง เรียกว่าสมบูรณ์ทุกอย่าง มีปราสาทถึง ๓ หลัง ที่พระราชบิดา พระเจ้าสุโทธนะสร้างให้พระองค์อยู่ ฤดูร้อนก็สร้างหลังหนึ่ง ฤดูฝน ฤดูหนาว ให้อยู่ในปราสาทราชวัง แต่พระองค์ก็ยังไม่มีความสุข เพราะพระองค์มองเห็นว่า ทุกคนที่เกิดมาหนีไม่พ้นจากความแก่ ความเจ็บและความตาย พระองค์จึงเสียสละทุกอย่างออกไปค้นหา แสวงหา ใช้เวลาถึง ๖ ปี กว่าจะพบหนทางที่ทำให้มนุษย์พ้นจากความทุกข์ ได้พบความสุขสูงสุด ซึ่งไม่มีอะไรที่จะยิ่งไปกว่านี้ ที่เขาเรียกว่า วิมุตติสุขหรือนิพพานสุข ดังบาลีว่า นิพพานัง ปรมัง สุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
ฉะนั้น เราชาวพุทธต้องเข้าใจว่าความสุข ความสุขนี้มันมีอยู่หลายชนิด ความสุขที่คนทั่วไปแสวงหานี้เป็นความสุขธรรมดา มันเป็นความสุขร้อน ไม่ใช่เป็นความสุขเย็น เป็นความสุขร้อน เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ เราได้มา คนทั่วไปคิดว่าผู้นี้มีความสุข แต่จริงๆจิตใจของผู้ที่มีสิ่งเหล่านี้ มันยังร้อน ยังเร่าร้อน ยังเครียด ยังนอนไม่หลับ
คนร่ำคนรวยทั้งหลายอย่าคิดว่าเขามีความสุข อาตมาได้สัมผัสมาเยอะ คนที่เขาร่ำรวย มีเงินมากมาย เป็นร้อยล้าน พันล้าน เวลาคุยจริงๆคนเหล่านี้ก็ยังเครียดอยู่ ยังนอนไม่หลับอยู่
ฉะนั้น ทรัพย์สินเงินทองมันยังเป็นความสุขอย่างธรรมดา การแสวงหาทรัพย์สินเงินทอง ถ้าหาโดยชอบธรรม พระพุทธเจ้าก็สรรเสริญ เพราะฆราวาสครองเรือน มีครอบครัว มีลูกมีหลาน จำเป็นจะต้องหาทรัพย์ เขาเรียกว่าโภคทรัพย์ ทรัพย์สินเงินทอง ก็ต้องหาโดยทางสุจริต ได้ทรัพย์มา เอามาใช้สอยให้เกิดประโยชน์ เอามาเลี้ยงตัวเอง เอามาเลี้ยงครอบครัว บิดามารดา เอามาสงเคราะห์คนอื่น เอามาทำบุญให้ทาน เอามาบำรุงพระพุทธศาสนา
ปู่ย่า ตายายของคนไทย สร้างวัดสร้างวา ดังนั้นในเมืองไทย วัดจึงเต็มไปหมด ไม่ใช่ว่าวัดใหม่ๆ วัดอายุหลายร้อยปี สองสามร้อยปี ก็คนโบราณได้ทรัพย์สินเงินทองมา เอามาสร้างวัดสร้างวา ไม่เหมือนคนปัจจุบัน หาเงินไม่พอใช้ เพราะเราหลงในเรื่องวัตถุ แสวงหาความสุขร้อน เท่าไรมันก็ไม่พอ
ฉะนั้น โภคทรัพย์ เรียกว่าจำเป็นต้องหาทรัพย์ ได้ทรัพย์มาก็เป็นความสุข สุขเพราะการมีทรัพย์ สุขเพราะการจ่ายทรัพย์ให้เป็น สุขเพราะไม่เป็นหนี้
เพราะฉะนั้น ญาติโยมทั้งหลายมาอยู่ที่นี่ มาหาความสุขของพระอริยเจ้า เป็นสุขเย็น เป็นสุขสงบ ตั้งต้นจากมาปฏิบัติศีล ให้ญาติโยมทั้งหลายฟังพระบอกอานิสงค์ศีล เวลาเรารับศีล ส่วนใหญ่ชาวพุทธอาราธนาศีล ขอศีล เช่น มะยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะณัตถายะ ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ อย่างนี้เป็นต้น ว่าข้าพเจ้าขอศีล ๕ ใจความว่าอย่างนั้น
พระก็บอก ปาณาติปาตา เวรมณี สิขาปะทัง สมาทิยามิ ข้าพเจ้ามีเจตนาสมาทาน งดเว้นจากการฆ่า ข้ออื่นก็เช่นเดียวกัน อทินนา กาเม มุสา สุรา เจตนาที่จะงดเว้น จากการฆ่า การลัก การล่วงเกินของรัก การโกหก การเสพของมึนเมา เรียกว่าศีล ๕ เป็นศีลพื้นฐานของชาวพุทธ
พระให้ศีลจบแล้ว ก็ สีเลนะ สุคะติง ยันติ สีเลนะ โภคะสัมปะทา สีเลนะ นิพพุติง ยันติ สีเลนะ โภคะสัมปทา คนจะมีโภคทรัพย์ ก็เพราะมีศีล สีเลนะ สุคะติงยันติ คนจะมีความสุข ไปสู่ที่สุขก็เพราะศีล สีเลนะ นิพพุติง ยันติ คนจะเย็นอก เย็นใจก็เพราะศีล ศีลนี้มันเป็นความสุขในเบื้องต้น
ที่นี่ไม่ได้ทำพิธีขอศีล ให้ศีล รับศีล ไม่ต้อง แต่ว่ามาปฏิบัติให้เกิดศีลขึ้นจริงๆในชีวิตของเรา ที่กาย ที่วาจา ที่จิตใจ
ทีนี้ เมื่อเรามีศีลก็ปฏิบัติให้สูงยิ่งขึ้นไป เรียกว่าภาวนา ศีลภาวนา จิตตภาวนา อบรมจิตให้มีสมาธิ คือการฝึกจิตนั้นเอง แล้วก็ปฏิบัติให้ยิ่งขึ้นไป ให้ได้ปัญญา เรียกว่าปัญญาภาวนา
ถ้าเราปฏิบัติ ชีวิตของเราก็จะเลื่อนๆๆๆ จากชีวิตธรรมดาเป็นชีวิตที่มีคุณ มีค่า ทุกคนที่เกิดมาเป็นคนธรรมดาก่อน เขาเรียกปุถุชน พอปุถุชนได้ยิน ได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้า ปฏิบัติตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนเอาไว้ เดินเส้นทางนี้ ชีวิตก็สูงขึ้นๆ จากคนธรรมดาก็มาเป็นคนดี เขาเรียกกัลยาณปุถุชน ทีนี้ ก็ปฏิบัติต่อ ถ้าทำได้ อาจจะเป็นพระอริยเจ้า
ในครั้งพุทธกาล ฆราวาสครองเรือนเป็นพระอริยเจ้า ไม่ได้เป็นร้อยเป็นพัน เรียกว่านับเป็นหมื่นเป็นแสน ยกตัวอย่างว่า ตอนที่พระพุทธเจ้าไปแสดงธรรมแก่พระเจ้าพิมพิสาร มีบริวาร มีพรรคพวก ๑๒ หมื่น หรือว่า ๑๒ นหุต นหุตก็เท่ากับหนึ่งหมื่น พระพุทธเจ้าแสดงธรรมครั้งนั้น คนบรรลุธรรมะเป็นพระอริยเจ้าถึง ๑๑ หมื่น แสดงธรรมครั้งเดียว หมายความว่า ธรรมะที่พระพุทธเจ้าค้นพบ สั่งสอน แสดงให้คนทั้งหลายฟัง คนสามารถจะเข้าใจได้
ที่เป็นพระสงฆ์ออกบวชไม่ได้มากมาย อย่างเมืองไทยเรา ที่ออกบวชเป็นพระ ๑ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่เป็นชาวพุทธฆราวาส ๙๙ เปอร์เซ็นต์ ที่เขาสำรวจพระสงฆ์กัน ในพรรษามีประมาณสามแสนรูป สี่แสนรูป แต่ว่าชาวพุทธเรามี สี่สิบล้าน ห้าสิบล้านคน
เพราะฉะนั้น พุทธศาสนาอยู่ได้เพราะพุทธบริษัท ไม่ได้อยู่ใด้เฉพาะพระอย่างเดียว ไม่ใช่ พุทธบริษัทคือ ภิกษุ ภิกษุณี
ภิกษุณีในเมืองไทยคงเป็นยาก แต่ว่าภิกษุที่บวชกัน ที่อยู่กันจริงๆ อยู่นานๆมีน้อยมาก ส่วนใหญ่บวชชั่วคราว บางที ๑๕ วัน ๒๐ วัน เดือนหนึ่ง เรียกว่าพระสงฆ์น้อยมาก แต่ว่าพุทธบริษัทที่เป็นฆราวาสมีมาก
เพราะฉะนั้น พระพุทธศาสนาอยู่ได้เพราะพุทธบริษัท ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
ฉะนั้น ญาติโยมทั้งหลายมาปฏิบัติธรรม คือมาพัฒนาตัวเอง มาเลื่อนชีวิตตัวเองให้สูงขึ้นๆ ก็เท่ากับเป็นการรักษาพระพุทธศาสนาเอาไว้
การรักษาพุทธศาสนามีหลายแบบ รักษาวัดวาอาราม นี่ก็แบบธรรมดา สร้างเสนาสนะ สร้างกุฏิวิหาร โรงครัวในวัด นี้ยังเป็นธรรมดา รักษาพุทธศาสนา โดยศึกษาปริยัติธรรม เรียนนักธรรม เรียนบาลี เรียนอะไรต่างๆ ก็ยังเป็นธรรมดา เดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่
ทีนี้ พอเลื่อนขึ้นมาถึงขั้นปฏิบัติ มันก็น้อยลงๆ โดยเฉพาะวัดทั่วๆไปโยมผู้ชายที่เข้าวัดน้อยมาก โยมผู้หญิงมากกว่าเป็นสิบเท่า ยี่สิบเท่า บางทีคนเข้าวัด ๕๐ คน ๔๐ คน ๓๐ คน มีผู้ชายสักคนหนึ่ง ไม่ค่อยมี
พุทธศาสนาในประเทศไทยก็อ่อนแอ แต่ว่าที่สวนโมกข์ก็ดี ที่นี่ก็ดี เราจัดปฏิบัติธรรม ก็มีโยมผู้ชายค่อนข้างจะมาก โดยเฉพาะ ที่โยมตำรวจมาปฏิบัติ ก็ดู ก็มีโยมผู้ชายมาก นี่คือมารักษาพุทธศาสนาด้วยการปฏิบัติ
ทีนี้ ถ้าเราปฏิบัติไปๆ อาจจะพบสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้เคยพบมาแล้ว พระอริยเจ้าทั้งหลาย ได้เคยพบมาแล้ว คือพบความสุข สงบ ที่เรียกว่า สันติสุข เป็นสุขประเสริฐ เขาเรียกอริยสุข เรียกว่าสุขที่มันเหนือกว่าสุขธรรมดา เขาเรียกโลกุตรสุข สุขชนิดนี้ ถ้าเราตั้งใจปฏิบัติสามารถจะพบได้
ชีวิตมนุษย์เรา จริงๆ มันคือธาตุต่างๆมารวมกันอยู่ ธาตุใหญ่ๆ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ และสำคัญที่สุด ธาตุวิญญาณ วิญญาณธาตุคือธาตุจิต ธาตุใจ ข้างนอกทุกอย่าง ก็เกิดธาตุเหล่านี้ ดินบ้าง ธาตุน้ำบ้าง ธาตุลมบ้าง ธาตุไฟบ้าง
โลกมันเกิดมากี่หมื่น กี่แสนล้านปี ก็รู้ไม่ได้ แต่ที่มนุษย์อยู่กันบนโลกนี้ ก็คงจะเป็นแสน เป็นหมื่นปีมาแล้ว มนุษย์ดั้งเดิมก็อยู่ถ้ำกัน ต่อมามนุษย์ก็เริ่มออกจากถ้ำ เริ่มทำการเพาะปลูกไม่กี่ร้อยปีมานี่เอง ที่มนุษย์เจริญก้าวหน้าทางวัตถุ
เมื่อก่อนมนุษย์สองสามร้อยปีก่อนหน้านี้ ไปไหนก็เดินกัน อย่างดีก็เอาสัตว์มาใช้งาน เป็นช้าง เป็นม้า เป็นวัว เป็นควาย เอามาใช้งาน มนุษย์ก็พยายามคิดค้นๆ จากบรรพบุรุษที่ศึกษาได้แค่นี้ ลูกหลานก็ต่อๆ
จนกระทั่งปัจจุบันนี้ ทางวัตถุมันก้าวหน้ามาก คนนั่งเครื่องบินเดินทางรวดเร็ว มีรถยนต์ มีรถไฟ มีอุปกรณ์สำหรับติดต่อ เช่นโทรศัพท์มือถือ ระบบที่ใช้กันปัจจุบัน อินเตอร์เนท อะไรต่างๆ ทำให้คน เรียกว่ารู้จักคนในประเทศอื่น ชาติอื่น และมนุษย์ก็เดินทางกัน จากประเทศนั้นมาประเทศนี้ จากประเทศนี้ไปประเทศนั้น มันก็ก้าวหน้า ก็เป็นสิ่งที่ดี ถ้าเราใช้เป็น
แต่ว่าเจริญก้าวหน้าทางวัตถุ ถ้าเราไม่มีคุณธรรม ที่สำคัญที่สุดคือสติ สติ สัมปชัญญะ ความเพียร คุณธรรมเหล่านี้ ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ โดยเฉพาะ คืออริยมรรคมีองค์ ๘
ที่เรามาปฏิบัติ เรามาปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘ อริยมรรคแปลว่าทางอันประเสริฐ หนทางที่จะนำชีวิตให้ออกจากทุกข์ ออกจากปัญหา ให้พบความสุข รู้ยิ่งขึ้นไป มีอะไรบ้าง สัมมาทิฐิ เห็นชอบ เห็นถูกต้อง สัมมาสังกับโป ความคิดถูกต้อง ความดำริถูกต้อง สัมมาวาจา พูดจาถูกต้อง สัมมากัมมันโต การงานถูกต้อง สัมมาอาชีโว เลี้ยงชีพถูกต้อง สัมมาวายาโม เพียรถูกต้อง สัมมาสติ ระลึกถูกต้อง สัมมาสมาธิ ตั้งใจมั่นถูกต้อง มาฝึกก็มาฝึกอันนี้ ๘ อย่างนี้ สรุปแล้วก็มีเพียง ๓ อย่าง คือเรื่องศีล เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา ที่เรามาอบรมนี้
ศีล ทำให้มีความสุขดังได้กล่าวมาแล้ว สมาธิทำให้มีความสุข ปัญญาทำให้มีความสุข ฉะนั้นขอให้ญาติโยมทั้งหลายตั้งใจ
ทีนี้ ธาตุที่อยู่ภายนอก มนุษย์เอามาปรับปรุง มาทำให้เกิดสิ่งต่างๆ ยกตัวอย่างว่า ก้อนหิน ภูเขา เอามาแกะ เอามาสลักเป็นพระพุทธรูปก็ได้ เป็นรูปอะไรก็ได้ และก็มีความรู้ เอาหินบางชนิดมาทำเป็นปูนซีเมนต์ เมื่อมนุษย์สามารถมีความรู้ เอาหินมาทำเป็นปูนซีเมนต์ได้ ก็ทำให้สร้างตึก สร้างอาคาร นี่ก็ธาตุธรรมชาตินี้เอง
แต่ว่า ธาตุตัวนี้แม้จะเป็นธาตุดินก็ต้องผสมธาตุอื่น ต้องอาศัยธาตุน้ำ ยกตัวอย่างว่า คนจะผสมซีเมนต์ ถ้าไม่มีน้ำ ซีเมนต์จะเกาะตัว จับตัว มันแข็งตัวไม่ได้ ต้องมีธาตุน้ำ และธาตุลม ธาตุอื่นๆ ธาตุข้างนอก
ฉะนั้น มนุษย์เราเพราะมีความรู้ จึงนำเอาธาตุต่างๆ มาปรับปรุงให้เป็นบ้าน เป็นเรือน เป็นที่อยู่อาศัย เป็นเครื่องมือ มาจากอะไร มาจากวิญญาณธาตุ คือธาตุจิตนี่เอง
จิตใจเป็นวิญญาณธาตุ ในจิตใจมันเป็นสิ่งสำคัญมาก คนที่แตกต่างกันก็แตกต่างกันที่จิต ทางร่างกายแตกต่างกันไม่เท่าไร อย่างดีก็เป็นเพศหญิง เพศชาย ที่แตกต่างกันมากคือจิตใจ จิตใจนี้สามารถที่จะพัฒนาได้ เรียกว่าจิตตภาวนา
ในร่างกายของเรามี ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุอากาศด้วย อากาศคือธาตุว่าง ที่ว่าง และก็ธาตุวิญญาณ ที่มาฝึกภาวนา คือฝึกสมาธิภาวนา ที่พูดไปบ้างแล้วเล็กน้อย ว่ามันมี ๒ ชนิด คือ
๑. สมถะภาวนา อบรมจิตให้สงบ ให้จิตมีสมาธิ พอมีสมาธิก็จิตมี
ความสุข ยกตัวอย่างว่า อาตมาเอง เอาอาตมาเองเป็นตัวอย่างก็แล้วกัน อาตมาตอนนี้บวชมา ๖๓ ปีแล้ว โชคดีตอนที่บวชใหม่ๆ ได้ไปฝึกกรรมฐาน ฝึกภาวนานี้เอง พอฝึกกรรมฐาน จิตใจมันก็สงบกว่าชีวิตฆราวาส อาตมาเองตอนเป็นฆราวาส ไม่เหลวไหล ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นการพนัน ไม่ล่วงเกินผู้หญิง ไม่มี ช่วยเหลือครอบครัว แต่มันเหนื่อย มันหนัก พอบวชเข้ามา มีโอกาสได้ฝึกกรรมฐาน จิตใจมันก็สบายกว่า อาตมาก็ตัดสินใจอยู่เรื่อยๆมา ส่วนความรู้อื่นก็มาเพิ่มเติมภายหลังทั้งนั้น
ฉะนั้น อาตมาเชื่อว่าทุกคนสามารถจะฝึกได้ ขอญาติโยมทั้งหลายมองเห็นประโยชน์ของการมาอยู่ที่นี่ ทำให้เกิดศรัทธา สทฺธา สาธุ ปติฏฺฐิตา ศรัทธาตั้งมั่น ยังประโยชน์ให้สำเร็จ ถ้าเราไม่มีศรัทธา เราก็ทำอะไรไม่ได้
โยมลองนึกดูว่า ที่คนมีความสามารถต่างๆ จะเป็นนักกีฬา นักมวย นักอะไรก็ตาม แม้แต่นักไต่ภูเขา ไต่ภูเขาหิมาลัยอย่างนี้ ต้องมีความเชื่อมั่น จึงพยายามทำได้ ฝึกได้ อย่างที่เรามาฝึกจิตตภาวนา มันไม่ได้ยากอย่างนั้น ไม่ได้เสี่ยงภัยอย่างนั้น แต่ว่ามาอยู่ เรียกว่าพออยู่กันได้ การกิน การอยู่ได้มีโอกาสที่จะฝึก เรียกว่าเครื่องมือก็อยู่ที่เรา
ขอให้โยมทั้งหลายเข้าใจให้ชัดเจนว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ลมหายใจของพระองค์ เรียกว่าระบบอานาปานสติ ซึ่งมีเป็นขั้นๆ ทั้งหมด ๑๖ ขั้น
ขั้นที่ ๑ เป็นลมหายใจเข้ายาว ออกยาว
ขั้นที่ ๒ ลมหายใจสั้น ออกสั้น
ขั้นที่ ๓ กายทั้งปวง
ขั้นที่ ๔ ทำลมหายใจสงบ เขาเรียกว่า ทำกายสังขารให้ระงับ ลมหายใจจะสงบ ต่อเมื่อจิตมีสมาธิ ถ้าจิตไม่มีสมาธิ กายมันไม่สงบ นั่งปวดตรงนั้น ตรงนี้ เพราะว่าลมหายใจมันไม่สงบ เพราะใจก็ไม่สงบ
ขั้นที่ ๕ คือ ปีติ นี่คือเริ่มได้ผลแล้ว ฝึกไปๆ ปีติแปลว่าอิ่ม อิ่มใจ เหมือนอย่างคนหิวๆๆ พอได้กินอาหารแล้วอิ่ม พออิ่มแล้วมันก็สงบ เวลาเราหิว มันก็ทุรนทุราย บางคนเกิดโมโหหิว เกิดปัญหา บางทีครอบครัวแตกแยก เตรียมอาหารไม่ทัน ทะเลาะวิวาท แตกแยกเพราะโมโหหิว พอเราได้กินอาหาร มันอิ่ม ความหิวก็สงบ ก็เป็นความสุข ขั้นที่ ๕ ปีติ
ขั้นที่ ๖ ความสุข
ขั้นที่ ๗ มาศึกษาให้รู้ว่า สิ่งที่ปรุงแต่งจิต เขาเรียกว่าจิตตสังขาร มันคืออะไร สิ่งที่ปรุงแต่งจิตให้คิดอย่างนั้น ให้นึกอย่างนี้ ก็คือความรู้สึก ที่เขาเรียกว่าเวทนานี้เอง เวทนาเป็นเรื่องใหญ่ ที่มนุษย์ท่องเที่ยวไปที่โน่น ที่นี่ ไปแสวงหาเวทนานั่นเอง คือแสวงหาสุขเวทนาทางกายบ้าง ทางความรู้สึกบ้าง
ทีนี้ ขั้นที่ ๘ ขั้นจิตตสังขารระงับ คือเอาชนะเวทนาได้ ถ้าโยมปฏิบัติไปๆ แรกๆก็นั่ง ๕ นาที ปวดเมื่อย ปวดหลังเพราะใจมันไม่สงบ แต่พอใจสงบแล้ว นั่งเป็นชั่วโมงก็ได้ ครึ่งชั่วโมงก็ได้ ที่นี่ปกติเราจะนั่งประมาณสักครึ่งชั่วโมง อาตมาสังเกตที่สวนโมกข์นานาชาติ พวกฝรั่งจากเดิมนี้ มีถึง ๑๖๐ คน วันที่ ๙ ให้ปฏิบัติตามอัทธยาศัย ปฏิบัติจนฝรั่งบางคนนั่งเป็นชั่วโมง เขานั่งได้สบาย นี่เพราะใจมันสงบ มีสมาธิเอาชนะเวทนาได้ นี่เป็นอานาปานสติ ขั้นที่ ๘
อานาปานสติขั้นที่ ๙ มารู้จักจิตของตัวเอง คนส่วนใหญ่รู้ข้างนอกเยอะมาก รู้สิ่งต่างๆ แต่จิตใจของตัวเองไม่รู้ ว่าคิดอะไร นึกอย่างไร นี่เรามาดูจิต มาตามเห็นจิตในจิต ว่าจิตมันคิดอย่างไร
อานาปานสติขั้นที่ ๑๐ สามารถควบคุมจิตได้ ทำจิตให้บันเทิง รื่นเริงได้ ทำจิตให้ปราโมทย์
ขั้นที่ ๑๑ ทำจิตให้ตั้งมั่นแน่วแน่ได้ ต้องการให้จิตคิดอย่างนี้ ก็คิดอย่างนี้ ไม่วอกแวก ฟุ้งซ่าน จิตอยู่กับเนื้อกับตัว
และขั้นที่ ๑๒ ทำจิตให้ปล่อยวาง ว่างจากอารมณ์ร้อน อารมณ์ร้ายได้
ทีนี้ ก็มาศึกษาสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเห็นตามที่เป็นจริง ที่เรียกว่า วิปัสสนา คือตามเห็นความไม่เที่ยง จริงๆ ชีวิตของเรามันคือสังขาร มันไม่เที่ยง เกิดดับๆ โดยเฉพาะลมหายใจ หายใจเข้าหมดไป หายใจออกหมดไป อาหารที่เรากิน เรารับประทาน กินเข้าไปไม่กี่ชั่วโมง มันก็เปลี่ยน ส่วนที่ร่างกายใช้ได้ เอามาใช้ ที่ใช้ไม่ได้ ก็เป็นกากอาหาร เป็นอุจจาระ ดื่มน้ำเข้าไปเป็นปัสสาวะ มันอยู่กับความไม่เที่ยง
วันเวลา อาทิตย์ขึ้น โคจร เช้า สาย เที่ยง บ่าย เย็น อาทิตย์ก็ตกไป กลางวัน กลางคืน อยู่กับความไม่เที่ยง สิ่งต่างๆ แต่เราไม่ได้สังเกต ใบไม้ ใบอ่อน ใบเขียว ใบแก่ร่วงหล่น
ฤดูกาลต่างๆ ฤดูร้อน หนาว ฤดูฝน เปลี่ยน เรื่องนั้น เรื่องนี้ มันมีแต่ความเปลี่ยนแปลง แต่เราไม่เห็น นี่มาดูให้มันเห็น เห็นความไม่เที่ยง เขาเรียกวิปัสสนา เห็นความไม่เที่ยงจะเห็นว่า ทุกอย่างมันทนไม่ได้ เป็นทุกข์คือทนอยู่ไม่ได้
ทุกข์มีหลายทุกข์ ๑. ทุกข์เจ็บปวด เขาเรียกว่าทุกขเวทนา ๒. อะไรเปลี่ยนแปลง ทนไม่ได้ เรียกทุกขลักษณะ เป็นทุกข์ที่สำคัญที่สุด เพราะเราไปยึดถือว่า เป็นเรา เป็นของเรา อันนี้ เป็นตัวทุกข์อยู่ตรงนี้ ถ้ายึดเป็นเราเป็นของเรา ความทุกข์ในจิตใจจะเกิดขึ้น พอเห็นว่ามันไม่เที่ยง ทุกอย่างไม่เที่ยงเป็นทุกข์เพราะไม่ใช่เรา พอเห็นว่าไม่ใช่เรา ความทุกข์มันเบาลงๆ เรียกว่าคลายออกๆ แล้วก็มันดับ ความทุกข์ก็ดับลงๆ เป็นอานาปานสติ ขั้นที่ ๑๕
มาถึงอานาปานสติขั้นที่ ๑๖ ก็สลัดความทุกข์ออกไปหมด จิตใจก็อิสระ ก็พบความสุขสูงสุด เรียกว่าวิมุติสุข ความสุขชนิดนี้ ซื้อด้วยเงินไม่ได้ เศรษฐี มหาเศรษฐี ถ้าไม่ปฏิบัติ ไม่มีทางที่จะพบความสุขชนิดนี้ได้เลย จะใครก็ตาม คนยาก คนจน คนเศรษฐีมีเงินก็เหมือนกัน ถ้าปฏิบัติก็จะค่อยๆพบ
เอาล่ะ ต่อไปนี้ อาตมาก็บรรยาย อธิบายความรู้ทางปริยัติให้ญาติโยมทั้งหลายได้ฟัง ก็เป็นอริยทรัพย์อย่างหนึ่งเหมือนกัน เขาเรียก พาหุสัจจะ เป็นอริยทรัพย์ มีศรัทธา ก็มีศีล และมีหิริ ละอายบาป โอตตัปปะ กลัวบาป พาหุสัจจะ จะได้ยิน ได้ฟังมาก ก็ได้ยิน ได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้ามากขึ้น เป็นอริยทรัพย์ แล้วก็จาคะ สละอารมณ์ร้อน อารมณ์ร้าย แล้วก็ปัญญา มีความรอบรู้
ฉะนั้น ญาติโยมทั้งหลายมาอยู่ที่นี่ เรียกว่ามาทำประโยชน์ มาแสวงอริยทรัพย์ มาปฏิบัติธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนเอาไว้ เมื่อเราปฏิบัติได้ ต่อไปกลับไปอยู่ที่บ้านที่เรือนก็เป็นคนใหม่ ไม่ใช่เป็นคนเดิม เป็นคนอารมณ์เย็น ไม่เป็นคนอารมณ์ร้อน
ถ้าเราเป็นพ่อก็ได้พ่อคนใหม่ เป็นแม่ก็ได้แม่คนใหม่ ถ้าเป็นลูกก็เป็นลูกคนใหม่ เป็นพี่เป็นน้องก็เป็นคนใหม่ ก็ไม่เหมือนเดิม จิตใจเย็น สงบ ถ้าเรามีอย่างนี้กันมากๆ สังคมก็จะลดปัญหา อยู่เย็นเป็นสุข มาทำประโยชน์กัน
เอาล่ะ ต่อไปนี้ก็เตรียมตัวตั้งใจปฏิบัติกัน อย่างน้อยก็ ๒๐ นาที นั่งขัดสมาธิ นั่งขัดสมาธิ ตั้งตัวให้ตรง แล้วก็หายใจเข้ายาว อานาปานสติขั้นที่ ๑ นี้ ทำให้ได้ผลก่อน เมื่อปฏิบัติได้ผล อานาปานสติขั้นอื่นต่อไปมันก็ง่าย หายใจเข้ายาวก็ตามไป ให้จิตเกาะติดกับลมครั้งที่ ๑ อาจจะได้กี่วินาทีก็ตาม ลมหายใจยังไม่หมด จิตมันออกไปที่อื่นแล้ว ไม่เป็นไร มีสติรู้
สติคือธรรมะ คือคุณธรรม สัมปชัญญะ รู้สึกตัวว่าจิตไม่อยู่กับลมแล้ว ก็อาศัยความเพียรพากลับมา มาผูกอีก ตามลมจากปลายจมูกมาที่ท้อง มาจบที่ท้อง ที่สะดือ จากสะดือมาที่ปลายจมูก ติดตามอยู่อย่างนี้ เอาล่ะ ต่อไปก็ปฏิบัติกัน